คนโง่สำคัญตนว่าฉลาด

ผู้ใดโง่รู้ตนว่าเป็นคนโง่ ผู้นั้นยังเป็นคนฉลาดได้บ้างเพราะความรู้นั้น ส่วนผู้ใดโง่แต่สำคัญตนว่าฉลาด ผู้นั้นเราเรียกว่า เป็นคนโง่มาก

คนที่โง่ยังไม่ฉลาด รู้สึกตนตามเป็นจริงว่าตนยังโง่อยู่ เมื่อพยายามถ่ายถอนความโง่ของตน ย่อมทำได้โดยการคบหาสมาคมกับบัณฑิตหรือคนฉลาด ยอมให้เขาแนะนำพร่ำสอน กาลเวลาล่วงไปๆ ย่อมกลายเป็นคนฉลาดได้ หากเคยเป็นพาลก็กลับเป็นบัณฑิตได้

ส่วนคนที่จะต้องดักดาลนั้น คือ คนที่ยังเป็นคนโง่อยู่ แต่สำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด มีทิฏฐิมานะจัด ไม่ยอมรับว่าตนยังโง่อยู่ ไม่ยอมรับความจริง แม้ตนเป็นพาลก็เข้าใจว่าตนเป็นบัณฑิต ประพฤติตนอย่างพาล ก็เข้าใจประพฤติอย่างบัณฑิต คอยหาเหตุผลพาลๆ เข้าข้างตน คนอย่างนี้ไม่มีทางได้เป็นบัณฑิตหรือฉลาดขึ้นได้

คนฉลาดต้องที่ยอมโง่กับคนเพียงคนหนึ่งหรือสองคน เพื่อให้ฉลาดกว่าคนเป็นแสนเป็นล้าน คนที่ไม่ยอมโง่กับโครก็จะไม่ฉลาดกว่าใคร คนที่ไม่ยอมรับความจริงคือคนที่น่ากลัว

พระพุทธองค์ทรงตรัสพุทธสุภาษิตนี้ เมื่อตอนประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภโจรสองคน มีเรื่องย่อดังนี้

ในเมืองสาวัตถี โจรสองคนไปฟังธรรม พร้อมด้วยมหาชนทั้งหลาย โจรคนหนึ่งตั้งใจฟังธรรม แต่อีกคนนั้น ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งของที่พอจะลักได้ คนที่ตั้งใจฟังธรรมได้บรรลุโสดาปฏิผล ส่วนอีกคนหนึ่งได้ทรัพย์ 5 มาสก จากชายผ้าของอุบาสกคนหนึ่ง ทรัพย์นั้นพอค่าอาหารได้วันหนึ่ง

พอกลับมาถึงบ้าน โจรผู้ลักของกับภรรยาต้องการเยาะเย้ยเพื่อนผู้เป็นโสดาบันว่า “ท่านไปฟังธรรมทั้งที ไม่ได้แม้ค่าอาหารพอเลี้ยงตนสักมื้อหนึ่ง จะมีประโยชน์อะไร” สหายผู้เป็นโสดาบันคิดว่า “เพื่อนเราคนนี้ เป็นคนโง่แท้ๆ แต่สำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด” แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อไปวัดเชตวันพร้อมด้วยหมู่ญาติ จึงกราบทูลเรื่องนี้ให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระทศพลทรงแสดงธรรมแก่เขาว่า ผู้ใดโง่ รู้ตนว่าเป็นคนโง่ เป็นอาทิ มีนัยดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น

รีไรท์โดย bank9597
ข้าพเจ้ามิได้มีปัญญามากพอที่จะสั่งสอนใคร เพียงแค่อารธนาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ดีแล้ว มาเผยแผ่เท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่