บริเวณป่าอันห่างไกล ลึกเข้าไปในหุบเขาทอดยาวสลับซับซ้อน ใบไม้ผลิสีเขียวขลับ มีหยาดน้ำค้างยามดึกเกาะพราว ราวกับละอองดาวโปรยลงมา นางภูตวิหคบินถลาร่อนลงสู่พื้นราบ วางร่างของเจ้าหญิงในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ลงบนพื้นอันอุดมด้วยกรวดหินและหญ้าป่า กระจายปรกคลุมแน่นขนัด
สายลมพัดไรผมอ่อนแนบต้นคอของฟาลเนียระริกไหว กลิ่นฉุนประหลาดที่ติดกายมาอ่อนจางลงไป สัมปชัญญะและกำลังวังชา กลับคืนมาสู่ร่างกายที่เป็นอัมพาตไปชั่วขณะ หล่อนดึงกายลุกขึ้นยืนอย่างเต็มสัดส่วนบนพื้น หลังจากสามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกครั้ง
เผชิญกับอมนุษย์หญิง ผู้ยืนห่างจากหล่อนไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ไม่ทราบวัตถุประสงค์แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม แต่เดาว่าเจตนาของนางภูตนกตนนี้ จะต้องเป็นไปเพื่อขัดขวางเป้าหมายของคณะเดินทางเป็นแน่
“เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่?”
ภูตสาวยืดร่างสูงโปร่ง บิดเอวไปมาอย่างเมื่อยล้า สายลมฉ่ำเย็นยามดึกเป่าเส้นผม
ถึงแม้ว่าจะมีพละกำลังเกินกว่ามนุษย์เพศหญิงธรรมดาทั่วไป แต่นางก็จัดว่าเป็นหญิงเอวบาง แขนขายาวระหงผู้หนึ่ง ย่อมต้องรู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบ้างเป็นธรรมดา ยิ้มอย่างมีเลศนัย ขยับเท้าเข้ามาใกล้ เดินวนเวียนไปรอบๆ สายตาคมวาวมองตามร่างเจ้าหญิงหัวจรดปลายเท้า
ฝ่ายหล่อนเองก็ปรายตามองตามข้ามไหล่ตนเองอย่างไว้เชิงอยู่ทุกขณะ ไม่ทราบว่านางนกจะมาไม้ไหน ลำพังตัวหล่อนเองขณะนี้ นับว่าเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามอยู่เต็มประตู หากนางคิดจะทำอันตรายหล่อน ขึ้นมาจริงๆแล้วก็คงหมดทางรอดได้ แต่หล่อนก็แสดงความไว้ตัว วางหน้านิ่งสะกดความกลัวเอาไว้ ไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่าย สามารถข่มขู่ตะบันบี้เอาได้ง่ายๆ
พริบตานั้นก็บังเกิดเสียงวัตถุทะลวงอากาศ ตัดผ่านศีรษะของทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็วปานลมกรด ปรากฏเงาปีกสีดำทะมึนกางแผ่ บินเฉวียนวกกลับมา ถลาร่อนลงสู่เบื้องล่าง ข้อเท้าเหยียดตรึงกับพื้น ยืดร่างตระหง่านดุจจำหลักศิลา เบื้องหน้าสตรีทั้งสองนาง
“เฟริออน เจ้ามาขัดขวางการเดินทางของคณะผู้ถือแหวนศักดิ์สิทธิ์เพื่อการใด?” กิดิออนเอ่ยถามด้วงน้ำเสียงเปี่ยมอำนาจ
“ข้าได้รับคำสั่งจากราชินี ให้นำตัวเจ้าหญิงไปมอบให้แก่นาง” นางภูตสาวตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“หากเป็นพระประสงค์จริง นางควรสั่งข้าไม่ใช่เจ้า นั่นเป็นแค่คำกล่าวอ้าง เพื่อซ่อนจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้ามากกว่า บอกข้ามาแต่โดยดี ว่าเจ้ามีแผนการอันใด” ภูตหนุ่มเค้นความจากหล่อนต่อไป
นางหัวเราะ กล่าวน้ำเสียงหยันๆว่า “เฮอะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้อง มาเสียเวลานั่งกุเรื่องโป้ปดหรอกนะ”
“ราชินีรับสั่งให้เจ้าขัดขวางการเดินทางของแหวนศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร?” ภูตหนุ่มถามน้ำเสียงแววแดกดัน
“ก็ใช่น่ะสิ นางให้ข้าขัดขวางแล้วจับเจ้าหญิงไปกักที่ปราสาทแห่งความมืด” นางภูตวิหคตอบฉะฉาน
“มีเหตุผลอันใดที่พระองค์ต้องคิดขัดขวาง การเดินทางสู่หอคอยเทพ ของคณะแหวนศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อสิ่งนี้จักเอื้อประโยชน์แก่ข้าโดยตรง ต่อการปลดเปลื้องคำสาป” หยุดคิดชั่วครู่ แล้วกล่าวเสียงแผ่วลงว่า “สำคัญกว่านั้น ทำไมนางจะต้องปิดบังข้าเรื่องนี้”
กิดิออนรำพึงอย่างคลางแคลงใจ กระแสเสียงบ่งบอกว่าไม่ปลงใจเชื่ออยู่ดี
“ก็ไปถามราชินีเองสิ” นางสะบัดน้ำเสียงอย่างรำคาญ พร้อมกับยึดข้อแขนของเจ้าหญิงที่พยายามผละหนีแต่ไม่พ้น
“ส่งเจ้าหญิงมาให้ข้าแต่โดยดี เฟริออน” กิดิออนออกคำสั่ง ขยับเท้าเข้าไปหา
ภูตวิหคสาวนาม เฟริออน ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วผินหน้าหลบ ปีกเตรียมขยับเตรียมจะผละหนี แหวกอากาศขึ้นไปพร้อมกับร่างขององค์หญิง แต่ทว่ากิดิออนฉับไวกว่า เขากลายร่างเป็นนก บินโฉบโจมตี จิกทึ้งเส้นผมดำขลับของหล่อน หลุดร่วงออกมาเป็นปอยติดจงอยปากแหลมงุ้ม อย่างไร้ความปรานี นางภูตนกสะบัดหน้าหนี กรีดร้องแหลม อย่างโมโหโทโสและเจ็บแสบ ปัดไล่นกที่พยายามจิกตี อย่างชุลมุนวุ่นวายไปหมด แล้วนางก็ยอมแพ้ กลายร่างเป็นนกบินหนีไปในที่สุด
ดวงตาคมสีโกแมนของเขาเป็นประกายวาววับ ริมฝีปากบางเฉียบ ปรากฏรอยยิ้มลึกลับ เต็มไปด้วยปริศนา มีความน่ากลัวแฝงเร้นอยู่ขยับปากว่า “ข้ามาเพื่อช่วยเหลือท่าน องค์หญิงฟาลเนีย”
“เพื่อช่วยเหลือข้าหรือ?” หล่อนตวัดเสียง
กุมแหวนบนนิ้วเรียวงามเอาไว้ สายตาเขม้นจ้องภูตหนุ่มไม่วางตา หรี่ตาพินิจมองใบหน้า และแววตาของอีกฝ่าย บังเกิดความครั่นคร้าม ต่อรูปลักษณ์ทั้งน่าดึงดูด และน่าผลักไส ทั้งน่าหลงไหล และน่าชิงชัง
“ถูกแล้ว ข้ามาเพื่อช่วยเหลือท่านอย่างเต็มใจยิ่ง” เขาย้ำอีกครั้ง ด้วยกระแสเสียงชัด “ข้าจะนำพาท่านไปยังหอคอยเทพ ที่ท่านกำลังมุ่งหน้าไปประกอบพิธี ปลุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะผู้ครอบครองแหวน”
“ท่านรู้แผนการของข้าได้อย่างไรกัน?” เจ้าหญิงฟาลเนียเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
แทนคำตอบที่เขาไม่จำเป็นจะต้องพูด กิดิออนสลับเท้าเข้ามาใกล้ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า เปล่งวาจาดังก้องว่า
“ภูตวิหคผู้ซื่อสัตย์ตนนี้ ขอมอบสัจจะวาจาแก่องค์หญิงฟาลเนีย ณ บัดนี้ว่า จักไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางวัตถุประสงค์ ในการเดินทางของท่านได้ องค์หญิงจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง อย่างปลอดภัยในอ้อมปีกพิทักษ์ของข้า ข้าจะปกป้องคุ้มครองท่าน ตลอดเส้นทางที่ข้าพเจ้า จะนำท่านบ่ายหน้าไปยังหอคอยเทพ อันเป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ ”
“หลังจากบรรลุเป้าหมายแล้ว เจ้าจะทำยังไงกับข้าต่อไป?”
“หลังจากภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าก็จะส่งท่านกลับคืนสู่กลามีธีสอย่างปลอดภัย” กิดิออนรับปากให้หล่อนเกิดความรู้สึกมั่นใจ
“ท่านพูดเหมือนว่าระยะทางจะใกล้แค่ปลายจมูก เหมือนเดินจากห้องบรรทมไปชมสวนหลังวังงั้นแหล่ะ สัมภาระที่บรรทุกรถม้ามาเล่าจะทำเช่นไร ท่านไม่คำนึงว่าข้าต้องกินต้องใช้อะไรเลยรึ?”
“เรื่องเสบียงสัมภาระเกะกะพวกนั้น ที่ขนกันมาเต็มคาราวานน่ะ โยนทิ้งไปให้หมดเถอะ ปีกของข้าจะพาท่านไปถึงจุดหมายภายในระยะเวลาอันสั้น และข้าก็สามารถจับสัตว์ให้ท่านย่างไฟในป่าได้ไม่อดตายหรอก”
“ทำไมท่านต้องช่วยเหลือข้า”
“เพื่อให้ท่านปลุกอำนาจที่หลับไหลขึ้นมา เพื่อจะช่วยคลายมนต์ผนึกแก่ข้าที่ยังหลงเหลืออยู่ ข้าซื่อสัตย์ต่อท่านเสมอ อย่างกังวลไปเลย”
เจ้าหญิงสั่นหน้า ปฏิเสธว่า “ข้าไปกับท่านไม่ได้หรอก ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแหวนวงนี้เลย หากปราศจากคำชี้แนะของแม่เฒ่าผู้รู้ ตัวข้าก็สิ้นปัญญาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร มิตรสหายที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน พวกเขาก็เป็นกำลังสำคัญเกื้อหนุนข้า ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หวังว่าท่านคงจะเข้าใจที่ข้าพูด และให้อิสระแก่ข้าในเรื่องนี้”
เหตุผลแท้จริงที่เจ้าหญิงฟาลเนียไม่ต้องการ มุ่งหน้าไปยังหอคอยเทพตามลำพังมีอยู่สามประการ
ประการแรกคือ หล่อนไม่ต้องการเดินทางไปพร้อมกับภูตวิหคตนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงเจตจำนงเอื้อประโยชน์แก่หล่อนในการเดินทางสู่จุดหมาย แต่หล่อนก็ไม่ไว้ใจและระมัดระวังไมตรีที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบยื่นให้
ประการที่สองคือ หล่อนมีความรู้ความเข้าใจอันน้อยนิด เกี่ยวกับแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองอยู่ นอกจากอำนาจของมัน(อันเป็นเพียงส่วนเดียวของพลังอำนาจทั้งหมด)ที่แสดงตัวออกมาแล้ว หล่อนก็ไม่รู้วิธีดึงพลังที่เหลือซึ่งซ่อนอยู่ออกมาด้วยวิธีใด เมื่อปราศจากการชี้นำของแม่เฒ่าผู้รู้ หล่อนเองก็อับจนปัญญาไม่รู้ต้องทำเช่นไรต่อไป
และประการสุดท้ายสำคัญที่สุดคือ หล่อนโหยหากลับคือสู่อ้อมแขนของบุคคลผู้หนึ่งทุกขณะ เคยให้สัญญาเอาไว้ว่าหากต้องพลัดพรากจากกัน แม้จะต้องว่ายน้ำลุยไฟ หล่อนก็จะแสวงหาหนทางกลับไปหาเขาจนได้ เวลานี้หล่อนจะพิสูจน์ให้ประจักษ์ว่า คำกล่าวของหล่อนไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวลอยลม แต่เป็นปฏิธานที่ให้ไว้ด้วยใจภักดิ์
v
v
The Light of Darkness [บทที่ 17]
สายลมพัดไรผมอ่อนแนบต้นคอของฟาลเนียระริกไหว กลิ่นฉุนประหลาดที่ติดกายมาอ่อนจางลงไป สัมปชัญญะและกำลังวังชา กลับคืนมาสู่ร่างกายที่เป็นอัมพาตไปชั่วขณะ หล่อนดึงกายลุกขึ้นยืนอย่างเต็มสัดส่วนบนพื้น หลังจากสามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกครั้ง
เผชิญกับอมนุษย์หญิง ผู้ยืนห่างจากหล่อนไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ไม่ทราบวัตถุประสงค์แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม แต่เดาว่าเจตนาของนางภูตนกตนนี้ จะต้องเป็นไปเพื่อขัดขวางเป้าหมายของคณะเดินทางเป็นแน่
“เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่?”
ภูตสาวยืดร่างสูงโปร่ง บิดเอวไปมาอย่างเมื่อยล้า สายลมฉ่ำเย็นยามดึกเป่าเส้นผม
ถึงแม้ว่าจะมีพละกำลังเกินกว่ามนุษย์เพศหญิงธรรมดาทั่วไป แต่นางก็จัดว่าเป็นหญิงเอวบาง แขนขายาวระหงผู้หนึ่ง ย่อมต้องรู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบ้างเป็นธรรมดา ยิ้มอย่างมีเลศนัย ขยับเท้าเข้ามาใกล้ เดินวนเวียนไปรอบๆ สายตาคมวาวมองตามร่างเจ้าหญิงหัวจรดปลายเท้า
ฝ่ายหล่อนเองก็ปรายตามองตามข้ามไหล่ตนเองอย่างไว้เชิงอยู่ทุกขณะ ไม่ทราบว่านางนกจะมาไม้ไหน ลำพังตัวหล่อนเองขณะนี้ นับว่าเสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามอยู่เต็มประตู หากนางคิดจะทำอันตรายหล่อน ขึ้นมาจริงๆแล้วก็คงหมดทางรอดได้ แต่หล่อนก็แสดงความไว้ตัว วางหน้านิ่งสะกดความกลัวเอาไว้ ไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่าย สามารถข่มขู่ตะบันบี้เอาได้ง่ายๆ
พริบตานั้นก็บังเกิดเสียงวัตถุทะลวงอากาศ ตัดผ่านศีรษะของทั้งคู่ไปอย่างรวดเร็วปานลมกรด ปรากฏเงาปีกสีดำทะมึนกางแผ่ บินเฉวียนวกกลับมา ถลาร่อนลงสู่เบื้องล่าง ข้อเท้าเหยียดตรึงกับพื้น ยืดร่างตระหง่านดุจจำหลักศิลา เบื้องหน้าสตรีทั้งสองนาง
“เฟริออน เจ้ามาขัดขวางการเดินทางของคณะผู้ถือแหวนศักดิ์สิทธิ์เพื่อการใด?” กิดิออนเอ่ยถามด้วงน้ำเสียงเปี่ยมอำนาจ
“ข้าได้รับคำสั่งจากราชินี ให้นำตัวเจ้าหญิงไปมอบให้แก่นาง” นางภูตสาวตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“หากเป็นพระประสงค์จริง นางควรสั่งข้าไม่ใช่เจ้า นั่นเป็นแค่คำกล่าวอ้าง เพื่อซ่อนจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้ามากกว่า บอกข้ามาแต่โดยดี ว่าเจ้ามีแผนการอันใด” ภูตหนุ่มเค้นความจากหล่อนต่อไป
นางหัวเราะ กล่าวน้ำเสียงหยันๆว่า “เฮอะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้อง มาเสียเวลานั่งกุเรื่องโป้ปดหรอกนะ”
“ราชินีรับสั่งให้เจ้าขัดขวางการเดินทางของแหวนศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร?” ภูตหนุ่มถามน้ำเสียงแววแดกดัน
“ก็ใช่น่ะสิ นางให้ข้าขัดขวางแล้วจับเจ้าหญิงไปกักที่ปราสาทแห่งความมืด” นางภูตวิหคตอบฉะฉาน
“มีเหตุผลอันใดที่พระองค์ต้องคิดขัดขวาง การเดินทางสู่หอคอยเทพ ของคณะแหวนศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อสิ่งนี้จักเอื้อประโยชน์แก่ข้าโดยตรง ต่อการปลดเปลื้องคำสาป” หยุดคิดชั่วครู่ แล้วกล่าวเสียงแผ่วลงว่า “สำคัญกว่านั้น ทำไมนางจะต้องปิดบังข้าเรื่องนี้”
กิดิออนรำพึงอย่างคลางแคลงใจ กระแสเสียงบ่งบอกว่าไม่ปลงใจเชื่ออยู่ดี
“ก็ไปถามราชินีเองสิ” นางสะบัดน้ำเสียงอย่างรำคาญ พร้อมกับยึดข้อแขนของเจ้าหญิงที่พยายามผละหนีแต่ไม่พ้น
“ส่งเจ้าหญิงมาให้ข้าแต่โดยดี เฟริออน” กิดิออนออกคำสั่ง ขยับเท้าเข้าไปหา
ภูตวิหคสาวนาม เฟริออน ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วผินหน้าหลบ ปีกเตรียมขยับเตรียมจะผละหนี แหวกอากาศขึ้นไปพร้อมกับร่างขององค์หญิง แต่ทว่ากิดิออนฉับไวกว่า เขากลายร่างเป็นนก บินโฉบโจมตี จิกทึ้งเส้นผมดำขลับของหล่อน หลุดร่วงออกมาเป็นปอยติดจงอยปากแหลมงุ้ม อย่างไร้ความปรานี นางภูตนกสะบัดหน้าหนี กรีดร้องแหลม อย่างโมโหโทโสและเจ็บแสบ ปัดไล่นกที่พยายามจิกตี อย่างชุลมุนวุ่นวายไปหมด แล้วนางก็ยอมแพ้ กลายร่างเป็นนกบินหนีไปในที่สุด
ดวงตาคมสีโกแมนของเขาเป็นประกายวาววับ ริมฝีปากบางเฉียบ ปรากฏรอยยิ้มลึกลับ เต็มไปด้วยปริศนา มีความน่ากลัวแฝงเร้นอยู่ขยับปากว่า “ข้ามาเพื่อช่วยเหลือท่าน องค์หญิงฟาลเนีย”
“เพื่อช่วยเหลือข้าหรือ?” หล่อนตวัดเสียง
กุมแหวนบนนิ้วเรียวงามเอาไว้ สายตาเขม้นจ้องภูตหนุ่มไม่วางตา หรี่ตาพินิจมองใบหน้า และแววตาของอีกฝ่าย บังเกิดความครั่นคร้าม ต่อรูปลักษณ์ทั้งน่าดึงดูด และน่าผลักไส ทั้งน่าหลงไหล และน่าชิงชัง
“ถูกแล้ว ข้ามาเพื่อช่วยเหลือท่านอย่างเต็มใจยิ่ง” เขาย้ำอีกครั้ง ด้วยกระแสเสียงชัด “ข้าจะนำพาท่านไปยังหอคอยเทพ ที่ท่านกำลังมุ่งหน้าไปประกอบพิธี ปลุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะผู้ครอบครองแหวน”
“ท่านรู้แผนการของข้าได้อย่างไรกัน?” เจ้าหญิงฟาลเนียเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
แทนคำตอบที่เขาไม่จำเป็นจะต้องพูด กิดิออนสลับเท้าเข้ามาใกล้ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า เปล่งวาจาดังก้องว่า
“ภูตวิหคผู้ซื่อสัตย์ตนนี้ ขอมอบสัจจะวาจาแก่องค์หญิงฟาลเนีย ณ บัดนี้ว่า จักไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางวัตถุประสงค์ ในการเดินทางของท่านได้ องค์หญิงจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง อย่างปลอดภัยในอ้อมปีกพิทักษ์ของข้า ข้าจะปกป้องคุ้มครองท่าน ตลอดเส้นทางที่ข้าพเจ้า จะนำท่านบ่ายหน้าไปยังหอคอยเทพ อันเป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ ”
“หลังจากบรรลุเป้าหมายแล้ว เจ้าจะทำยังไงกับข้าต่อไป?”
“หลังจากภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าก็จะส่งท่านกลับคืนสู่กลามีธีสอย่างปลอดภัย” กิดิออนรับปากให้หล่อนเกิดความรู้สึกมั่นใจ
“ท่านพูดเหมือนว่าระยะทางจะใกล้แค่ปลายจมูก เหมือนเดินจากห้องบรรทมไปชมสวนหลังวังงั้นแหล่ะ สัมภาระที่บรรทุกรถม้ามาเล่าจะทำเช่นไร ท่านไม่คำนึงว่าข้าต้องกินต้องใช้อะไรเลยรึ?”
“เรื่องเสบียงสัมภาระเกะกะพวกนั้น ที่ขนกันมาเต็มคาราวานน่ะ โยนทิ้งไปให้หมดเถอะ ปีกของข้าจะพาท่านไปถึงจุดหมายภายในระยะเวลาอันสั้น และข้าก็สามารถจับสัตว์ให้ท่านย่างไฟในป่าได้ไม่อดตายหรอก”
“ทำไมท่านต้องช่วยเหลือข้า”
“เพื่อให้ท่านปลุกอำนาจที่หลับไหลขึ้นมา เพื่อจะช่วยคลายมนต์ผนึกแก่ข้าที่ยังหลงเหลืออยู่ ข้าซื่อสัตย์ต่อท่านเสมอ อย่างกังวลไปเลย”
เจ้าหญิงสั่นหน้า ปฏิเสธว่า “ข้าไปกับท่านไม่ได้หรอก ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแหวนวงนี้เลย หากปราศจากคำชี้แนะของแม่เฒ่าผู้รู้ ตัวข้าก็สิ้นปัญญาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร มิตรสหายที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน พวกเขาก็เป็นกำลังสำคัญเกื้อหนุนข้า ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หวังว่าท่านคงจะเข้าใจที่ข้าพูด และให้อิสระแก่ข้าในเรื่องนี้”
เหตุผลแท้จริงที่เจ้าหญิงฟาลเนียไม่ต้องการ มุ่งหน้าไปยังหอคอยเทพตามลำพังมีอยู่สามประการ
ประการแรกคือ หล่อนไม่ต้องการเดินทางไปพร้อมกับภูตวิหคตนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงเจตจำนงเอื้อประโยชน์แก่หล่อนในการเดินทางสู่จุดหมาย แต่หล่อนก็ไม่ไว้ใจและระมัดระวังไมตรีที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบยื่นให้
ประการที่สองคือ หล่อนมีความรู้ความเข้าใจอันน้อยนิด เกี่ยวกับแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองอยู่ นอกจากอำนาจของมัน(อันเป็นเพียงส่วนเดียวของพลังอำนาจทั้งหมด)ที่แสดงตัวออกมาแล้ว หล่อนก็ไม่รู้วิธีดึงพลังที่เหลือซึ่งซ่อนอยู่ออกมาด้วยวิธีใด เมื่อปราศจากการชี้นำของแม่เฒ่าผู้รู้ หล่อนเองก็อับจนปัญญาไม่รู้ต้องทำเช่นไรต่อไป
และประการสุดท้ายสำคัญที่สุดคือ หล่อนโหยหากลับคือสู่อ้อมแขนของบุคคลผู้หนึ่งทุกขณะ เคยให้สัญญาเอาไว้ว่าหากต้องพลัดพรากจากกัน แม้จะต้องว่ายน้ำลุยไฟ หล่อนก็จะแสวงหาหนทางกลับไปหาเขาจนได้ เวลานี้หล่อนจะพิสูจน์ให้ประจักษ์ว่า คำกล่าวของหล่อนไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวลอยลม แต่เป็นปฏิธานที่ให้ไว้ด้วยใจภักดิ์
v
v