แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตารอไฟให้ร้อน

แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตารอไฟให้ร้อน

การทำใบมีดมันมีธีการที่ทำให้เหล็กแข็งตัวที่เรามักจะเรียกกันว่าขั้นตอนการชุบแข็ง แต่จริงๆแล้วมันเป็นกระบวนการให้ความร้อนโดยรวมนะครับ เหล็กจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยขั้นตอนทางโลหะวิทยา โดยรวมแล้วก็คืออบคลายตัวหรือนอมอลไลซ์ ชุบแข็งหรือฮาร์ดเดนนิ่ง และคืนไฟเพื่อคลายความเครียดหลังการชุบแข็งหรือเทมเปอริ่ง ในขั้นตอนของการชุบแข็งยังแยกออกไปตามสารละลายหรือสารที่ใช้ลดอุณหภูมิ ก็มีหลายอย่าง พื้นฐานสุดก็น้ำ และน้ำเกลือก็อยู่ในหมวดนี้ ยังมีสารชุบอีกหลายตัวแต่มักจะใช้ในระบบอุตสาหกรรม , น้ำมัน น้ำมันชุบแข็ง น้ำมันพืช น้ำมันดีเซล น้ำมันสัตว์ น้ำมันเครื่อง น้ำมันผสมแบบต่างๆ ข้อนี้ทดสอบให้ดีว่าน้ำมันที่ใช้มีจุดวาบไฟหรือติดไฟเป็นยังไง คืออย่าเอาน้ำมันที่ติดไฟง่ายแบบน้ำมันเชื้อเพลิงมาทำการชุบใบมีด , การชุบด้วยลมหรือแม้แต่การผึ่งให้ลดอุณหภูมิในอากาศก็ใช้ชุบแข็งสำหรับเหล็กบางประเภทที่มันต้องทำอย่างนั้น

ผมชอบชุบแข็งในน้ำมัน น้อยครั้งที่จะชุบด้วยน้ำหรือลม มีใบมีดไม่กี่ประเภทที่ผมจะทำแบบนั้น ส่วนมากแล้วจะเป็นตัวอย่างชิ้นงานหรือกรณีศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองทางโลหะวิทยา เมื่อเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนเต็มตามแรงบันดาลใจแล้ว การทำมีดในภาวะปรกติกับเหล็กที่ผมนิยมใช้ ผมจุ่มลดอุณหภูมิหรือชุบแข็งในน้ำมันเสมอ

และน้ำมันที่ผมชอบใช้ก็อย่างที่เห็นคือส่วนผสมระหว่างคาโนล่ากับน้ำมันโซล่าหรือดีเซล

ผมเคยใช้น้ำมันแบบพื้นๆอยู่หลายอย่าง เคยได้น้ำมันชุบแข็งหรือน้ำมันฟาสต์ออยล์อยู่ 2 ครั้ง ก็ใช้ดีนะครับ ผมชอบ แต่ตอนที่ไม่มีผมชอบใช้น้ำมันคาโนล่าผสมโซล่าที่สุด นอกนั้นน้ำมันพืชจากพืชหลากหลายชนิดที่มีในท้องตลาด หรือน้ำมันสัตว์ น้ำมันหมู น้ำมันปลา น้ำมันไก่ ก็เคยลองใช้อยู่บ้าง ที่ยังไม่เคยใช้และอยากลองดูก็น่าจะเหลืออย่างเดียวคือพวกปาร์ก50

เคยใช้น้ำมันแข็ง น้ำมันหมูแช่เย็น หรือ Goop ตามสูตรของเวน กอดดาร์ด ที่ผสมขี้ผึ้ง ไขมันสัตว์กับน้ำมันไฮดรอลิก ก็ใช้ได้ดีแต่กระบวนการค่อนข้างยุ่งยาก โคตรยุ่งยาก ใช้ได้ดีเหมือนๆน้ำมันอื่นๆแต่ยุ่งยากและต้นทุนสูงกว่ากันมาก

การจุ่มลดอุณหภูมิ แทบจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการชุบแข็งหรือกระบวนการให้ความร้อน จริงๆแล้วมันก็สำคัญนะครับต่อคุณภาพของใบมีดหรือคุณสมบัติของเหล็กที่เราเอามาใช้ แต่มันไม่ใช่ขั้นตอนหรือสิ่งสำคัญที่สุดในการชี้วัดว่าเราจะได้ใบมีดที่ดี ยังมีขั้นตอนก่อนหน้านั้นอีกเยอะมาก โดยเฉพาะการทำใบมีดด้วยวิธีตีขึ้นรูปหรือมีดงานร้อน

อธิบายให้เห็นง่ายๆเช่นเราเตรียมน้ำมันอย่างดีไว้ชุบแข็ง แต่ใบมีดเหล็ก SUP9 ที่เราทำมาตีขึ้นรูปข้างเดียวคือตีอัดเฉพาะด้านขวา ถึงจุดสุดท้ายจะตีดัดให้ตรง เมื่อมาชุบแข็ง มันก็มีแนวโน้มว่าจะโค้งหรือเอียงไปทางด้านขวานั่นแหละ

หรือตีขึ้นรูปในอุณหภูมิสูงจัด และอบคลายหรือนอมอลไลซ์ไม่ดีพอ ให้ควบคุมอุณหภูมิในขั้นตอนชุบแข็งหรือสารชุบยังไง ใบมีดเล่มนี้ก็จะเกรนหยาบๆเสียคมง่ายอยู่ดี

สำหรับช่างทำมีดงานร้อน กระบวนการให้ความร้อนเริ่มขึ้นตั้งแต่เราหยิบเหล็กดิบๆใส่เข้าไปในเตาเพื่อเผาและตีขึ้นรูปนั่นแหละ เริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ใช่เริ่มตอนเผาเพื่อชุบแข็ง เหล็กแต่ละเบอร์หรือแต่ละส่วนผสมมันตีไม่เหมือนกัน การใช้วิธีเดียวกันกับเหล็กต่างชนิดกันต้องศึกษาข้อมูลให้ดี มันมีบางอย่างทำร่วมกันได้หรือใช้กระบวนการและอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกัน แต่บางอย่างก็ไม่ได้

เรื่องอุณหภูมิ อาจจะแตกต่างกันไปตามส่วนผสมของเหล็ก แต่กระบวนการหรือวิธีทำมันคล้ายๆกันอยู่บ้าง เช่นตีในช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม ควบคุมขนาดของเกรนเหล็ก ตีเพิ่มความหนาแน่นของปริมาณคาร์บอน ตีลดขนาดเกรน การอบคลายตัว การอบละลายคาร์ไบด์ อบนอมอลไลซ์ จะกี่รอบหรืออุณหภูมิช่วงไหนก็ว่ากันไปตามสะดวกครับ ถ้ามันอยู่ในมาตรฐานแล้วมันพลิกแพลงวิธีการและอุณหภูมิได้เยอะมาก และมันไม่มีกระบวนการไหนหรือสูตรไหนที่ใช้ตายตัว เมื่อทุกอย่างได้ที่แล้วก็มาถึงการอบอ่อน

การอบอ่อนจริงๆแล้วก็เป็นการอบคลายเครียดชนิดนึง แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องเตรียมเนื้อเหล็กของเราให้ดี ลดขนาดเกรนให้เรียบร้อย และอบนอมอลไลซ์กระจายความเครียดจากการตีขึ้นรูปให้มากที่สุด การอบอ่อนแบบอบเฉยๆกับการอบอ่อนแบบปรับเนื้อเหล็กมาก่อนหน้านั้นให้ใบมีดหรือเนื้อเหล็กที่มีผลแตกต่างกันมาก

เมื่อตกแต่งใบมีดจนพอใจแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมชุบแข็ง ด้วยการนอมอลไลซ์ มันมีหลายสูตรเหมือนกันนะครับ แต่แบบดั้งเดิมของช่างตีเหล็ก ABS มักจะทำสองครั้งหรือสามครั้ง ครั้งเดียวก็ได้ถ้าควบคุมอุณหภูมิและเวลาได้เหมาะสมจริงก็ได้เนื้อเหล็กที่คุณภาพมาตรฐานแน่นอน ถ้าทำสองครั้งมักจะเป็นสูตรลดอุณหภูมิ เช่นครั้งแรกเผาในช่วงออสเตนไนต์สูง ซึ่งเหล็กแต่ละชนิดไม่เท่ากัน เช่น 5160 ก็เผารอบแรกที่ 850 - 870 องศาเซลเซียส และรอบที่สองปรับลงมาเหลือ 830 - 840 ประมาณนั้น

ใบมีดที่นอมอลไลซ์แล้วก็เตรียมเข้าขั้นตอนการชุบแข็งได้ วิธีเผาชุบก็ไม่มีอะไรมาก แค่อุณหภูมิถูกต้องและเวลาเหมาะสม แค่นั้นจริงๆ อุณหภูมิถูกต้องคือเผาร้อนขนาดนั้นเหล็กกลายเป็นออสเต็นไนต์ มันมีช่วงอุณหภูมิดีๆอยู่สำหรับชนิดเหล็กและรูปทรงของใบมีด ความหนาและปริมาตรโดยรวมของเหล็ก และเวลาที่เหมาะสม คือขั้นตอนการเติมไฟหรือพรีฮีท และเวลาในการกินไฟหรือโซกไทม์ ถ้าคิดว่าได้ที่แล้วก็หยิบหรือคีบออกมาลดอุณหภูมิ

การจุ่มหรือลดอุณหภูมินี่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยออกไปอีกมากนะครับ เช่นวิธีการจุ่ม จุ่มทั้งใบหรือบางส่วน จุ่มในอ่างนอนหรือในท่อยืน เอาปลายลงก่อนหรือเอาหน้าคมลงก่อน หรือเอาหน้าคมลงก่อนโดยเสียบปลายไปลงไป ซึ่งแต่ละวิธียังให้ผลลัพธ์หรือกระทำต่อใบมีดไม่เหมือนกัน

น้ำมันชนิดไหน ? ปริมาณเท่าไหร่ ระวังอย่าให้น้อยเกินไป อุ่นน้ำมันก่อนจุ่มรึเปล่า น้ำมันติดไฟไหม ถ้าติดมีฝาปิดรึเปล่า หรือถ้ามันลุกขึ้นมากๆจะดับยังไง ต้องเตรียมการให้พร้อม ถุงมือต้องใส่ คีมต้องยาวพอที่จะให้มืออยู่ห่างความร้อน

ว่ากันว่าช่วงเวลาในการสร้างเฟสมาร์เทนไซต์ของเหล็กไฮคาร์บอนมีอยู่ประมาณ 2 - 3 วินาทีเท่านั้น คือต้องลดอุณหภูมิจาก แปดร้อยกว่าองศาเซลเซียสตามแต่ส่วนผสมของเหล็ก ลงมาให้ต่ำกว่า 200 องศาเซลเซียสมีช่วงเวลาอยู่แค่นี้จริงๆ หลายชั่วโมงหรือหลายวันที่ทุ่มเทมาถูกตัดสินกันด้วยสองวินาที ตามหลักการเรามีเวลาอีกประมาณ 1-2 นาที ในการดูหรือตรวจสอบความคดงอขั้นต้น ถ้ามันงอเราจะดัดมันได้ในช่วงนี้ ถ้าเลยเวลาไปแล้วมันจะดัดไม่ได้ ต้องไปดัดกันในช่วงการอบคลายเครียดหรือเทมเปอริ่งที่ประมาณ 200 - 250 องศา ถ้ามันยังดัดไม่ได้อีกก็ต้องอบคลายตัวแล้วมาเริ่มกันใหม่

ตรวจสอบความแข็ง ความตรง ถ้าพอใจได้ที่ก็เข้าสู่ขั้นตอนการอบคลายเครียด ใบมีดที่ชุบแข็งแล้วมันเกิดความเครียด ยิ่งใบที่ชุบแข็งแบบบางส่วนหรือดิฟเฟอเรนเชี่ยลฮาร์ดเดนนิ่งมันยิ่งเครียด การชุบแบบพอกโคลนหรือสร้างฮามอนนี่แหละตัวดี ถ้าคลายเครียดไม่ทันมันมีแตกร้าวภายหลังได้ การเทมเปอริ่งมีทั้งแบบแมนนวลคือจัดการเอาเอง ปิ้งไฟให้ความร้อนโดยอาศัยการดูสีออกไซด์ของใบมีด ช่างตีเหล็กอเมริกันเบลดสมิธรุ่นเก่าก็ใช้วิธีนี้ แม้แต่ช่างตีดาบตีมีด ตีกรรไกรชาวญี่ปุ่นก็ยังใช้วิธีนี้อยู่เหมือนเดิม ถ้าตามสูตรสมัยใหม่ก็ต้อง อบด้วยตู้อบที่อุณหภูมิ 180 - 200 องศาเซลเซียส ครั้งละ 1 ชั่วโมง ทำสองครั้ง ถ้าใบมีดขนาดใหญ่ใช้งานหนักอาจทำถึงสาม

ผมอยู่เชียงใหม่ แม่ผมตอนนี้อยู่ลพบุรี ไปดูแลน้องสาว แม่มักจะส่งข้าวของมาให้ผมเสมอๆ ทุกเดือน บางเดือนก็ทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะในช่วงที่ผมไม่ค่อยงานทำหรือไม่ได้ทำงานและแน่นอนว่าไม่ค่อยมีอะไรกิน แม่มักจะส่งปลา ส่งเนื้อ อาหารแห้ง ขนมนมเนยต่างๆ จริงๆแล้วกลัวหลานชายสองคนอดตายซะมากกว่า ปลาแห้งแบบต่างๆ ที่แถวนี้ไม่ค่อยมีขายหรือถึงมีผมก็ไม่มีกะตังค์ซื้ออยู่ดี และคราวนี้มีหัวไชโป้วแห้งแบบหวานที่ซอยเป็นเส้นละเอียดๆมาด้วย
ตอกไข่ซักสองฟอง เยอะกว่านั้นมันทอดยาก ถ้ามีไข่เป็ดก็ใช้ไข่เป็ด ถ้าไม่มีก็เอาไข่ไก่ฟองใหญ่ๆ เหยาะน้ำปลาและพริกไทยป่น น้ำมะนาวหน่อยนึง ตีให้เข้ากันแรงๆละเอียดๆ เสร็จแล้วใส่ไชโป้วลงไปตามศรัทธา อย่าให้มากนัก อาหารถนอมกินแต่น้อยจะได้อยู่นานๆ คือทั้งมีของไว้กินนานๆและไตไม่วายไปซะก่อน ระบบจัดการน้ำและของเสียจะได้ทำงานปรกติ พอเป็นพอไปพอทนทานได้

เอากะทะขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำมันให้มากๆ น้ำมันที่เหลือจากการทอดไข่ยังเอาไปทำอาหารอื่นได้อีก รอไฟให้ร้อนวนๆเอาน้ำมันให้เปียกทั่วกะทะ เทไข่ส่วนผสมลงไป เทด้วยอาการสูงๆแต่อย่าสูงเกินน้ำมันจะกระเด็นลวกมือได้ ขยับกะทะเล็กน้อย รอให้ไข่เป็นตัวแล้วค่อยพลิกกลับ พลิกด้านบนลงด้านล่าง ดูให้สุกได้ที่ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมากระทบฆานวิญญาณ กลับด้านบนลงด้านล่างอีกทีนึง อาจจะให้ด้านล่างเกรียมๆหน่อยอร่อยดี ถ้าเร่งไฟได้ให้เร่งไฟจังหวะสุดท้ายแล้วไข่จะไม่อมน้ำมัน หรืออาจจะใช้วิธีรินน้ำมันออกให้หมดแล้วเอาไข่ที่สุกดีแล้วลงนาบในกะทะอีกครั้งไล่น้ำมันสุดท้ายออก ตักใส่จาน หาข้าวสวยหรือข้าวเหนียวก็ได้มาซักจานสองจานแล้วก็ลงมือกิน

ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา ... ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ไข่ซักสองฟอง ไชโป้วซักหยิบมือ แล้วความหิวก็ผ่านพ้นไปง่ายๆ

แม้สิ่งนั้นจะนิดเดียว เดียว เดียว เดียว เดียววววว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่