เกริ่นก่อนค่ะว่า บริษัทที่เอฟเข้าไปทำเป็นบริษัทที่เพิ่งเปิดตัวได้ 2 ปี มีพนักงานไม่เกิน 3 คน คือ
เจ้าของบริษัทที่เป็นเซลล์ พนักงานวิ่งเอกสาร และเอฟเป็นพนักงานออฟฟิศเพียงคนเดียว
เอฟทำงานมาเรื่อยๆเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปีเห็นจะได้ เธอเริ่มได้รับข่าวคราวในทางที่ไม่ดีนัก จากแม่ของเธอ
แม่ของเอฟเป็นคนอารมณ์ร้าย ใจร้อน เอาความคิดของตัวเองเป็นหลัก และไม่ชอบยอมรับความจริง
(เหมือนจะขี้เกียจร่วมด้วย) อันนี้เอาไว้ให้ผู้อ่านตัดสินหลังจบนิทานเรื่องนี้นะคะ
ด้วยนิสัยพวกนี้จะทำให้เกิดปัญหาอย่างหนักอึ้งในอนาคต
เวลาผ่านไปไม่นานเอฟอายุได้ประมาณ 22 ย่าง 23 ปี แม่ของเอฟเริ่มโทรมาบ่อยขึ้น
และเรื่องที่โทรนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการเงิน
ในระหว่างนั้น พ่อของเอฟเองก็ไม่ได้มีสภาพคล่องด้านการเงินด้วยเช่นกัน
เพราะพ่อของเอฟ มีนิสัยหยิ่งทนงในศักดิ์ศรี หน้าใหญ่ใจโต และไม่ยอมให้ใครคิดว่าตัวเองด้อยกว่า
แต่เป็นคนพูดน้อย เงียบขรึม ไม่พูดจาหยาบคาย
ขอเล่ามาถึงช่วงที่หนักขึ้นเรื่อยๆเลยแล้วกันนะคะเพื่อให้เรื่องนี้สั้นลง
ไม่นาน แม่ของเอฟเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม่ของเอฟโทรมาบอกว่าป่วยและไปทำงานไม่ไหว
เอฟพาไปพบแพทย์เพื่อรักษา อาการที่พบ คุณหมอบอกว่าไข้หวัดทั่วไปไม่มีอะไรน่าห่วง
แต่แม่ของเอฟดูทีท่าว่าจะไม่มีอาการดีขึ้น หยุดงานหนักขึ้นเรื่อยๆ พาไปพบแพทย์ตรวจละเอียด
แพทย์ก็ยืนยันเช่นเดิม เอฟเองตกลงกับแม่ในทุกเดือนจะส่งเงินให้เดือนละ 1000 บาท
ในระยะนั้นเอฟได้หยุดเรียนสักพักเพื่อเต็มที่กับการทำงานใหม่
และแม่ของเอฟก็มีปัญหาแบบนี้เรื่อยๆ ทำงานบ้างหยุดงานบ้าง ด้วยเหตุผลว่าป่วยไม่สบายทำงานไม่ไหวมาตลอด
แม่ของเอฟเช่าห้องอยู่ใกล้ๆเอฟ ราคาห้องเช่าจ่ายรวมน้ำไฟแล้วอยู่ที่ 3600-3800 บาท/เดือน
เวลาล่วงเลยไปจนน้องพี ขึ้นเรียนชั้นปีที่ 3 กลางๆเทอม พ่อของเอฟ บอกว่าต้องการออกรถเก๋ง 1 คัน เอฟเองก็เห็นด้วย
เพราะบ้านเรายังไม่เคยมีรถเป็นของตัวเองกันเลย เคยมีเมื่อตอนเด็กๆก็ขายใช้หนี้กันหมด
พ่อของเอฟบอกว่าผ่อนเดือนนึง 8000 บาท เอฟรับรู้แต่คงช่วยอะไรมากไม่ได้
เพราะลำพังข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเอฟก็เป็นคนจัดการทั้งหมด
ตอนที่ 3 นิทาน "ครอบครัวกับผลประโยชน์"
เจ้าของบริษัทที่เป็นเซลล์ พนักงานวิ่งเอกสาร และเอฟเป็นพนักงานออฟฟิศเพียงคนเดียว
เอฟทำงานมาเรื่อยๆเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปีเห็นจะได้ เธอเริ่มได้รับข่าวคราวในทางที่ไม่ดีนัก จากแม่ของเธอ
แม่ของเอฟเป็นคนอารมณ์ร้าย ใจร้อน เอาความคิดของตัวเองเป็นหลัก และไม่ชอบยอมรับความจริง
(เหมือนจะขี้เกียจร่วมด้วย) อันนี้เอาไว้ให้ผู้อ่านตัดสินหลังจบนิทานเรื่องนี้นะคะ
ด้วยนิสัยพวกนี้จะทำให้เกิดปัญหาอย่างหนักอึ้งในอนาคต
เวลาผ่านไปไม่นานเอฟอายุได้ประมาณ 22 ย่าง 23 ปี แม่ของเอฟเริ่มโทรมาบ่อยขึ้น
และเรื่องที่โทรนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการเงิน
ในระหว่างนั้น พ่อของเอฟเองก็ไม่ได้มีสภาพคล่องด้านการเงินด้วยเช่นกัน
เพราะพ่อของเอฟ มีนิสัยหยิ่งทนงในศักดิ์ศรี หน้าใหญ่ใจโต และไม่ยอมให้ใครคิดว่าตัวเองด้อยกว่า
แต่เป็นคนพูดน้อย เงียบขรึม ไม่พูดจาหยาบคาย
ขอเล่ามาถึงช่วงที่หนักขึ้นเรื่อยๆเลยแล้วกันนะคะเพื่อให้เรื่องนี้สั้นลง
ไม่นาน แม่ของเอฟเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม่ของเอฟโทรมาบอกว่าป่วยและไปทำงานไม่ไหว
เอฟพาไปพบแพทย์เพื่อรักษา อาการที่พบ คุณหมอบอกว่าไข้หวัดทั่วไปไม่มีอะไรน่าห่วง
แต่แม่ของเอฟดูทีท่าว่าจะไม่มีอาการดีขึ้น หยุดงานหนักขึ้นเรื่อยๆ พาไปพบแพทย์ตรวจละเอียด
แพทย์ก็ยืนยันเช่นเดิม เอฟเองตกลงกับแม่ในทุกเดือนจะส่งเงินให้เดือนละ 1000 บาท
ในระยะนั้นเอฟได้หยุดเรียนสักพักเพื่อเต็มที่กับการทำงานใหม่
และแม่ของเอฟก็มีปัญหาแบบนี้เรื่อยๆ ทำงานบ้างหยุดงานบ้าง ด้วยเหตุผลว่าป่วยไม่สบายทำงานไม่ไหวมาตลอด
แม่ของเอฟเช่าห้องอยู่ใกล้ๆเอฟ ราคาห้องเช่าจ่ายรวมน้ำไฟแล้วอยู่ที่ 3600-3800 บาท/เดือน
เวลาล่วงเลยไปจนน้องพี ขึ้นเรียนชั้นปีที่ 3 กลางๆเทอม พ่อของเอฟ บอกว่าต้องการออกรถเก๋ง 1 คัน เอฟเองก็เห็นด้วย
เพราะบ้านเรายังไม่เคยมีรถเป็นของตัวเองกันเลย เคยมีเมื่อตอนเด็กๆก็ขายใช้หนี้กันหมด
พ่อของเอฟบอกว่าผ่อนเดือนนึง 8000 บาท เอฟรับรู้แต่คงช่วยอะไรมากไม่ได้
เพราะลำพังข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเอฟก็เป็นคนจัดการทั้งหมด