JJNY : 5in1 ปิยบุตรย้อนทักษิณ│ธนาธรลุยหาเสียง│รบ.พม่าไฟเขียววิโรจน์│ผู้สมัครปชน.ร้องกกต.ตรวจสอบ│หุ้นปิดตลาดทิ้งทิ้งดิ่ง

ปิยบุตร ปลุกออกเสียง เปลี่ยนการเมืองท้องถิ่นเป็นของปชช. ย้อนทักษิณ รบ.ต้องดูแลอปท. มิใช่ บังคับบัญชา
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5026871

ปิยบุตร ร่ายยาว สอน ทักษิณ หาเสียงขอท้องถิ่นเป็นมือเป็นไม้ ผิดหลักการกระจายอำนาจ ชี้ ต้อง “กำกับดูแล” ไม่ใช่ “บังคับบัญชา” ซาวด์เสียงประชาชน จะเลือก “กระทรวง อบจ.” หรือ อบจ. ที่เป็นอิสระ ย้ำเลือกตั้ง อบจ.68 มีแค่ 2 ทาง “การเมืองของครอบครัว-การเมืองของประชาชน” บอกโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ต่อให้ “บ้านใหญ่” ใจดี-มีน้ำใจ แต่ต้องมีเรื่อง “บุญคุณ” ตามมา มองคนที่ได้รับผลร้ายที่สุด คือ “ประชาชน”
 
เมื่อวันที่ 31 มกราคม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “การเลือกนายก อบจ.68 คือ การเลือกการเมืองท้องถิ่น 2 แนวทาง”
 
นายปิยบุตร ระบุว่า 
 
การเลือกตั้งนายก อบจ.ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นอกจากประชาชนใน 47 จังหวัด จะได้เลือกผู้บริหารสูงสุดเพื่อมาบริหารราชการแผ่นดิน จัดทำบริการสาธารณะ และบริหารจัดการงบประมาณในพื้นที่จังหวัดของตนแล้ว การเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ ยังเป็นการเลือกการเมืองท้องถิ่น 2 แนวทาง ใน 
2 ประเด็น ดังนี้
 
ประเด็นแรก การเมืองท้องถิ่นของครอบครัว กับ การเมืองท้องถิ่นของประชาชน ในอดีตที่ผ่านมา การเมืองท้องถิ่นมักผูกพันกับระบบ “บ้านใหญ่” ประจำจังหวัด ตำแหน่งนายกฯท้องถิ่นตกอยู่กับผู้มีอำนาจ อิทธิพล (ทั้งทางเงินทองและทางกลไกรัฐ) และตำแหน่งก็จะวนเวียนกันอยู่ในตระกูลตนเอง เช่น พ่อเป็นแล้ว-ลูกเป็นต่อ, สามีเป็นแล้ว-ภรรยาเป็นต่อ, พี่เป็นแล้ว-น้องเป็นต่อ, ลุงเป็นแล้ว-หลานเป็นต่อ, พ่อตาเป็นแล้ว-ลูกเขยเป็นต่อ เป็นต้น หากคนในตระกูลหมดแล้ว ในกรณีที่ตกลงผลประโยชน์กันได้ลงตัว ก็อาจผ่องถ่ายอำนาจไปให้ลูกน้องคนสนิทที่ไว้วางใจได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ลูกน้องรอไม่ไหว รับใช้นายมานานแล้ว อยากขึ้นมามีอำนาจเองบ้าง ก็จะเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ถ้าสันติสักหน่อย ลูกน้องก็ออกมาตั้งทีมแข่งกับอดีตลูกพี่ เมื่อเอาชนะได้ ก็เริ่มสร้าง “บ้านใหญ่” หลังใหม่ประจำจังหวัด สืบทอดกันในวงตระกูลต่อ แต่ถ้ารุนแรงขึ้น ก็อาจ “สั่งเก็บ” ฆ่ากันตาย
 
การเมืองท้องถิ่นของครอบครัวอาจใช้งานได้ดี อาจทำประโยชน์ให้กับประชาชนอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง สาธารณูปโภคและสาธารณูปการไม่ทั่วถึง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถพึ่งพิงอำนาจรัฐแบบทางการได้ ต้องอาศัยอำนาจ อิทธิพล บารมี เครือข่ายของ “บ้านใหญ่”
 
อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ต่อให้ “บ้านใหญ่” ใจดี มีน้ำใจ ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เท่าไรก็ตาม ก็ไม่มี “บ้านใหญ่” ที่ไหน หลังไหน ช่วยเหลือประชาชนฟรีๆ ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วย “บุญคุณ” ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วยการซื้อใจ/การได้ใจ เพื่อทำให้ครอบครัวตนเองได้รับเลือกตั้งกลับมาเรื่อยๆ ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วยการเข้าไปถอนทุนคืน ทุจริต เบียดบังงบประมาณ ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ
 
วิธีการแบบนี้ คือ การลงทุนทางการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ” ใช้ทุนก้อนหนึ่ง เพื่อหาโอกาสเข้าไปมีอำนาจรัฐ แล้วก็เบียดบังงบประมาณแผ่นดิน ถอนทุนคืน เพื่อเอาทุนมาทำงานการเมืองต่อ วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยไป
 
การเมืองท้องถิ่นในลักษณะนี้ ส่งผลเสียอย่างไร? งบประมาณแผ่นดินไม่ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและส่วนรวมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ต้องถูกแบ่งไปให้กับนักการเมือง โครงการต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เพราะเอกชนผู้รับเหมา ต้องเอาต้นทุนจำนวนหนึ่งหักออกไปส่งเป็น “เงินทอน” 20-30 เปอร์เซนต์ “เงินทอน” ต้องมาก่อน หากโครงการไหนจำเป็นต่อประชาชน แต่ใช้งบน้อย หรือเป็นโครงการที่หาเงินทอนไม่ได้หรือได้น้อย ก็ต้องตกไป โครงการต่างๆ จึงวนเวียนอยู่กับการหาผู้รับเหมา สร้าง ซ่อม สร้าง ซ่อม ภายใต้สูตรคิดคำนวณแบ่ง “เงินทอน” ให้นักการเมือง อำนาจถูกผูกขาดไว้กับ “บ้านใหญ่” หากใครไม่ใช่คนในตระกูล ไม่ใช่คนในเครือข่าย ก็ไม่มีโอกาสได้เติบโต บีบบังคับให้ใครอยากเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ใครอยากทำธุรกิจในจังหวัด ใครอยากได้โครงการ ก็ต้องสวามิภักดิ์บ้านใหญ่
 
เมื่อการเมืองท้องถิ่นกลายเป็นการเมืองของครอบครัว ของบ้านใหญ่ เช่นนี้แล้ว ภาพลักษณ์ของการเมืองท้องถิ่นก็เสียหาย เมื่อไรที่มีเสียงเรียกร้องให้ “ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ ทวงคืนอำนาจสู่ท้องถิ่น” ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีการกระจายอำนาจ ก็จะอ้างว่า การเอาอำนาจ เอางาน เงิน คนไปให้ท้องถิ่นมากๆ สุดท้ายก็มีแต่ “บ้านใหญ่” ที่ได้ไป และนำไปใช้สร้างอาณาจักรของตนเอง ทั้งหมดนี้ คนที่ได้รับผลร้ายที่สุด คือ ประชาชน
 
ประชาชนบางคนบางกลุ่ม อาจได้รับความช่วยเหลือจาก “บ้านใหญ่” อาจได้พึ่งบารมี อิทธิพล เครือข่าย ของ “บ้านใหญ่” แต่ถ้าหากเรากลับมาสร้างการเมืองท้องถิ่นแบบใหม่ให้ถูกต้องตามระบบ ประชาชน ทุกคน ทุกกลุ่ม ก็จะได้รับการดูแลอย่างถ้วนหน้า โดยไม่ต้องเสียค่านายหน้า ค่าโสหุ้ย ส่วย งบประมาณในแต่ละปีที่มาจากภาษีของประชาชน ก็ไม่ต้องถูกแบ่งไปเป็นเงินทอนให้นักการเมือง ในขณะที่นักการเมืองทั้งหลายก็ถูกบีบให้กลับมาแข่งขันกันในเส้นทางที่ถูกต้อง
 
การเมืองท้องถิ่นในแนวทางแบบใหม่ คือ การเมืองท้องถิ่นของประชาชน “ประชาชน” มีโอกาสเข้าสู่การเมือง มีอำนาจบริหารจัดการจังหวัดของตนเองได้ โดยไม่ต้องดูว่ามาจากครอบครัวไหน นามสกุลอะไร สังกัด “บ้านใหญ่” หรือไม่ ไม่ต้องไปสวามิภักดิ์ผู้มีอิทธิพล หรือเดินหิ้วกระเป๋าตาม “บ้านใหญ่”
ผู้สมัครแข่งขันกันเสนอนโยบายที่ตนจะทำหากได้เป็นนายกท้องถิ่น วางแผนงาน จัดสรรงบประมาณ ภายในกี่ปี จะทำเรื่องใด ใช้งบประมาณเท่าไร ในขณะที่ประชาชนได้ติดตาม ตรวจสอบ ทวงถามว่า งบประมาณในแต่ละปี ถูกนำไปใช้ในเรื่องใดบ้า’ นายกท้องถิ่นผูกมัดกับประชาชนด้วยนโยบายที่รณรงค์หาเสียงเอาไว้ ไม่ใช่ผูกมัดผ่านเงินทองหรืออิทธิพล
 
นักการเมืองท้องถิ่นไม่ต้องนำเงินส่วนตัว หรือเงินของครอบครัวมาช่วยเหลือประชาชน แต่จัดสรรงบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชนมาจัดทำบริการสาธารณะและดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมสูงสุด เมื่อนายกท้องถิ่นไม่ได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนทำการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ” พวกเขาก็ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตา “ถอนทุน” คืน การคิดอ่านจัดทำโครงการต่างๆ ก็กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องวนเวียนกับ “สร้าง-ซ่อม” หาเงินทอน
 
นายกท้องถิ่นไม่ได้มีบุญคุณต่อประชาชน แต่มีหน้าที่ต้องดูแลประชาชน เงินที่นำมาใช้ก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ความสัมพันธ์เช่นนี้ จะเปลี่ยนให้ประชาชนเป็นเจ้านายนักการเมือง
 
การเมือง ในภาษาอังกฤษคือ Politics มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก Polis ที่แปลว่าเมือง เมื่อเป็นเรื่องของ “เมือง” แล้ว จึงมิใช่เรื่องของ “ครอบครัว” การเมือง จึงเป็นการใช้อำนาจเพื่อตัดสินใจในเรื่องส่วนรวม เรื่องสาธารณะ การตัดสินใจต่างๆต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์สาธารณะ การนำเรื่องส่วนตัว ครอบครัว พรรคพวก มาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจในเรื่องการเมือง จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจส่วนรวมที่ต้องตัดสินใจเพื่อส่วนรวม ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
 
อำนาจหน้าที่ของ อบจ. มีมากมาย ตั้งแต่การคมนาคม ขนส่งมวลชน การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ กีฬา วัฒนธรรม สาธารณูปโภค สาธารณูปการ น้ำ ไฟ ถนน ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน ตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน ตั้งแต่เกิดยันตาย งบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชน มากมายหลายพันล้านบาท เรื่องเหล่านี้สำคัญมากเกินกว่าที่เราจะมอบให้กับคนไม่กี่คนในครอบครัวเดียวกันได้มีอำนาจผูกขาดตัดสินใจ
 
การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะ ประชาชนจะมีโอกาสตัดสินใจเลือกระหว่างการเมืองท้องถิ่นของครอบครัว vs การเมืองท้องถิ่นของประชาชน การเมืองท้องถิ่นที่แข่งขันกันผ่านอิทธิพล vs การเมืองท้องถิ่นที่แข่งขันกันผ่านนโยบาย
 
การเมืองท้องถิ่นที่สร้าง “บุญคุณ” กับประชาชน เพื่อให้ประชาชน “ตอบแทนบุญคุณ” เลือกพวกตนเองได้เข้าไปมีอำนาจแล้วเบียดบังงบประมาณมาเข้ากระเป๋าตนเอง vs การเมืองท้องถิ่นที่ต้องทำ “หน้าที่” จัดทำบริการสาธารณะ ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม การเมืองท้องถิ่นที่ประชาชนต้องหวาดกลัวและเกรงใจอิทธิพลของ “บ้านใหญ่” ต้องกังวลว่าวันไหนจะไปเหยียบตีนบ้านใหญ่หรือไม่ vs การเมืองท้องถิ่นที่นักการเมืองต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับประชาชน

ประเด็นสอง การเมืองท้องถิ่นแบบเครื่องไม้เครื่องมือรัฐบาล กับ การเมืองท้องถิ่นแบบจัดการตนเอง พรรคเพื่อไทยรณรงค์หาเสียงนายก อบจ.ครั้งนี้ ภายใต้แนวคิดที่ว่า เลือกนายก อบจ.จากพรรคเพื่อไทย เพื่อทำงานประสานกับรัฐบาลซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยหลายคน ต่างปราศรัยหาเสียงไปในแนวทางนี้ ในทุกเวที ขอยกมาสักหนึ่งตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้
 
“อย่าลืมมือไม้ผม อบจ.เป็นกลไกสำคัญที่จะเป็นมือไม้ให้ผมทำงานให้กับพี่น้องได้… เสริมมือไม้ให้ผม อบจ.ยกให้ผม” (ทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยที่จังหวัดศรีสะเกษ วันที่ 25 มกราคม 2568)
 
แนวคิดการเลือกนายก อบจ.พวกเดียวกันกับพรรคแกนนำรัฐบาล โดยอ้างว่าต้องการให้นายก อบจ.เป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล เช่นนี้ เป็นแนวคิดที่ผิดและขัดกับหลักการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ขัดกับหลักความเป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นนิติบุคคลมหาชน แยกออกจากราชการส่วนกลาง มิใช่สังกัดส่วนกลางเหมือนพวกกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ นายกท้องถิ่นและสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในพื้นที่ มิใช่มาจากการส่งคนมาปกครองโดยรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ เป็นของตนเอง มีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ บุคลากรเป็นของตนเอง มีรายได้ งบประมาณ เป็นของตนเอง
 
รัฐบาลมีความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แบบ “กำกับดูแล” มิใช่ “บังคับบัญชา” รัฐบาลจะไปสั่งการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหมือนกับเป็นกระทรวง มิได้ บรรดานักการเมืองที่มอง อบจ. เหมือนเป็น “เครื่องไม้เครื่องมือ” ของรัฐบาล นั่นเท่ากับว่า พวกเขามอง อบจ. เป็น กระทรวง อบจ. ที่รัฐบาลสั่งการได้ พวกเขามิได้มอง อบจ. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด มีอำนาจ มีงาน เงิน คน ของตนเอง มีความเป็นอิสระที่จะบริหารจัดการจังหวัดได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้รัฐบาลสั่ง
 
หากแนวทาง “อบจ.เป็นเครื่องไม้เครื่องมือรัฐบาล” ประสบความสำเร็จ ย่อมกระทบต่อการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นที่ประเทศไทยเพียรพยายามทำกันมาตั้งแต่ 2540 ต่อไป พวกเขาจะไม่สนใจเรื่องการกระจายอำนาจ ไม่พยายามแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการกระจายอำนาจ ไม่จัดการยกเลิกอำนาจของส่วนกลางและภูมิภาคที่ทับซ้อนกับอำนาจของส่วนท้องถิ่น ไม่เพิ่มแหล่งรายได้หรือภาษีตัวใหม่ๆให้กับท้องถิ่น การจัดสรรเงินอุดหนุนให้กับท้องถิ่นขึ้นกับว่านายกท้องถิ่นมาจากพรรคไหนกลุ่มใดเป็นสำคัญ แต่พวกเขาจะสนับสนุน ดูแล อบจ.ที่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้กับรัฐบาล เป็นหลัก ภายใต้ชื่อเรียกอันสวยหรูว่า “ประสานงานกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ”
 
การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะ ประชาชนจะมีโอกาสตัดสินใจเลือกระหว่าง อบจ.ที่จะกลายเป็น “กระทรวง อบจ.” vs อบจ.ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความเป็นอิสระ มีอำนาจ งบประมาณ บุคลากร เป็นของตนเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่