JJNY : 5in1 รอครม.เคาะ ไม่รู้ฝุ่นหายไปก่อน│โรมปูดซื้อเสียง│โรมจี้จัดการแก๊งคอลฯ│ชุติพงศ์จี้เปิดวงจรปิด│แฉสองแถวโฆษณาเว็บ

ปธ.วิปฝ่ายค้าน ชี้พูดถึง PM2.5 มานาน แต่ต้องรอครม.เคาะแก้ปัญหา ไม่รู้ฝุ่นจะหายไปก่อนไหม
https://www.matichon.co.th/politics/news_5020850
 
 
‘ปกรณ์วุฒิ’ เหน็บต้องรอ ครม.ถกวันอังคารเคาะจะแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างไร ทั้งที่พูดเรื่องนี้มานาน ชี้ให้ขึ้น รฟฟ.-รถเมล์คุ้มงบ 140 ล้านบาทหรือไม่ ต้องดูหลังจบมาตรการก่อน
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 มกราคม ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการที่ให้ใช้รถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรีเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 มองอย่างไรว่า มีหลายฝ่ายที่ตั้งคำถามเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ฝุ่นก็เริ่มน้อยลง และไม่แน่ใจว่าการพยากรณ์ของหน่วยงานต่างๆ เรื่องฝุ่นในสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไร จะคุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้นโยบายนี้ขึ้นมาหรือไม่
 
นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า มองว่าเรื่องนี้ทำให้เห็นถึงหลายปัญหา โดยเฉพาะอำนาจของหน่วยงาน หรืออำนาจของท้องถิ่นในการสั่งการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ถ้าทุกอย่างต้องรอส่วนกลางอย่างเดียว ต่อให้ใครมานำก็ลำบากในการแก้ปัญหาที่ตรงจุด บางปัญหาต้องการแก้ทันที และส่วนกลางอาจจะเจอปัญหาได้อีกในอนาคต
 
เมื่อถามว่า วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีการถกเรื่องฝุ่น วิปฝ่ายค้านมีข้อสังเกตเพิ่มเติมอะไรหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เราเตรียมจับตามองอยู่ว่าจะมีมาตรการอะไรออกมา ซึ่งเราพูดเรื่องฝุ่นกันมานาน แต่ต้องรอให้มีการประชุม ครม.ในวันอังคารจึงจะพูดกันได้ว่าจะแก้ปัญหาเมื่อไหร่ ทั้งที่ความจริงฝุ่นอาจจะหายไปแล้วก็ได้ ฉะนั้น จึงคิดว่าเป็นปัญหาหลัก
 
เมื่อถามว่า มองว่างบ 140 ล้านบาทที่ไปอุดหนุดนั่งรถไฟฟ้า-รถเมล์ฟรี คุ้มค่าหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ต้องดูหลังจากมาตรการจบไปแล้วว่าสุดท้ายจะใช้งบประมาณแค่ไหน ข้อมูลต่างๆ ควรมีการประเมินผลว่าการใช้รถส่วนตัวลดลงหรือไม่ หากลดลงเป็นรถประเภทไหน ถ้าเราว่ากันด้วยข้อมูลน่าจะประเมินได้ว่ามาตรการนี้ได้ผลหรือไม่ หากประเมินแล้วไม่ได้ผล จะได้รู้ว่าครั้งหน้าถ้ามีปัญาหาแบบนี้ มาตรการนี้อาจจะไม่ใช่มาตรการที่ควรจะทำในระยะสั้น



โรม ปูด มีหลักฐานซื้อเสียง อบจ. จี้ กกต.สอบปม ป้าโยนถุง ขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อไทย โวยไม่ได้ 200
https://www.matichon.co.th/politics/news_5021288

โรม ปูด มีหลักฐานซื้อเสียง อบจ. จี้ กกต.สอบปม ป้าโยนถุงขึ้นเวทีปราศรัยเพื่อไทย โวยไม่ได้ 200 ฝาก แสวง ทำหน้าที่ให้สมเงินเดือน ขอ ทักษิณ หยุดใช้นโยบายเงินหมื่นหวังผลเลือกตั้ง ลั่น ประชาชนไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร
 
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 มกราคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ว่า การเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ อาจจะแตกต่างจากหลายครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. ซึ่งจะไม่สะดวกเหมือนกับการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นมีการขับเคี่ยวกันโดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้าย ถือว่ามีความสำคัญ และอยากให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ไปใช้สิทธิเพื่อให้ได้ตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง สะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน ยืนยันว่าท้องถิ่นเป็นส่วนที่ใกล้ชิดกับประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้นอยากให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ.ให้ได้มากที่สุด
 
ต้องยอมรับว่ามีข่าวหนาหู เรื่องความพยายามที่จะจ่ายเงินให้กับประชาชน ทำให้เจตจำนงของประชาชนถูกบิดผันไป บางพื้นที่อาจจะจ่าย 500 บาท บางพื้นที่ 1,000 บาท บางพื้นที่มีสัญญาแบ่งกันเป็นรายงวด ซึ่งผมได้รับทราบจากประชาชนเป็นระยะ ขณะที่เมื่อวานนี้ (27 ม.ค.) ผมเดินทางกลับมาจากจังหวัดเชียงใหม่ มีประชาชนเข้ามาแจ้งเบาะแสว่ามีการจ่ายเงินซื้อเสียงไปแล้ว โดยผมหวังว่าคงจะไม่ใช่จังหวัดเชียงใหม่” นายรังสิมันต์กล่าว
 
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ในหลายพื้นที่เราไม่ควรจะยอมกับเรื่องแบบนี้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย การซื้อเสียงการจ่ายเงินในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผ่านหัวคะแนน หรือให้หัวคะแนนไปกระจายต่อ วิธีการเหล่านี้เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยที่เป็นของพวกเราทุกคน ดังนั้นตนคิดว่า วิธีการที่จะป้องกันกระบวนการเหล่านี้ เราต้องช่วยกันให้ประชาชนเป็นตาสับปะรดจับตาเรื่องการซื้อสิทธิ ซึ่งการจับตาทำได้หลายวิธีทั้งโทรศัพท์มือถือแอบอัดเสียง ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ เราต้องช่วยกันปกป้องบ้านเมือง ต้องทำให้การแข่งขันในระดับท้องถิ่น เป็นการแข่งขันการทำงานในระดับนโยบาย เพราะหากยังมีการซื้อเสียง สิ่งที่ตามมาคือการคอร์รัปชั่น ตนไม่อยากให้เกิดเรื่องของการคอร์รัปชั่น เพราะเงินภาษีของประชาชนจะต้องเสียไปกับการคอร์รัปชั่น ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองและท้องถิ่นไม่พัฒนาไปในทางที่ควร
 
นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า ตนยังจับตาไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ต้องไม่เป็นมือเป็นไม้ให้กับการซื้อสิทธิขายเสียง โดยต้องต่อต้านกับเรื่องเหล่านี้ ตนทราบดีว่าตำรวจในโรงพักก็ทราบดีว่ามีการซื้อเสียงกันที่ไหน และจ่ายเงินกันอย่างไร ดังนั้นอย่าให้เกิดความอับอายในองค์กรของท่าน อีกประเภทคือการซื้อเสียงยกหน่วย ขออย่าให้มันเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงอยากให้ทุกคนไปร่วมสังเกตการณ์การนับคะแนน ที่หน่วยเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นวิธีการหนึ่งในการป้องกันการซื้อยกหน่วย และอย่าให้นำเอาภาษีของประชาชนมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว
 
ส่วนกรณีที่พรรคประชาชนเปิดเว็บไซต์รับเรื่องร้องเรียนทุจริตการเลือกตั้ง อบจ.เพราะไม่ไว้ใจการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นโดยเฉพาะ อบจ. มีเขตเลือกตั้งเยอะและวิธีการที่เราเชื่อว่าดีที่สุดคือการพึ่งประชาชน จึงต้องบอกตรงๆ ว่าหาก กกต.ทำหน้าที่ ให้เกิดความไว้วางใจ เราก็สามารถที่จะฝากความหวังไว้กับ กกต.ได้ แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราก็รู้ว่ามีการจ่ายเงินเพื่อซื้อเสียง และคำถามคือ กกต.สามารถจับได้กี่คน จัดการปัญหานี้และนำไปสู่การป้องกันอย่างไร ดังนั้นจึงคิดหวังพึ่ง กกต.ไม่ได้ จึงต้องช่วยกันจับตา และจริงๆ เรื่องนี้จะได้ 2 เด้ง คือ ปกป้องคะแนนเสียง และการชี้ว่า กกต.ทำหน้าที่บกพร่องหรือไม่ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้องค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ ได้ทำหน้าที่ของตนเองที่ควรจะทำมานานแล้ว
 
เมื่อถามว่ามีขณะนี้มีหลักฐาน ชัดเจนเรื่องการซื้อเสียงแล้วใช่หรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวว่า มีเบาะแสแจ้งมาเรื่อยๆ “เงินออกแล้ว มีจ่ายกันแล้ว” ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวม ยืนยันว่าครั้งนี้เราเอาจริง เรามอนิเตอร์อย่างใกล้ชิด หากมีหลักฐานเพียงพอเราก็จะยื่นร้องต่อไป รวมถึงต้องจับตาเจ้าหน้าที่ว่าเข้าไปมีส่วนร่วมในการทุจริตเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่
 
ต่อข้อถามถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. พรรคเพื่อไทย ปราศรัยที่จังหวัดมหาสารคาม โดยมีป้าปาถุงขึ้นไปบนเวที เพราะไม่พอใจเรื่องเงิน 200 บาท จะมีการตรวจสอบด้วยหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า กรณีนี้ชัดเจนมาก และตนก็ได้ติดตามเหมือนกับหลายคน เรื่องเงิน 200 บาท ที่บอกว่าจะได้ แต่เหมือนมีความพยายามจากเจ้าหน้าที่รัฐที่จะให้คุณป้าคนดังกล่าวไม่พูด หรือขยายความในเรื่องเงิน คำถามคือวันนี้เราเห็นความคืบหน้าของหน่วยงานรัฐมากน้อยแค่ไหน และคนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐอย่าคิดว่าจะให้คุณให้โทษ กับคนอื่นเพียงอย่างเดียว หากมีหลักฐานเพียงพอเราก็พร้อมที่จะใช้ทุกช่องทางดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
 
“อย่าลืมว่าการใช้เงินซื้อเสียงแบบนี้เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผมก็จะไม่อยู่เฉย และติดตามอยู่ ตอนนี้มีกรณีที่ชัดเจนแล้วว่ามีการส่อ ในการใช้เงินซื้อสิทธิขายเสียง คำถามคือ กกต. ซึ่งมีหน้าที่ได้ทำอะไรมากน้อยแค่ไหน ขอฝากถึงนายแสวง บุญมี เลขาฯกกต. ให้ทำหน้าที่ให้สมกับเงินเดือนที่ได้รับจากประชาชน ทำหน้าที่ให้สมกับการเป็น กกต. ผมทราบดีว่าประวัติราชการของท่านเป็นมาอย่างไร ท่านได้ตอบแทนบุญคุณไปหมดแล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ของ กกต. เพื่อประโยชน์ของประชาชน” นายรังสิมันต์กล่าว
 
เมื่อถามถึงการแจกเงิน 10,000 บาท ในช่วงการเลือกตั้ง อบจ.จะทำให้พรรคประชาชนเสียเปรียบหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจว่าเงิน 10,000 บาทนี้ เป็นเงินของประชาชนอยู่แล้ว เป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน ไม่ใช่เป็นหนี้บุญคุณใคร เป็นสิ่งที่ประชาชนควรจะได้รับ แต่จะมาในรูปแบบอื่น เช่น โครงสร้างพื้นฐาน คุณภาพชีวิตที่ดี แต่รัฐบาลนี้ตัดสินใจที่จะแจกเป็นตัวเงิน ตนไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของรัฐบาลคืออะไร ไม่อยากคาดเดา แต่ยืนยันว่า ประชาชนไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร มีแต่รัฐบาลและฝ่ายค้านที่เข้ามาทำหน้าที่ในสภาที่เป็นหนี้บุญคุณประชาชน
 
ต่อข้อถามอีกว่าการที่นายทักษิณปราศรัยเรื่องเงิน 10,000 บาทจะมีผลกับคะแนน เลือกตั้ง อบจ.หรือไม่ รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวว่า ตนไม่อยากคาดเดาจุดประสงค์คืออะไร แต่ถ้าจุดประสงค์คือให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ ก็ขอให้หยุด ตนไม่อยากให้ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ไปหาเสียงด้วยเงินหมื่น เป็นการให้เงินกับประชาชน เพื่อหวังผลการเลือกตั้ง
 
“ขอตั้งข้อสังเกตว่านายทักษิณจะรู้นโยบายของรัฐบาลเยอะกว่ารัฐบาล หลายเรื่องที่พูดออกมาเหมือนทำนายอนาคตรัฐบาลแม่นมาก และคิดว่านายทักษิณกำลังทำให้รัฐบาลนี้ดูแย่มากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้จะไม่มีวิสัยทัศน์ เพราะวิสัยทัศน์ไปแสดงผ่านนายทักษิณ และกลายเป็นว่านโยบายต่างๆ รวมถึงการหาเสียง ต้องหวังพึ่งนายทักษิณ ซึ่งดูแปลกดีว่าทำไมรัฐบาลนี้ดูแย่” นายรังสิมันต์กล่าว



โรมจี้ ผู้มีอำนาจจัดการ แก๊งคอลฯ ชี้เสียหายทะลุแสนล้าน แนะร่วมมือกับจีนจะชัดเจนมากขึ้น
https://www.matichon.co.th/politics/news_5021049

“กมธ.มั่นคงฯ” รับเรื่องร้องเรียน ”แก๊งคอลเซนเตอร์” หลอก สูญกว่า 3 ล้านบาท ด้าน “โรม” จี้ ผู้มีอำนาจจัดการ อย่าให้มีความเสียหายมากไปกว่านี้ มอง ไทยจัดการเองได้ เพราะมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่ร่วมมือจีน เป็นเรื่องดี
 
เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่รัฐภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือร้องเรียนจากนายพงษ์ประพันธ์ นิตยารัมภ์พงศ์ พร้อมด้วยประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากแก๊งคอลเซนเตอร์ โดนหลอกว่ามีคดีโดยมีตำรวจปลอมแล้วหลอกให้โอนเงิน ซึ่งเรื่องนี้แจ้งความดำเนินคดีแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้า จึงต้องมาขอให้กมธ.ฯ ช่วยเหลือ ตอนนี้พวกตนได้รวบรวมหลักฐานต่างๆเพื่อฟ้องหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหลายที่ทำงานไม่รอบคอบ ทำให้มีผู้เสียหายวันละพันคน

ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนรับทราบข่าวในทำนองเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้นเยอะมาก ความเสียหายต่อประชาชนโดยรวมทั่วประเทศต่อปีข้อมูลของทางการอยู่ที่หลัก 7 -8 หมื่นล้านบาท ซึ่งตนเชื่อว่าตัวเลขจริงอาจจะทะลุแสนล้านบาท อย่างในกรณีของนายพงษ์ประพันธ์มีความเสียหาย 3.2 ล้านบาท ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นภัยคุกคามที่สำคัญของประเทศและประชาชน เราไม่สามารถที่จะนิ่งเฉยกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป และคงจะต้องทำเรื่องนี้เพื่อให้จบปัญหาภัยคุกคามนี้ได้แล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่