พรรคประชาชน ดาวกระจายหาเสียงสู้ศึกนายกอบจ.โค้งสุดท้าย ‘พรรณิการ์-ชัยธวัช’ แท็กทีมลุยลำพูน-เชียงใหม่ ด้าน ‘ธนาธร’ ลุยระยอง ขณะที่ ‘พิธา’ ลงพื้นที่สมุทรสงคราม
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหาเสียงเลือกตั้งนายกอบจ. โค้งสุดท้ายของพรรคประชาชน (ปชน.) โดยในวันพรุ่งนี้ (30ม.ค.) แบ่งเป็น 3 สายได้แก่
นาย
ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ที่จ.ลำพูนและจ.เชียงใหม่ โดยเวลา 06.00-07.00 น. พบปะพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดป่ารกฟ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน และที่จ.เชียงใหม่ เวลา 17.00 น. ขึ้นรถแห่รณรงค์ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
จุดเริ่มต้น สถานีรถไฟเชียงใหม่ ผ่านเจริญเมือง สะพานนวรัฐ ประตูท่าแพ เลี้ยวซ้ายไปตามทางผ่านประตูเชียงใหม่ เลี้ยวซ้ายสวนดอก เลี้ยวขวานิมมาน เลี้ยวขวา แยกเมญ่า ผ่านกาดสวนแก้ว ผ่านประตูช้างเผือก เลี้ยวขวาเข้าท่าแพ ลยข่วงประตูท่าแพ ยูเทิร์นเข้าคูเมืองด้านใน-เลี้ยวซ้ายตรงถนนราชดำเนิน เลี้ยวขวาถนนพระปกเกล้า แล้วสิ้นสุดที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์
ด้าน นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน หาเสียงการเลือกตั้งที่จ.ระยอง ในเวลา 16.00-17.30 น. เดินตลาดไซโก้ ปราศรัยบนรถแห่หน้าตลาด จากนั้นเวลา18.00-19.00 น. เดินหาเสียงตลาดนัดใหญ่ แยกนิคมพัฒนา อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง
ในขณะที่ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน หาเสียงการเลือกตั้ง ที่จ.สมุทรสงคราม เวลา 16.20-17.10 น. พบปะประชาชน ที่ตลาดนัดวัดคริสต์ บางนกแขวก และในเวลา 17:30-18:00 น. เดินตลาดแม่กลอง
โตโต้ ติง ปม รบ.ให้จีนเข้ามาแก้ปัญหาแก๊งคอล ชี้เป็นเรื่องอ่อนไหว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5022810
โตโต้ ติง ปม รบ.ให้จีนเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหาแก๊งคอล ชี้เป็นเรื่องอ่อนไหว หลังเห็นตร.ไทยเดินตามผู้ช่วยรมต.จีน เย้ย ไม่แปลก คนเชื่อ รบ.จีนมากกว่าไทยอีก
เมื่อวันที่ 29 มกราคม นาย
ปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แชร์ข่าว ผู้ช่วยรัฐมนตรีจีนลงพื้นที่จังหวัดแม่สอด หารือร่วมกับตำรวจไทยเพื่อแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ว่า
เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่มาในนาม รัฐมนตรี โดยรัฐบาลจีน ส่งมาพร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงของจีน
อย่างที่ผมได้แสดงความเห็นไปเมื่อวานว่าจริงๆเรื่องนี้รัฐบาลควรระมัดระวังการที่ถูกมองว่า ปฏิบัติการกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์หรือจะเรียกว่ามาตรการช่วยเหลือเหยื่อก็ตาม อย่าทำให้เป็นเรื่องที่ว่าจีนเข้ามาดำเนินการโดยตรงในประเทศไทย แบบที่เคยเป็นข่าวว่า ตร. จีนขอเข้ามาทำหน้าที่ร่วมกับ ตร. ไทย แล้วโดนกระแสโต้กลับจากประชาชนมารอบหนึ่ง เพราะมันเป็นเรื่องความอ่อนไหวมากๆ
ตอนนี้ภาพกลับกลายเป็น ตร.ไทยเดินตาม ตัวแทนรัฐบาลจีน ที่มาตั้งศูนย์จัดการเรื่องนี้โดยตรงในไทย แล้วดูรัฐบาลตื่นตัวมาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงๆจังๆ ตามพี่จีน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นจะจริงจังเท่าไร ทำให้คนไทยไม่น้อยเลยเชื่อมั่นรัฐบาลจีนมากกว่ารัฐบาลไทยของตัวเองเสียแล้วสำหรับเรื่องนี้
ไม่ต้องโทษใครเลยเรื่องนี้ รัฐบาลต้องโทษตัวเองว่าไร้น้ำยาจริงๆ
https://www.facebook.com/toto.piyarat/posts/pfbid0amkRkKV8aairiTWLW1Z2iwrjq6cL9cR7AsFeUVCv2WA7LcNGDC4nhmXTtjyQMoBGl
จุลพงศ์ ขอ อย่าเทียบ สิงคโปร์ หากจะทำกาสิโน ชี้ ควรกำหนดสัดส่วน-จำกัดจำนวนไว้ในพ.ร.บ.ฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5023141
‘จุลพงศ์’ มอง ควรกำหนดสัดส่วน-จำกัดจำนวน ‘กาสิโน’ ไว้ใน ‘พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร’ ขออย่าอ้างเทียบ ‘สิงคโปร์’ หากจะทำแบบกลับหัวกัน บอก ตลก จำเป็นต้องให้ ‘นายกฯ’ นั่ง ปธ.-‘รมต.’ ร่วมเป็น คกก.นโยบาย หรือ
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 ที่รัฐสภา นาย
จุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งมีกระแสข่าวคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังเร่งจัดทำร่าง นำกลับมาเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และการให้สัมภาษณ์ของนาย
จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ อาจไม่มีการกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนในพื้นที่รวมของสถานบันเทิงครบวงจรในร่างกฎหมายฉบับนี้ ว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะไม่กำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่ทั้งหมดในกฎหมายฉบับนี้ และกฎหมายฉบับนี้ ควรจำกัดจำนวนกาสิโนที่เปิดในช่วงแรก
เนื่องจากคนของรัฐบาล มักจะยกตัวอย่าง กาสิโนของประเทศสิงคโปร์ขึ้นมาอ้างอิงเทียบเคียง แต่กาสิโนในสิงคโปร์นั้น ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายควบคุมกาสิโน หรือ Casino Control Act และ รีสอร์ทครบวงจร หรือ integrated resort ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดสัดส่วนกาสิโนในพื้นที่ทั้งหมด เนื่องจากถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกาสิโนเท่านั้น หรือคือกฎหมายของสิงคโปร์อนุญาตให้ทำกาสิโนเป็นหลัก
ขณะที่ประเทศไทย กำลังร่างกฎหมายเพื่อให้มีกาสิโนในลักษณะกลับหัวกับสิงคโปร์ เพราะร่างเป็น พ.ร.บ.ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรแล้วเอาการอนุญาตให้ทำธุรกิจกาสิโนมาใส่ไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถานบันเทิงครบวงจร
นาย
จุลพงศ์ ยังตั้งข้อสังเกต และท้วงติง 3 ประการไปยังรัฐบาล และคณะกรรมการกฤษฎีกาที่กำลังพิจารณาร่างกฎหมายนี้ ได้แก่ ข้อสังเกตแรก คือ หากร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรจะปล่อยให้คณะกรรมการนโยบายไปกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่สถานบันเทิงครบวงจร โดยไม่มีการกำหนดสัดส่วนที่แน่นอนไว้ในกฎหมายนั้น
ยกตัวอย่าง หากต่อมามีนักลงทุนต่างชาติเสนอมาให้พื้นที่กาสิโน 50% หรือ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยอ้างว่าเพื่อคุ้มครองการลงทุนแล้วคณะกรรมการนโยบายได้อนุญาตไป เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดสัดส่วนพื้นที่ไว้ ก็จะถือว่าขัดกับหลักการของกฎหมายฉบับนี้ ที่มุ่งเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยว และไม่ได้มุ่งเน้นการพนัน
ประการที่สอง แม้กาสิโนในสิงคโปร์จะไม่กำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่ทั้งหมดไว้ แต่ในกฎหมายควบคุมกาสิโนของสิงคโปร์ มีการควบคุมจำนวนกาสิโนในประเทศ ซึ่งอนุญาตให้เปิดได้ไม่เกิน 2 แห่งไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.
แต่ในร่างกฎหมายของเรา กลับไม่กำหนดจำนวนกาสิโน และยังได้ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายไปตัดสินใจ ว่าจะเปิดกาสิโนกี่แห่งในที่ไหนบ้าง ตนจึงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่เป็นการให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายมากเกินไป
ประการที่สาม องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคนสร้างเป็นหลักการของกฎหมาย แต่คำถามคือ คณะกรรมการนโยบาย ยังจำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการ และมีรัฐมนตรีอีกหลายคนมานั่งในคณะกรรมการชุดนี้หรือไม่
เพราะ หากอ่านตามกฎหมาย Casino Control Act ของสิงคโปร์จะพบว่า องค์กรที่ควบคุมการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ คือ Gambling Regulatory Authority of Singapore ที่ก็ไม่ได้มีนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เป็นประธานแต่อย่างใด เนื่องจากกิจการโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ในกาสิโน ไม่อยู่ในอำนาจขององค์กรนี้ และมีกฎหมายอื่นควบคุมอยู่แล้ว “มันน่าตลกที่นายกรัฐมนตรีมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิง เรื่องแบบนี้คงมีแต่ประเทศไทย”
“
หากรัฐบาลจะยังคงผลักดันเรื่องนี้ให้ได้ ผมจึงเห็นว่า ควรกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่ทั้งหมดไว้ในตัว พ.ร.บ.เพื่อรักษาหลักการของกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ว่าไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการพนัน และในระยะเริ่มแรก ควรควบคุมจำนวนกาสิโนทั้งประเทศไว้ในกฎหมายก่อนจะดีกว่า เพราะอาจจะกระทบต่อวงกว้าง หากมีการอนุญาตออกไปหลายๆ ที่” นาย
จุลพงศ์กล่าว
‘ภาคประชาสังคมฯ’เดินหน้ารวบรวม 5 หมื่นชื่อ เสนอทำ‘ประชามติ’ชี้ชะตา‘กาสิโนถูก กม.’
https://www.isranews.org/article/isranews-news/135255-Civil-society-Propose-referendum-open-casino-news.html
‘เครือข่ายภาคประชาสังคม’ เดินหน้ารวบรวม 'รายชื่อ' ประชาชน 5 หมื่นรายชื่อ เสนอจัดทำ ‘ประชามติ’ ชี้ชะตา ‘กาสิโนถูกกฎหมาย’ ด้าน ‘เลขาฯมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน’ ชี้เปิด 'กาสิโน' เป็นเรื่องใหญ่ มีผลกระทบถึงลูกหลาน ประชาชนต้องมีส่วนร่วม ‘ตัดสินใจ’
.......................................
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. เครือข่ายภาคประชาสังคมและนักวิชาการ เปิดแถลงข่าว ‘
ไม่เอากาสิโน ต้องทำประชามติ’ โดยเครือข่ายฯ ประกาศเดินหน้ารวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ไม่น้อยกว่า 50,000 รายชื่อ เพื่อนำเสนอให้รัฐบาลจัดให้มีการทำประชามติว่า ประเทศไทยสมควรมีกาสิโนถูกกฎหมายหรือไม่ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ได้เปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อแสดงจุดยืนว่า ‘เราไม่เอากาสิโน’ โดยล่าสุดมีผู้ลงชื่อแสดงจุดยืนแล้ว 70,000 คน
นายธนกร คมกฤส กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องใหญ่ในสังคม หรือเป็นเรื่องที่สังคมต้องการหาคำตอบที่เป็นคำตอบสุดท้าย หรือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ จะมีการเปิดช่องให้มีการจัดทำประชามติ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการออก พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯ ซึ่งเรื่องการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทยนั้น เครือข่ายฯเห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่และก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก จึงต้องมีการจัดทำประชามติ
“
ณ ขณะนี้รัฐบาลเห็นว่า ไม่เป็นเรื่องใหญ่ ในขณะที่ประชาชนรู้สึกกังวลว่า เรื่องนี้ (กาสิโน) เป็นเรื่องใหญ่ มีผลกระทบถึงลูกถึงหลานในอนาคต เพราะกฎหมายฉบับนี้ (ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ....) ซึ่งกำลังจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ ไม่ได้พูดถึงการเปิดกาสิโนเพียง 1-2 แห่ง แต่พูดถึงการเปิดโอกาสให้มีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเปิดได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด เพราะกฎหมายเปิดช่องไว้มหาศาล
ฉะนั้น เรื่องนี้ สำหรับเราแล้ว จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันจะอยู่ไปอีกนาน และกฎหมายฉบับนี้ จะถูกรัฐบาลชุดใดก็ได้ในอนาคต หยิบเอามาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเปิดแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่ไปได้เรื่อยๆ นี่คือประเด็นที่เราเห็นว่า น่ากังวล จึงต้องมีความรัดกุม รอบคอบ และต้องมีอะไรที่ชัดเจนมากกว่านี้ แต่เมื่อเขา (รัฐบาล) ไม่ฟัง เราก็ต้องหาช่องทางที่ทำให้รัฐบาลรับฟัง โดยอาศัยกระบวนการตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ” นาย
ธนกร กล่าว
นาย
ธนกร ระบุว่า ในการเข้าชื่อของประชาชนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นรายชื่อ เพื่อเสนอให้ ครม.เห็นชอบการจัดทำประชามติเรื่องกาสิโน นั้น มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน จะเป็นผู้ริเริ่มจัดทำเอกสาร ข้อมูลและแบบฟอร์มต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มูลนิธิฯจะเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ไม่น้อยกว่า 5 หมื่นรายชื่อ และนำเสนอรายชื่อประชาชนทั้งหมดและเอกสารใบปะหน้าไปยัง กกต.
จากนั้น กกต.จะทำการตรวจสอบรายชื่อประชาชนที่ร่วมลงชื่อว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 5 หมื่นรายชื่อหรือไม่ ซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน หากทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ กกต.จะส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ตรวจสอบอีกครั้ง และนำเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ครม. ไม่มีสิทธิ์ไม่เห็นชอบการจัดทำประชามติ โดย ครม.มีหน้าที่รับทราบ และต้องไปกำหนดวันลงประชามติว่าเป็นเมื่อใด
JJNY : 5in1 ปชน.หาเสียงอบจ.โค้งท้าย│โตโต้ติงปมรบ.│จุลพงศ์ขออย่าเทียบ│ภาคปชช.เสนอทำ‘ประชามติ’ชี้ชะตา│บ่นยอดพักตรุษจีนลด
https://www.matichon.co.th/politics/news_5023254
พรรคประชาชน ดาวกระจายหาเสียงสู้ศึกนายกอบจ.โค้งสุดท้าย ‘พรรณิการ์-ชัยธวัช’ แท็กทีมลุยลำพูน-เชียงใหม่ ด้าน ‘ธนาธร’ ลุยระยอง ขณะที่ ‘พิธา’ ลงพื้นที่สมุทรสงคราม
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหาเสียงเลือกตั้งนายกอบจ. โค้งสุดท้ายของพรรคประชาชน (ปชน.) โดยในวันพรุ่งนี้ (30ม.ค.) แบ่งเป็น 3 สายได้แก่
นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ที่จ.ลำพูนและจ.เชียงใหม่ โดยเวลา 06.00-07.00 น. พบปะพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดป่ารกฟ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน และที่จ.เชียงใหม่ เวลา 17.00 น. ขึ้นรถแห่รณรงค์ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
จุดเริ่มต้น สถานีรถไฟเชียงใหม่ ผ่านเจริญเมือง สะพานนวรัฐ ประตูท่าแพ เลี้ยวซ้ายไปตามทางผ่านประตูเชียงใหม่ เลี้ยวซ้ายสวนดอก เลี้ยวขวานิมมาน เลี้ยวขวา แยกเมญ่า ผ่านกาดสวนแก้ว ผ่านประตูช้างเผือก เลี้ยวขวาเข้าท่าแพ ลยข่วงประตูท่าแพ ยูเทิร์นเข้าคูเมืองด้านใน-เลี้ยวซ้ายตรงถนนราชดำเนิน เลี้ยวขวาถนนพระปกเกล้า แล้วสิ้นสุดที่ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์
ด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน หาเสียงการเลือกตั้งที่จ.ระยอง ในเวลา 16.00-17.30 น. เดินตลาดไซโก้ ปราศรัยบนรถแห่หน้าตลาด จากนั้นเวลา18.00-19.00 น. เดินหาเสียงตลาดนัดใหญ่ แยกนิคมพัฒนา อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง
ในขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน หาเสียงการเลือกตั้ง ที่จ.สมุทรสงคราม เวลา 16.20-17.10 น. พบปะประชาชน ที่ตลาดนัดวัดคริสต์ บางนกแขวก และในเวลา 17:30-18:00 น. เดินตลาดแม่กลอง
โตโต้ ติง ปม รบ.ให้จีนเข้ามาแก้ปัญหาแก๊งคอล ชี้เป็นเรื่องอ่อนไหว
https://www.matichon.co.th/politics/news_5022810
โตโต้ ติง ปม รบ.ให้จีนเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหาแก๊งคอล ชี้เป็นเรื่องอ่อนไหว หลังเห็นตร.ไทยเดินตามผู้ช่วยรมต.จีน เย้ย ไม่แปลก คนเชื่อ รบ.จีนมากกว่าไทยอีก
เมื่อวันที่ 29 มกราคม นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แชร์ข่าว ผู้ช่วยรัฐมนตรีจีนลงพื้นที่จังหวัดแม่สอด หารือร่วมกับตำรวจไทยเพื่อแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ว่า
เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่มาในนาม รัฐมนตรี โดยรัฐบาลจีน ส่งมาพร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงของจีน
อย่างที่ผมได้แสดงความเห็นไปเมื่อวานว่าจริงๆเรื่องนี้รัฐบาลควรระมัดระวังการที่ถูกมองว่า ปฏิบัติการกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์หรือจะเรียกว่ามาตรการช่วยเหลือเหยื่อก็ตาม อย่าทำให้เป็นเรื่องที่ว่าจีนเข้ามาดำเนินการโดยตรงในประเทศไทย แบบที่เคยเป็นข่าวว่า ตร. จีนขอเข้ามาทำหน้าที่ร่วมกับ ตร. ไทย แล้วโดนกระแสโต้กลับจากประชาชนมารอบหนึ่ง เพราะมันเป็นเรื่องความอ่อนไหวมากๆ
ตอนนี้ภาพกลับกลายเป็น ตร.ไทยเดินตาม ตัวแทนรัฐบาลจีน ที่มาตั้งศูนย์จัดการเรื่องนี้โดยตรงในไทย แล้วดูรัฐบาลตื่นตัวมาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงๆจังๆ ตามพี่จีน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นจะจริงจังเท่าไร ทำให้คนไทยไม่น้อยเลยเชื่อมั่นรัฐบาลจีนมากกว่ารัฐบาลไทยของตัวเองเสียแล้วสำหรับเรื่องนี้
ไม่ต้องโทษใครเลยเรื่องนี้ รัฐบาลต้องโทษตัวเองว่าไร้น้ำยาจริงๆ
https://www.facebook.com/toto.piyarat/posts/pfbid0amkRkKV8aairiTWLW1Z2iwrjq6cL9cR7AsFeUVCv2WA7LcNGDC4nhmXTtjyQMoBGl
จุลพงศ์ ขอ อย่าเทียบ สิงคโปร์ หากจะทำกาสิโน ชี้ ควรกำหนดสัดส่วน-จำกัดจำนวนไว้ในพ.ร.บ.ฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5023141
‘จุลพงศ์’ มอง ควรกำหนดสัดส่วน-จำกัดจำนวน ‘กาสิโน’ ไว้ใน ‘พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร’ ขออย่าอ้างเทียบ ‘สิงคโปร์’ หากจะทำแบบกลับหัวกัน บอก ตลก จำเป็นต้องให้ ‘นายกฯ’ นั่ง ปธ.-‘รมต.’ ร่วมเป็น คกก.นโยบาย หรือ
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 ที่รัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งมีกระแสข่าวคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังเร่งจัดทำร่าง นำกลับมาเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เพื่อส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา และการให้สัมภาษณ์ของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ อาจไม่มีการกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนในพื้นที่รวมของสถานบันเทิงครบวงจรในร่างกฎหมายฉบับนี้ ว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะไม่กำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่ทั้งหมดในกฎหมายฉบับนี้ และกฎหมายฉบับนี้ ควรจำกัดจำนวนกาสิโนที่เปิดในช่วงแรก
เนื่องจากคนของรัฐบาล มักจะยกตัวอย่าง กาสิโนของประเทศสิงคโปร์ขึ้นมาอ้างอิงเทียบเคียง แต่กาสิโนในสิงคโปร์นั้น ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายควบคุมกาสิโน หรือ Casino Control Act และ รีสอร์ทครบวงจร หรือ integrated resort ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดสัดส่วนกาสิโนในพื้นที่ทั้งหมด เนื่องจากถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกาสิโนเท่านั้น หรือคือกฎหมายของสิงคโปร์อนุญาตให้ทำกาสิโนเป็นหลัก
ขณะที่ประเทศไทย กำลังร่างกฎหมายเพื่อให้มีกาสิโนในลักษณะกลับหัวกับสิงคโปร์ เพราะร่างเป็น พ.ร.บ.ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรแล้วเอาการอนุญาตให้ทำธุรกิจกาสิโนมาใส่ไว้เป็นส่วนหนึ่งของสถานบันเทิงครบวงจร
นายจุลพงศ์ ยังตั้งข้อสังเกต และท้วงติง 3 ประการไปยังรัฐบาล และคณะกรรมการกฤษฎีกาที่กำลังพิจารณาร่างกฎหมายนี้ ได้แก่ ข้อสังเกตแรก คือ หากร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรจะปล่อยให้คณะกรรมการนโยบายไปกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่สถานบันเทิงครบวงจร โดยไม่มีการกำหนดสัดส่วนที่แน่นอนไว้ในกฎหมายนั้น
ยกตัวอย่าง หากต่อมามีนักลงทุนต่างชาติเสนอมาให้พื้นที่กาสิโน 50% หรือ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยอ้างว่าเพื่อคุ้มครองการลงทุนแล้วคณะกรรมการนโยบายได้อนุญาตไป เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดสัดส่วนพื้นที่ไว้ ก็จะถือว่าขัดกับหลักการของกฎหมายฉบับนี้ ที่มุ่งเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยว และไม่ได้มุ่งเน้นการพนัน
ประการที่สอง แม้กาสิโนในสิงคโปร์จะไม่กำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่ทั้งหมดไว้ แต่ในกฎหมายควบคุมกาสิโนของสิงคโปร์ มีการควบคุมจำนวนกาสิโนในประเทศ ซึ่งอนุญาตให้เปิดได้ไม่เกิน 2 แห่งไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.
แต่ในร่างกฎหมายของเรา กลับไม่กำหนดจำนวนกาสิโน และยังได้ให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายไปตัดสินใจ ว่าจะเปิดกาสิโนกี่แห่งในที่ไหนบ้าง ตนจึงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่เป็นการให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายมากเกินไป
ประการที่สาม องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น หากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเน้นส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคนสร้างเป็นหลักการของกฎหมาย แต่คำถามคือ คณะกรรมการนโยบาย ยังจำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการ และมีรัฐมนตรีอีกหลายคนมานั่งในคณะกรรมการชุดนี้หรือไม่
เพราะ หากอ่านตามกฎหมาย Casino Control Act ของสิงคโปร์จะพบว่า องค์กรที่ควบคุมการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ คือ Gambling Regulatory Authority of Singapore ที่ก็ไม่ได้มีนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เป็นประธานแต่อย่างใด เนื่องจากกิจการโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ในกาสิโน ไม่อยู่ในอำนาจขององค์กรนี้ และมีกฎหมายอื่นควบคุมอยู่แล้ว “มันน่าตลกที่นายกรัฐมนตรีมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิง เรื่องแบบนี้คงมีแต่ประเทศไทย”
“หากรัฐบาลจะยังคงผลักดันเรื่องนี้ให้ได้ ผมจึงเห็นว่า ควรกำหนดสัดส่วนพื้นที่กาสิโนต่อพื้นที่ทั้งหมดไว้ในตัว พ.ร.บ.เพื่อรักษาหลักการของกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ว่าไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับการพนัน และในระยะเริ่มแรก ควรควบคุมจำนวนกาสิโนทั้งประเทศไว้ในกฎหมายก่อนจะดีกว่า เพราะอาจจะกระทบต่อวงกว้าง หากมีการอนุญาตออกไปหลายๆ ที่” นายจุลพงศ์กล่าว
‘ภาคประชาสังคมฯ’เดินหน้ารวบรวม 5 หมื่นชื่อ เสนอทำ‘ประชามติ’ชี้ชะตา‘กาสิโนถูก กม.’
https://www.isranews.org/article/isranews-news/135255-Civil-society-Propose-referendum-open-casino-news.html
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. เครือข่ายภาคประชาสังคมและนักวิชาการ เปิดแถลงข่าว ‘ไม่เอากาสิโน ต้องทำประชามติ’ โดยเครือข่ายฯ ประกาศเดินหน้ารวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ไม่น้อยกว่า 50,000 รายชื่อ เพื่อนำเสนอให้รัฐบาลจัดให้มีการทำประชามติว่า ประเทศไทยสมควรมีกาสิโนถูกกฎหมายหรือไม่ ในขณะที่ก่อนหน้านี้ มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ได้เปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อแสดงจุดยืนว่า ‘เราไม่เอากาสิโน’ โดยล่าสุดมีผู้ลงชื่อแสดงจุดยืนแล้ว 70,000 คน
นายธนกร คมกฤส กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องใหญ่ในสังคม หรือเป็นเรื่องที่สังคมต้องการหาคำตอบที่เป็นคำตอบสุดท้าย หรือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ จะมีการเปิดช่องให้มีการจัดทำประชามติ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการออก พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯ ซึ่งเรื่องการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทยนั้น เครือข่ายฯเห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่และก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก จึงต้องมีการจัดทำประชามติ
“ณ ขณะนี้รัฐบาลเห็นว่า ไม่เป็นเรื่องใหญ่ ในขณะที่ประชาชนรู้สึกกังวลว่า เรื่องนี้ (กาสิโน) เป็นเรื่องใหญ่ มีผลกระทบถึงลูกถึงหลานในอนาคต เพราะกฎหมายฉบับนี้ (ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ....) ซึ่งกำลังจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ ไม่ได้พูดถึงการเปิดกาสิโนเพียง 1-2 แห่ง แต่พูดถึงการเปิดโอกาสให้มีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเปิดได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด เพราะกฎหมายเปิดช่องไว้มหาศาล
ฉะนั้น เรื่องนี้ สำหรับเราแล้ว จึงเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันจะอยู่ไปอีกนาน และกฎหมายฉบับนี้ จะถูกรัฐบาลชุดใดก็ได้ในอนาคต หยิบเอามาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเปิดแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่ไปได้เรื่อยๆ นี่คือประเด็นที่เราเห็นว่า น่ากังวล จึงต้องมีความรัดกุม รอบคอบ และต้องมีอะไรที่ชัดเจนมากกว่านี้ แต่เมื่อเขา (รัฐบาล) ไม่ฟัง เราก็ต้องหาช่องทางที่ทำให้รัฐบาลรับฟัง โดยอาศัยกระบวนการตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ” นายธนกร กล่าว
นายธนกร ระบุว่า ในการเข้าชื่อของประชาชนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นรายชื่อ เพื่อเสนอให้ ครม.เห็นชอบการจัดทำประชามติเรื่องกาสิโน นั้น มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน จะเป็นผู้ริเริ่มจัดทำเอกสาร ข้อมูลและแบบฟอร์มต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มูลนิธิฯจะเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ไม่น้อยกว่า 5 หมื่นรายชื่อ และนำเสนอรายชื่อประชาชนทั้งหมดและเอกสารใบปะหน้าไปยัง กกต.
จากนั้น กกต.จะทำการตรวจสอบรายชื่อประชาชนที่ร่วมลงชื่อว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 5 หมื่นรายชื่อหรือไม่ ซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน หากทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ กกต.จะส่งเรื่องให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ตรวจสอบอีกครั้ง และนำเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ครม. ไม่มีสิทธิ์ไม่เห็นชอบการจัดทำประชามติ โดย ครม.มีหน้าที่รับทราบ และต้องไปกำหนดวันลงประชามติว่าเป็นเมื่อใด