พิธา อัด รบ.แก้ฝุ่น ‘ช้าไป น้อยไป สายไป’ งง ตอนเป็นฝ่ายค้านอภิปรายดุดัน พอทำเองกลับแย่ขึ้น
https://www.matichon.co.th/politics/news_5015990
“พิธา” อัด นโยบายแก้ฝุ่นรัฐบาล ช้าไป-น้อยไป-สายไป ชี้ผู้นำประเทศมีหน้าที่แก้ “ฝุ่น-ไฟ-ฝน” ควรมีโอกาสเตรียมตัวตั้งแต่ระดับนานาชาติ งง “เพื่อไทย” ตอนเป็น “ฝ่ายค้าน” อภิปรายฝุ่นดุเด็ดเผ็ดมันส์ แต่พอทำเองกลับแย่ขึ้น โต้ “ทักษิณ” ที่บอก “เท้ง” มีแค่ภารกิจเดียว ย้ำทรัพยากร ฝ่ายค้าน-รัฐบาล ไม่เท่ากัน
เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ จ.ตราด นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์มองมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ของรัฐบาลว่า ช้าไป น้อยไป สายไป ซึ่งตนคิดว่าคนที่เป็นผู้นำประเทศตอนนี้ ถ้าแก้ปัญหาประเทศง่ายๆ เลย คือ ฝุ่น ไฟ ฝน พอฝุ่นหมด ไฟก็มา พอไฟหมด ก็น้ำท่วมอีก โดยการแก้ปัญหาฝุ่นต้องมีแผนงานมาตั้งแต่ฤดูฝนแล้ว หากดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ระหว่างวันที่ 1-22 มกราคม ไม่มีปีไหนเลยที่ค่าฝุ่นได้ค่ามาตรฐานเลย เกินมาตรฐานทุกปี และปีที่สูงที่สุดคือ 2564 รองลงมาคือ 2568 ถัดมาคือ 2567 จะเห็นได้ว่าปัญหา PM2.5 ที่เกิดขึ้นทั้งที่ กทม.และทั่วประเทศในช่วงที่มีการเผาอ้อยและข้าว ซึ่งเมื่อเกิดความกดอากาศแน่นอนว่าฝุ่นก็ตามมา
นาย
พิธากล่าวว่า ควรจะมีโอกาสที่จะได้เตรียมตัวตั้งแต่ระดับนานาชาติ ซึ่งต้องประสานงานกัน ไม่ใช่พอฝุ่นมาแล้วค่อยต่อสาย ควรจะต่อสายกันตั้งนานแล้ว และต่อสายในระดับประเทศ เพราะในแต่ละพื้นที่มีปัญหาที่ต่างกัน และเมื่อมาในระดับท้องถิ่นก็มีปัญหาแตกต่างกัน ซึ่งถ้าวางแผนตั้งแต่ระดับนานาชาติ ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ตั้งแต่หลายเดือนก่อนจนถึงขณะนี้ อย่างน้อยที่สุดคือ สัปดาห์นี้คือการเข้าถึงหน้ากาก เครื่องฟอกอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่เปราะบาง เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า เรื่องการเมืองท้องถิ่นมีส่วนที่จะช่วยแก้ปัญหาได้เช่นกัน
เมื่อถามว่า การแก้ปัญหาได้เพียงเฉพาะหน้าสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวหรือไม่ รวมทั้งกรณีที่ชาวเน็ตไปขุดโพสต์นโยบายของพรรคเพื่อไทย ว่าหากเป็นรัฐบาลจะแก้ไขปัญหา PM2.5 ที่ต้นตอ นาย
พิธากล่าวว่า ก็คิดอยู่ว่าฝ่ายค้านที่พอจะสูสี กับฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน คือ พรรคเพื่อไทยในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายในสภาเรื่องฝุ่น PM2.5 ซึ่งตนจำได้ว่าเคยอภิปรายเรื่องฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่เป็น ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ หมายความว่าผ่านมาแล้ว 4-5 ปี แล้วตอนพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านก็อภิปรายเรื่องนี้อย่างดุเดือดเผ็ดมันส์ แต่ปีนี้เข้าปีที่ 2 ของการเป็นรัฐบาลแล้ว ในความเป็นจริงก็ควรจะเตรียมตัวมานานมากแล้วในการบริหารจัดการ แต่กลับแย่ขึ้นเรื่อยๆ และยังไม่มีแผนการที่เป็นรูปธรรมจนกระทั่งถึงเมื่อเช้านี้หลังจากที่พรรคประชาชนกระทุ้งถึงได้มีแผนรับมือออกมา
ส่วนที่นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาซัดกลับนาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่า ผู้นำฝ่ายค้านมีภารกิจเดียวแค่ที่สภา นายกรัฐมนตรีมีภารกิจเยอะกว่า นาย
พิธาระบุว่า ทรัพยากรของรัฐบาลกับทรัพยากรของฝ่ายค้านก็ไม่เท่ากัน ซึ่งฝ่ายรัฐบาลสามารถบริหารจัดการและกระจายงาน เตรียมทรัพยากรในการบริหารล่วงหน้าได้ตั้งเยอะ
นาย
พิธากล่าวย้ำว่า การที่จะเป็น ส.ส.นั้นควรจะต้องผ่านกฎหมายที่มีความก้าวหน้า เช่น พ.ร.บ.อากาศสะอาด และต้องพูดแทนประชาชน รวมทั้งต้องตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งก็มีการตรวจสอบเรื่องนี้มา 4-5 ปี ทุกครั้งในการทำหน้าที่ แต่ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกลายมาเป็นรัฐบาล และพรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้าน แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ทำตามที่ตัวเองเคยพูดไว้ในสภา ขณะที่เป็นฝ่ายค้าน หรือช่วงที่มีการหาเสียง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ประชาชนต้องจมฝุ่นต่อไป ทั้งที่ควรจะทุเลาได้เยอะกว่านี้มาก
พิธา รับกังวล คนใช้สิทธิน้อย อาจทำปชน.ไม่ถึงฝัน ปลุกคนตราดเปลี่ยน ชี้ คนเก่าอยู่มา 25 ปี แต่ศก.โตต่ำ
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5015890
“พิธา” รับกังวลคนใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ.น้อย ทำ ปชน.ไปไม่ถึงฝัน พ้อ เวลาเจอ เขาทักทาย-ถ่ายรูป แต่ไม่รู้ไปเลือกตั้งหรือไม่ อัด นายก อบจ.ตราด อยู่มา 25 ปี แต่ตัวเลขมันบอก ไม่ได้ดีขึ้น โชว์สถิติ เติบโตต่ำกว่าค่ามาตรฐานประเทศ เชื่อ คนเบื่อ-จำเจ
เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ จ.ตราด นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ระหว่างช่วยหาเสียงนายก อบจ.ตราด ถึงการต่อสู้สนามเลือกตั้ง อบจ. ว่าพรรคประชาชนนำโดยหัวหน้าพรรคและเลขาฯพรรค ทำงานเต็มที่ ในเรื่องของการแข่งขัน ตนไม่กังวลสักเท่าไหร่ แต่กังวลว่าสิ่งที่พวกตนกำลังแข่งอยู่ สุดท้ายกลายเป็นว่าคนไม่มาใช้สิทธิใช้เสียง
“
เวลาเจอกันเขาก็ยังทักทาย พูดคุย ถ่ายรูป มาฟังปราศรัยในบางพื้นที่ อย่างภาคใต้ก็เยอะเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2566 แต่มั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะออกมาใช้สิทธิใช้เสียง เพราะเขายังไม่เข้าใจว่าเลือก อบจ.มีประโยชน์อย่างไร แต่ผมก็พยายามอธิบายว่า อบจ.คือครู คลัง ช่าง หมอ” นาย
พิธากล่าว
นาย
พิธากล่าวต่อว่า ตอนนี้กำลังรณรงค์โดยใช้ปากกา ให้ประชาชนรู้ว่าปากกาในมือมีมูลค่าเท่าไหร่ แต่ละ อบจ. ไม่เหมือนกัน บางจังหวัดมูลค่ารวมหมื่นล้าน จึงอยากทำให้ประชาชนเห็นว่ามูลค่ามากขนาดนี้อยู่ที่ปากกาที่ใช้ในวันออกสิทธิออกเสียง ดังนั้น เรื่องคู่แข่งก็ว่ากันเรื่องนโยบายก็ดี เรื่องขึ้นดีเบตก็ดี ก็ไม่ได้กังวลแต่การมาใช้สิทธิใช้เสียงจะไม่เป็นไปตามเป้า ตนก็ยังอยากจะเห็นว่าเลือกตั้งท้องถิ่นมีคนสนใจและมาใช้สิทธิเยอะ อย่างน้อยอยากได้ 70% ซึ่งระดับสากลควรจะเป็นแบบนั้น แต่ยอมรับว่าจะให้ 70% เป็นไปได้ยาก เพราะเลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ เลือกตั้งข้ามเขตไม่ได้ เลือกตั้งข้ามประเทศไม่ได้ และยังจัดเลือกตั้งหรือวันเสาร์ 1 เดือนหลังปีใหม่
เมื่อถามว่า ในจังหวัดตราดมั่นใจมากแค่ไหน เพราะคู่แข่งถือว่าเป็นคนในพื้นที่มานานเป็นอดีตนายก อบจ. ที่อยู่มาหลายสมัย นาย
พิธากล่าวว่า มั่นใจว่าคนตราดพร้อมที่จะเปลี่ยน คนตราดอยู่กับภาวะผู้นำของนายก อบจ.คนเดิมมา 25 ปี และตนก็ศึกษาแคมเปญของคู่แข่ง เขาบอกว่ามีประสบการณ์ แต่ตัวเลขที่ออกมามันไม่ได้บอกว่ามีอะไรดีขึ้น ถึงตั้งใจลงพื้นที่มาเพื่อบอกคนตราดว่าเรื่องการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจังหวัดตราดย้อนหลังเติบโต 1.6% แต่ประเทศไทยเติบโต 3.5% ดังนั้น จังหวัดตราดเติบโตต่ำกว่าประเทศไทย ทั้งที่มีทั้งผลไม้ มีทั้งประมง และท่องเที่ยว รวมถึงการค้าชายแดน
“
สิ่งที่น่ากลัวคือเด็กเกิดใหม่ที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานมากที่สุดอยู่ที่จังหวัดตราด แสดงว่าต้องมีคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง คนเบื่อ จำเจ ซึ่งตนไปในหลายพื้นที่ คนก็อาจจะคิดว่าไปเลือกก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตพวกเขามาก เสียเวลาขอทำมาหากิน ไม่ไปใช้สิทธิใช้เสียงดีกว่า จึงต้องมากระตุ้นให้เห็นว่าในอดีตอาจจะเป็นแบบนั้น”
นาย
พิธากล่าวว่า เกมมันก็อยู่ที่ใจประชาชน ประชาชนคิดง่ายๆ ว่าเขาจะปิดร้านก๋วยเตี๋ยวครึ่งวัน เพื่อไปเลือกตั้งดีหรือไม่ ถ้าทำแล้วเขารู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงได้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ เขาก็ไป แต่ถ้าเกิดว่าไม่ดีขึ้นก็ไม่ไปแค่นั้น เราก็เข้าใจกัน เพราะทุกคนก็มีภารกิจส่วนตัว จึงเป็นการตอกย้ำข้อกังวลของตนว่าทุกวันนี้เราสู้กับความหวัง ต้องมาชี้ให้เห็นว่าวันนี้ต่างจาก 25 ปีที่แล้วอย่างไร ต้องโน้มน้าวให้ได้ภายในระยะเวลาที่จำกัด ตนอาจจะต้องเดินทางกลับอเมริกาในเร็วๆ นี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะอยู่ช่วยโค้งสุดท้ายได้หรือไม่
เมื่อถามว่า มั่นใจว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกจะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน นายพิธาระบุว่า ตนมั่นใจว่ายังมีสิทธิที่จะทำได้ เพราะตอนเลือกตั้งระดับชาติก็มีคนปรามาสว่ามือไม่ถึง ยังไม่สามารถทำได้ แต่ทุกเกมประชาชนเป็นคนตัดสิน
“
แต่หากเป็นการเมืองที่รู้จักมักจี่กันมานาน อุปถัมภ์กันมานาน ดูแลอย่างโน้นอย่างนี้ ดูแลเรื่องโรงพยาบาล พาลูกเข้าโรงเรียนให้ โดยรวมสังคมไทย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ทำให้คนอีกแบบหนึ่งอาจจะใช้สิทธิ ทำให้ฝั่งเราไม่ถึงฝั่งฝันได้” นาย
พิธากล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงพื้นที่จังหวัดนครนายกที่พรรคประชาชนเป็นตัวเต็ง นาย
พิธากล่าวว่า ใครเป็นคนบอกว่าเต็งหรือไม่เต็ง ตนคงวิจารณ์ไม่ได้เพราะแต่ละคนก็ความคิดแตกต่างกัน
โรม เปิดข้อมูลใหม่ บ.ซื้อไฟกฟภ. อาจเอี่ยวยาฯ ผิดหวังอนุทิน แบกไม่ดูข้อเท็จจริง ระวังเป็นมหาดแก๊งคอล
https://www.matichon.co.th/politics/news_5016066
“โรม” ผิดหวัง “อนุทิน” บอกหากจะแบก “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” โดยไม่คำนึงข้อเท็จจริง ระวังกลายเป็น “รัฐมนตรีมหาดคอลเซ็นเตอร์-ยาบ้า” แฉเพิ่ม การไฟฟ้าพัวพัน “ทุนเทา” เปิดชื่อคนไทยถูกจับปี 65 เปิดธุรกิจค้าน้ำมันบังหน้าสุดท้ายสมคบกับแก๊งค้ายาเสพติด
เมื่อวันที่ 24 มกราคม นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กและแนบภาพประกอบในหัวข้อ “
พบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับบริษัท SMTY ที่เป็นคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องแค่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงยาเสพติดอีกด้วย”
นาย
รังสิมันต์ ระบุว่า บริษัท SMTY นี้ ที่ผมเคยเปิดเผยไปแล้วว่าเป็นบริษัทของ พันตรี
ติ่งวิน ซึ่งเป็นนายทหารที่มีบทบาทสำคัญในกองกำลัง BGF ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยแกนนำคนสำคัญชื่อ พันโท
หม่องชิตตู คงนับได้ว่าพันตรี
ติ่งวิน เป็นลูกน้องของ
หม่องชิตตู่
สำหรับกองกำลัง BGF เป็นผู้ให้สัมปทานเช่ากับบรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆจำนวนมากในเมียวดี ส่วนบริษัท SMYT คือบริษัทที่เป็นคู่สัญญาในการซื้อไฟเพื่อไปแจกจ่ายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ล่าสุดผมเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่า คนไทยคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถูกจับกุม เมื่อปี 2565 ในคดียาเสพติด และฟอกเงิน โดยทำหน้าที่แปลงสภาพทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากการค้ายาเสพติด ไปเปิดธุรกิจค้าน้ำมันบังหน้า โดยที่ในปัจจุบันศาลได้ตัดสินประหารชีวิตไปแล้วนั้น ปรากฏว่าคนนี้ได้มีความเชื่อมโยงกับพันตรี
ติ่งวิน กล่าวคือได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท SMTY (Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited) ให้เป็นตัวแทนในการจัดหาน้ำมันไปขายในเมียนมา นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูงที่บริษัทนี้ของนายติ่งวินจะเกี่ยวข้องกับการสมคบเครือข่ายยาเสพติดที่มีการจับกุมไปแล้วก่อนหน้านี้ด้วย
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของประเทศเราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทแบบนี้ทั้งๆ ที่บริษัทนี้พัวพันทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุนสีเทาและยาเสพติด
ผมทราบมาว่ากำลังมีการดำเนินคดีกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งคือที่แม่สาย) ในชั้นของอัยการสูงสุด คงต้องติดตามกันต่อไปว่าอัยการสูงสุดจะทำหน้าที่ของตนเองโดยมีผลออกมาเป็นเช่นไร
ส่วนท่านรัฐมนตรี
อนุทิน ชาญวีรกุล ถ้าท่านจะแบกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่องค์กรในการดูแลของท่านกำลังเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุนสีเทาและอาชญากรข้ามชาติ โปรดระวังให้ดี ว่าสังคมจะคิดว่าท่านไม่ใช่รัฐมนตรีมหาดไทย แต่เป็นรัฐมนตรีมหาดคอลเซ็นเตอร์และยาบ้า ที่ไม่สนใจถึงผลประโยชน์ของคนไทย ไม่สนใจถึงความสูญเสียที่คนไทยได้รับในแต่ละวัน ไม่สนใจว่าจะมีคนไทยกี่คนที่ต้องฆ่าตัวตาย การสั่งตัดไฟเป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดแต่ท่านไม่ยอมทำ ไม่เคยนึกจริงๆว่าท่านจะเป็นคนแบบนี้ น่าผิดหวังมากๆ
ผมอยากจะเรียกร้องไปถึงสื่อมวลชน ว่านี่คือวาระแห่งชาติที่เราจะต้องจัดการกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติดให้สิ้นซาก เราไม่อาจจะหวังพึ่งรอคอยการทำงานจากรัฐบาลได้อีกแล้ว เราไม่รู้ว่ามีข้าราชการกี่คนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น เราไม่รู้ว่ามีรัฐมนตรีกี่นายที่ได้รับส่วยคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติด ผมอยากให้สื่อมวลชนช่วยกันทำหน้าที่ติดตามเรื่องนี้
JJNY : 5in1 พิธาอัดแก้ฝุ่น│พิธารับกังวล คนใช้สิทธิน้อย│โรมเปิดข้อมูลใหม่│ส.ส.ปชน.แนะรบ.ใช้กม.ที่มีอยู่│ฐปณีย์ ถามฟ้องรัฐ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5015990
“พิธา” อัด นโยบายแก้ฝุ่นรัฐบาล ช้าไป-น้อยไป-สายไป ชี้ผู้นำประเทศมีหน้าที่แก้ “ฝุ่น-ไฟ-ฝน” ควรมีโอกาสเตรียมตัวตั้งแต่ระดับนานาชาติ งง “เพื่อไทย” ตอนเป็น “ฝ่ายค้าน” อภิปรายฝุ่นดุเด็ดเผ็ดมันส์ แต่พอทำเองกลับแย่ขึ้น โต้ “ทักษิณ” ที่บอก “เท้ง” มีแค่ภารกิจเดียว ย้ำทรัพยากร ฝ่ายค้าน-รัฐบาล ไม่เท่ากัน
เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ จ.ตราด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์มองมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ของรัฐบาลว่า ช้าไป น้อยไป สายไป ซึ่งตนคิดว่าคนที่เป็นผู้นำประเทศตอนนี้ ถ้าแก้ปัญหาประเทศง่ายๆ เลย คือ ฝุ่น ไฟ ฝน พอฝุ่นหมด ไฟก็มา พอไฟหมด ก็น้ำท่วมอีก โดยการแก้ปัญหาฝุ่นต้องมีแผนงานมาตั้งแต่ฤดูฝนแล้ว หากดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ระหว่างวันที่ 1-22 มกราคม ไม่มีปีไหนเลยที่ค่าฝุ่นได้ค่ามาตรฐานเลย เกินมาตรฐานทุกปี และปีที่สูงที่สุดคือ 2564 รองลงมาคือ 2568 ถัดมาคือ 2567 จะเห็นได้ว่าปัญหา PM2.5 ที่เกิดขึ้นทั้งที่ กทม.และทั่วประเทศในช่วงที่มีการเผาอ้อยและข้าว ซึ่งเมื่อเกิดความกดอากาศแน่นอนว่าฝุ่นก็ตามมา
นายพิธากล่าวว่า ควรจะมีโอกาสที่จะได้เตรียมตัวตั้งแต่ระดับนานาชาติ ซึ่งต้องประสานงานกัน ไม่ใช่พอฝุ่นมาแล้วค่อยต่อสาย ควรจะต่อสายกันตั้งนานแล้ว และต่อสายในระดับประเทศ เพราะในแต่ละพื้นที่มีปัญหาที่ต่างกัน และเมื่อมาในระดับท้องถิ่นก็มีปัญหาแตกต่างกัน ซึ่งถ้าวางแผนตั้งแต่ระดับนานาชาติ ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น ตั้งแต่หลายเดือนก่อนจนถึงขณะนี้ อย่างน้อยที่สุดคือ สัปดาห์นี้คือการเข้าถึงหน้ากาก เครื่องฟอกอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่เปราะบาง เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า เรื่องการเมืองท้องถิ่นมีส่วนที่จะช่วยแก้ปัญหาได้เช่นกัน
เมื่อถามว่า การแก้ปัญหาได้เพียงเฉพาะหน้าสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวหรือไม่ รวมทั้งกรณีที่ชาวเน็ตไปขุดโพสต์นโยบายของพรรคเพื่อไทย ว่าหากเป็นรัฐบาลจะแก้ไขปัญหา PM2.5 ที่ต้นตอ นายพิธากล่าวว่า ก็คิดอยู่ว่าฝ่ายค้านที่พอจะสูสี กับฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน คือ พรรคเพื่อไทยในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายในสภาเรื่องฝุ่น PM2.5 ซึ่งตนจำได้ว่าเคยอภิปรายเรื่องฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่เป็น ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ หมายความว่าผ่านมาแล้ว 4-5 ปี แล้วตอนพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านก็อภิปรายเรื่องนี้อย่างดุเดือดเผ็ดมันส์ แต่ปีนี้เข้าปีที่ 2 ของการเป็นรัฐบาลแล้ว ในความเป็นจริงก็ควรจะเตรียมตัวมานานมากแล้วในการบริหารจัดการ แต่กลับแย่ขึ้นเรื่อยๆ และยังไม่มีแผนการที่เป็นรูปธรรมจนกระทั่งถึงเมื่อเช้านี้หลังจากที่พรรคประชาชนกระทุ้งถึงได้มีแผนรับมือออกมา
ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาซัดกลับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่า ผู้นำฝ่ายค้านมีภารกิจเดียวแค่ที่สภา นายกรัฐมนตรีมีภารกิจเยอะกว่า นายพิธาระบุว่า ทรัพยากรของรัฐบาลกับทรัพยากรของฝ่ายค้านก็ไม่เท่ากัน ซึ่งฝ่ายรัฐบาลสามารถบริหารจัดการและกระจายงาน เตรียมทรัพยากรในการบริหารล่วงหน้าได้ตั้งเยอะ
นายพิธากล่าวย้ำว่า การที่จะเป็น ส.ส.นั้นควรจะต้องผ่านกฎหมายที่มีความก้าวหน้า เช่น พ.ร.บ.อากาศสะอาด และต้องพูดแทนประชาชน รวมทั้งต้องตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งก็มีการตรวจสอบเรื่องนี้มา 4-5 ปี ทุกครั้งในการทำหน้าที่ แต่ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกลายมาเป็นรัฐบาล และพรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้าน แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ทำตามที่ตัวเองเคยพูดไว้ในสภา ขณะที่เป็นฝ่ายค้าน หรือช่วงที่มีการหาเสียง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ประชาชนต้องจมฝุ่นต่อไป ทั้งที่ควรจะทุเลาได้เยอะกว่านี้มาก
พิธา รับกังวล คนใช้สิทธิน้อย อาจทำปชน.ไม่ถึงฝัน ปลุกคนตราดเปลี่ยน ชี้ คนเก่าอยู่มา 25 ปี แต่ศก.โตต่ำ
https://www.matichon.co.th/politics/local-election/news_5015890
“พิธา” รับกังวลคนใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ.น้อย ทำ ปชน.ไปไม่ถึงฝัน พ้อ เวลาเจอ เขาทักทาย-ถ่ายรูป แต่ไม่รู้ไปเลือกตั้งหรือไม่ อัด นายก อบจ.ตราด อยู่มา 25 ปี แต่ตัวเลขมันบอก ไม่ได้ดีขึ้น โชว์สถิติ เติบโตต่ำกว่าค่ามาตรฐานประเทศ เชื่อ คนเบื่อ-จำเจ
เมื่อวันที่ 24 มกราคม ที่ จ.ตราด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ระหว่างช่วยหาเสียงนายก อบจ.ตราด ถึงการต่อสู้สนามเลือกตั้ง อบจ. ว่าพรรคประชาชนนำโดยหัวหน้าพรรคและเลขาฯพรรค ทำงานเต็มที่ ในเรื่องของการแข่งขัน ตนไม่กังวลสักเท่าไหร่ แต่กังวลว่าสิ่งที่พวกตนกำลังแข่งอยู่ สุดท้ายกลายเป็นว่าคนไม่มาใช้สิทธิใช้เสียง
“เวลาเจอกันเขาก็ยังทักทาย พูดคุย ถ่ายรูป มาฟังปราศรัยในบางพื้นที่ อย่างภาคใต้ก็เยอะเหมือนตอนเลือกตั้งปี 2566 แต่มั่นใจหรือไม่ว่าเขาจะออกมาใช้สิทธิใช้เสียง เพราะเขายังไม่เข้าใจว่าเลือก อบจ.มีประโยชน์อย่างไร แต่ผมก็พยายามอธิบายว่า อบจ.คือครู คลัง ช่าง หมอ” นายพิธากล่าว
นายพิธากล่าวต่อว่า ตอนนี้กำลังรณรงค์โดยใช้ปากกา ให้ประชาชนรู้ว่าปากกาในมือมีมูลค่าเท่าไหร่ แต่ละ อบจ. ไม่เหมือนกัน บางจังหวัดมูลค่ารวมหมื่นล้าน จึงอยากทำให้ประชาชนเห็นว่ามูลค่ามากขนาดนี้อยู่ที่ปากกาที่ใช้ในวันออกสิทธิออกเสียง ดังนั้น เรื่องคู่แข่งก็ว่ากันเรื่องนโยบายก็ดี เรื่องขึ้นดีเบตก็ดี ก็ไม่ได้กังวลแต่การมาใช้สิทธิใช้เสียงจะไม่เป็นไปตามเป้า ตนก็ยังอยากจะเห็นว่าเลือกตั้งท้องถิ่นมีคนสนใจและมาใช้สิทธิเยอะ อย่างน้อยอยากได้ 70% ซึ่งระดับสากลควรจะเป็นแบบนั้น แต่ยอมรับว่าจะให้ 70% เป็นไปได้ยาก เพราะเลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ เลือกตั้งข้ามเขตไม่ได้ เลือกตั้งข้ามประเทศไม่ได้ และยังจัดเลือกตั้งหรือวันเสาร์ 1 เดือนหลังปีใหม่
เมื่อถามว่า ในจังหวัดตราดมั่นใจมากแค่ไหน เพราะคู่แข่งถือว่าเป็นคนในพื้นที่มานานเป็นอดีตนายก อบจ. ที่อยู่มาหลายสมัย นายพิธากล่าวว่า มั่นใจว่าคนตราดพร้อมที่จะเปลี่ยน คนตราดอยู่กับภาวะผู้นำของนายก อบจ.คนเดิมมา 25 ปี และตนก็ศึกษาแคมเปญของคู่แข่ง เขาบอกว่ามีประสบการณ์ แต่ตัวเลขที่ออกมามันไม่ได้บอกว่ามีอะไรดีขึ้น ถึงตั้งใจลงพื้นที่มาเพื่อบอกคนตราดว่าเรื่องการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจังหวัดตราดย้อนหลังเติบโต 1.6% แต่ประเทศไทยเติบโต 3.5% ดังนั้น จังหวัดตราดเติบโตต่ำกว่าประเทศไทย ทั้งที่มีทั้งผลไม้ มีทั้งประมง และท่องเที่ยว รวมถึงการค้าชายแดน
“สิ่งที่น่ากลัวคือเด็กเกิดใหม่ที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานมากที่สุดอยู่ที่จังหวัดตราด แสดงว่าต้องมีคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง คนเบื่อ จำเจ ซึ่งตนไปในหลายพื้นที่ คนก็อาจจะคิดว่าไปเลือกก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตพวกเขามาก เสียเวลาขอทำมาหากิน ไม่ไปใช้สิทธิใช้เสียงดีกว่า จึงต้องมากระตุ้นให้เห็นว่าในอดีตอาจจะเป็นแบบนั้น”
นายพิธากล่าวว่า เกมมันก็อยู่ที่ใจประชาชน ประชาชนคิดง่ายๆ ว่าเขาจะปิดร้านก๋วยเตี๋ยวครึ่งวัน เพื่อไปเลือกตั้งดีหรือไม่ ถ้าทำแล้วเขารู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงได้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ เขาก็ไป แต่ถ้าเกิดว่าไม่ดีขึ้นก็ไม่ไปแค่นั้น เราก็เข้าใจกัน เพราะทุกคนก็มีภารกิจส่วนตัว จึงเป็นการตอกย้ำข้อกังวลของตนว่าทุกวันนี้เราสู้กับความหวัง ต้องมาชี้ให้เห็นว่าวันนี้ต่างจาก 25 ปีที่แล้วอย่างไร ต้องโน้มน้าวให้ได้ภายในระยะเวลาที่จำกัด ตนอาจจะต้องเดินทางกลับอเมริกาในเร็วๆ นี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะอยู่ช่วยโค้งสุดท้ายได้หรือไม่
เมื่อถามว่า มั่นใจว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกจะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน นายพิธาระบุว่า ตนมั่นใจว่ายังมีสิทธิที่จะทำได้ เพราะตอนเลือกตั้งระดับชาติก็มีคนปรามาสว่ามือไม่ถึง ยังไม่สามารถทำได้ แต่ทุกเกมประชาชนเป็นคนตัดสิน
“แต่หากเป็นการเมืองที่รู้จักมักจี่กันมานาน อุปถัมภ์กันมานาน ดูแลอย่างโน้นอย่างนี้ ดูแลเรื่องโรงพยาบาล พาลูกเข้าโรงเรียนให้ โดยรวมสังคมไทย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ทำให้คนอีกแบบหนึ่งอาจจะใช้สิทธิ ทำให้ฝั่งเราไม่ถึงฝั่งฝันได้” นายพิธากล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงพื้นที่จังหวัดนครนายกที่พรรคประชาชนเป็นตัวเต็ง นายพิธากล่าวว่า ใครเป็นคนบอกว่าเต็งหรือไม่เต็ง ตนคงวิจารณ์ไม่ได้เพราะแต่ละคนก็ความคิดแตกต่างกัน
โรม เปิดข้อมูลใหม่ บ.ซื้อไฟกฟภ. อาจเอี่ยวยาฯ ผิดหวังอนุทิน แบกไม่ดูข้อเท็จจริง ระวังเป็นมหาดแก๊งคอล
https://www.matichon.co.th/politics/news_5016066
“โรม” ผิดหวัง “อนุทิน” บอกหากจะแบก “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” โดยไม่คำนึงข้อเท็จจริง ระวังกลายเป็น “รัฐมนตรีมหาดคอลเซ็นเตอร์-ยาบ้า” แฉเพิ่ม การไฟฟ้าพัวพัน “ทุนเทา” เปิดชื่อคนไทยถูกจับปี 65 เปิดธุรกิจค้าน้ำมันบังหน้าสุดท้ายสมคบกับแก๊งค้ายาเสพติด
เมื่อวันที่ 24 มกราคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กและแนบภาพประกอบในหัวข้อ “พบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับบริษัท SMTY ที่เป็นคู่สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องแค่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงยาเสพติดอีกด้วย”
นายรังสิมันต์ ระบุว่า บริษัท SMTY นี้ ที่ผมเคยเปิดเผยไปแล้วว่าเป็นบริษัทของ พันตรี ติ่งวิน ซึ่งเป็นนายทหารที่มีบทบาทสำคัญในกองกำลัง BGF ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยแกนนำคนสำคัญชื่อ พันโท หม่องชิตตู คงนับได้ว่าพันตรีติ่งวิน เป็นลูกน้องของหม่องชิตตู่
สำหรับกองกำลัง BGF เป็นผู้ให้สัมปทานเช่ากับบรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆจำนวนมากในเมียวดี ส่วนบริษัท SMYT คือบริษัทที่เป็นคู่สัญญาในการซื้อไฟเพื่อไปแจกจ่ายให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ล่าสุดผมเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่า คนไทยคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถูกจับกุม เมื่อปี 2565 ในคดียาเสพติด และฟอกเงิน โดยทำหน้าที่แปลงสภาพทรัพย์สินเงินทองที่ได้จากการค้ายาเสพติด ไปเปิดธุรกิจค้าน้ำมันบังหน้า โดยที่ในปัจจุบันศาลได้ตัดสินประหารชีวิตไปแล้วนั้น ปรากฏว่าคนนี้ได้มีความเชื่อมโยงกับพันตรีติ่งวิน กล่าวคือได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท SMTY (Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited) ให้เป็นตัวแทนในการจัดหาน้ำมันไปขายในเมียนมา นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูงที่บริษัทนี้ของนายติ่งวินจะเกี่ยวข้องกับการสมคบเครือข่ายยาเสพติดที่มีการจับกุมไปแล้วก่อนหน้านี้ด้วย
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของประเทศเราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทแบบนี้ทั้งๆ ที่บริษัทนี้พัวพันทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุนสีเทาและยาเสพติด
ผมทราบมาว่ากำลังมีการดำเนินคดีกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งคือที่แม่สาย) ในชั้นของอัยการสูงสุด คงต้องติดตามกันต่อไปว่าอัยการสูงสุดจะทำหน้าที่ของตนเองโดยมีผลออกมาเป็นเช่นไร
ส่วนท่านรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล ถ้าท่านจะแบกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่องค์กรในการดูแลของท่านกำลังเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุนสีเทาและอาชญากรข้ามชาติ โปรดระวังให้ดี ว่าสังคมจะคิดว่าท่านไม่ใช่รัฐมนตรีมหาดไทย แต่เป็นรัฐมนตรีมหาดคอลเซ็นเตอร์และยาบ้า ที่ไม่สนใจถึงผลประโยชน์ของคนไทย ไม่สนใจถึงความสูญเสียที่คนไทยได้รับในแต่ละวัน ไม่สนใจว่าจะมีคนไทยกี่คนที่ต้องฆ่าตัวตาย การสั่งตัดไฟเป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดแต่ท่านไม่ยอมทำ ไม่เคยนึกจริงๆว่าท่านจะเป็นคนแบบนี้ น่าผิดหวังมากๆ
ผมอยากจะเรียกร้องไปถึงสื่อมวลชน ว่านี่คือวาระแห่งชาติที่เราจะต้องจัดการกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติดให้สิ้นซาก เราไม่อาจจะหวังพึ่งรอคอยการทำงานจากรัฐบาลได้อีกแล้ว เราไม่รู้ว่ามีข้าราชการกี่คนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น เราไม่รู้ว่ามีรัฐมนตรีกี่นายที่ได้รับส่วยคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติด ผมอยากให้สื่อมวลชนช่วยกันทำหน้าที่ติดตามเรื่องนี้