"พิธา" ลัดฟ้าถึงเมืองอุดรธานี ลุยหาเสียงชิงเก้าอี้นายกฯอบจ. เมิน "ทักษิณ" เย้ยกลัวแพ้
https://ch3plus.com/news/political/morning/424797
"พิธา" ลัดฟ้าถึงเมืองอุดรธานี ลุยหาเสียงชิงเก้าอี้นายกฯอบจ. เมิน"ทักษิณ" เย้ยกลัวแพ้ เตือนความจำ อย่าลืมผลเลือกตั้งปี 2566 "ก้าวไกล-ไทยสร้างไทย" รวมกันชนะ"เพื่อไทย" ลั่น นี่ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง แต่คือเมืองหลวงประชาธิปไตย รับแพ้มาเยอะ แต่ก็ชนะมาแยะ แจงป้ายหาเสียง มีทั้งทิมทั้งเท้ง เป็นแคมเปญเลือกตั้งลูกครึ่ง เหตุโดนยุบพรรค
นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นาย
คณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน ชิงเก้าอี้นายกอบจ.อุดร เดินทางถึงจังหวัดอุดรธานี หลังกลับมาจากสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้สมัคร และผู้สนับสนุนเดินทางมาให้การต้อนรับ ขอถ่ายรูปจำนวนมาก
โดยนาย
พิธา กล่าวว่า เดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ตั้งใจมาช่วยหาเสียง เพื่อให้คนอุดรทราบว่าจะมีการเลือกตั้งนายกฯอบจ.อุดร โดยประเด็นหลักที่อยากสื่อสาร คือ การเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์กันเยอะๆ เพราะคนทราบว่าอุดรคือเมืองหลวงของประชาธิปไตย แต่การใช้สิทธิ์อาจจะน้อย เพราะพี่น้องชาวอุดรธานี ไปทำงานต่างประเทศเยอะ ที่ผ่านมาในการเลือกตั้งปี 66 การเลือกตั้ง อบจ. มีแค่ 50 ต้นๆหรือ 60 ต้นๆเท่านั้น ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตย ก็พยายามเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์เยอะๆ
ส่วนที่บ้างพรรคตีกินว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง นาย
พิธา กล่าวว่า ถ้าดูตัวเลขจากการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยมาอันดับ 1 300,000 แสนกว่าคะแนน พรรคก้าวไกลมาอันดับ 2 200,000 แสนกว่าบาท พรรคไทยสร้างไทยอันดับ 3 100,000 กว่าคะแนน ถ้า 2 กับ 3 รวมกัน ก็ชนะพรรคเพื่อไทย และที่ตนตอบคำถามเมื่อสักครู่ ก็ใช้คำว่าเมืองหลวงประชาธิปไตย ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง เพราะตัวเลขก็ฟ้องมาอย่างนั้น
ส่วนที่นาย
ทักษิณ ปราศรัยเย้ยว่า นาย
พิธา กลัวแพ้จึงต้องบินกลับมาจากสหรัฐ นาย
พิธา กล่าวว่า เรื่องนี้มี 2 ประเด็น เรื่องกลัวแพ้ก็แพ้มาเยอะ ชนะมาก็แยะ อุดรเขต 1 ตอนปี 2562 ตอนเป็นอนาคตใหม่ก็แพ้ พอปี 2566 เป็นพรรคก้าวไกลก็ชนะ ผู้สมัครนายกอบจ.คนปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้นมีแต่เผด็จการเท่านั้นที่กลัวแพ้การเลือกตั้ง
"
การเป็นนักการเมืองและการเป็นอดีตนักการเมือง ก็มีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา อย่างกรณีที่ตนกลับมาจากอเมริกาที่เคยแพ้ก็ชนะ ที่เคยชนะก็กลับมาแพ้ นี่คือความสวยงามของประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องแพ้ แพ้เยอะมาแล้ว แต่การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายผมก็ชนะ"
ส่วนที่มีการแซวว่าติดป้ายหาเสียง ผู้สมัครคู่ทั้งทิมทั้งเท้ง แสดงว่า คุณเท้งไม่หล่อเท่าคุณทิม นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่เช็คจากทีมงานของผู้สมัคร อัตราส่วนการติดป้ายของหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 น่าจะ 20 ต่อ 1 เพราะฉะนั้นเรื่องความประหยัด พรรคตนในตอนที่เป็นอดีตพรรคก้าวไกล และจนมาเป็นพรรคประชาชนไม่แพ้พรรคไหนแน่นอน และแคมเปญนี้เป็นแคมเปญลูกครึ่ง เพราะหาเสียงกับนายคณิศร ตั้งแต่ยังเป็นพรรคก้าวไกล จึงมีการทำป้าย แต่พอโดนยุบพรรคก็กลายเป็นของพรรคประชาชน กลายเป็นลูกครึ่งมีทั้งรูปคู่กับตนและรูปคู่กับเท้ง ก็แค่นั้น
ส่วนการลงพื้นที่ด้วยตัวเองของนายทักษิณ ทำให้มีความกังวลหรือไม่นั้น นาย
พิธากล่าวว่าไม่รู้สึกกังวล รู้สึกดี เพราะทำให้มีสีสัน ทำให้ประชาชนมีความสนใจ เพราะในการเลือกตั้งระดับชาติก็มีกติกาหนึ่ง มีเลือกตั้งล่วงหน้า มีเลือกตั้งข้ามเขต ประชาชนให้ความสนใจ แต่เมื่อเป็นการเลือกตั้ง สส.หรือ อบจ.
แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์จาก กกต.เท่าที่ควร ถ้ามีการแข่งขันของเบอร์ 1 เบอร์ 2 มีการลงพื้นที่กันเยอะ ประชันวิสัยทัศน์กันเยอะก็ทำให้ประชาชนสนใจ และหวังว่าการจะทำให้การใช้สิทธิ์ครั้งนี้สูงกว่า 56% เพราะครั้งที่แล้วก็เกินครึ่งมานิดเดียว
ส่วนมองว่าการที่นายใหญ่ของพรรคต้องลงมาเอง มีนัยต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้หรือไม่ นาย
พิธากล่าวว่าก็เห็นสื่อมวลชนวิจารณ์กันไป แต่ตนไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าสัปดาห์นี้ และสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง แต่การที่สื่อวิเคราะห์หรือมีการสัมภาษณ์นักวิชาการ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ตนไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่การทำงานของพรรคประชาชน หรือพรรคก้าวไกล เวลามองการเลือกตั้ง เรามอง 2-3 การเลือกตั้งล่วงหน้า
ถ้าคิดแบบนั้นจะมีแต่ชนะ พัฒนา ไม่มีแพ้ เราแข่งกับตัวเองในครั้งที่แล้ว ตั้งแต่อนาคตใหม่ ก้าวไกล แน่นอนว่าในการเลือกตั้งต้องแข่งกับคู่แข่ง แต่ในการทำงานของพรรคเรา แข่งกับตัวเองในครั้งที่ผ่านมา ถ้าคิดแบบนี้ จะทำงานอย่างไม่กดดัน และทุกการเลือกตั้งเป็นโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลง การพัฒนาบุคคล และองค์กร หลายคนตอนเลือกตั้งอนาคตใหม่ วางแผนการเดินหาเสียงไม่เป็น ทุกวันนี้เก่งมาก ก็มีการพัฒนาในทุกการแข่งขัน ไม่ได้รู้สึกกดดันมากเป็นพิเศษ
ส่วนสนามเลือกตั้ง อบจ.เป็นโจทย์ยากหรือไม่เพราะต้องทลายกำแพงบ้านใหญ่ ที่เดิมเป็นสีแดงเกือบทั้งจังหวัด นาย
พิธากล่าวว่าเป็นโจทย์ยากที่บริหารได้ อย่างน้อยเราทราบว่าในการเลือกตั้ง ปี 2566 คนมาใช้สิทธิ์ 76% พอเลือกตั้ง อบจ.เหลือแค่ 60% เพราะข้ามเขตไม่ได้ เลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายในพื้นที่ให้จับต้องได้ มีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน พอตนกลับจากสหรัฐอเมริกา เห็นเรื่องการเลือกตั้งก็มองว่าน่าจะมีการเลือกตั้งด้วยจดหมายแบบ เมลล์อิน เหมือนเลือกตั้งสหรัฐฯจะได้ทำให้การเลือกตั้งง่ายขึ้น มีประสิทธืภาพมากขึ้น และตรงกับเจตจำนงค์ของประชาชนมากขึ้น ต้องแก้ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งระดับชาติแต่รวมถึงเลือกตั้งอื่นๆ น่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น
ส่วนหากพรรคประชาชนจะชนะ จะมาจากปัจจัยใดนั้น นาย
พิธา กล่าวว่า มาจากหลายเรื่องทั้งตัวผู้สมัครและคู่แข่งก็มีความสำคัญ รวมถึงนโยบายตรงใจประชาชนแค่ไหน แต่ตนยังยืนยันในความสำคัญของผู้มาใช้สิทธิ์ หากเกิน 70% ก็ทำให้เกิดความชอบธรรมและมีโอกาสชนะมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันถ้าใช้สิทธิ์น้อยก็น่าจะยาก
ส่วนที่นาย
ทักษิณ ประกาศว่า สมัยหน้าจะคว้า เก้าอี้ สส. ไม่น้อยกว่า 200 ถือเป็นการข่มขวัญหรือไม่นั้น นาย
พิธา กล่าวว่า ก็เหมือนตอนนายแพทย์
ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือนางสาว
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยพูดเรื่องแลนด์สไลด์ ก็แค่นั้น พอถึงเวลา ผลลัพธ์หลังเลือกตั้งประชาชนเป็นคนตัดสิน วางแผนได้ ทางตนก็มี เคยวางไว้ตอนเป็นอดีตก้าวไกล เชื่อว่านาย
ณัฐพงษ์ ก็คงวางแผนของตัวเองเช่นกัน ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน
ในช่วงท้ายนาย
พิธา ยังอ้อนคนอุดร ขอคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร โดยระบุว่า "
ฮักหลายๆ ไม่ว่าจะเป็นประเพณีไทยสำคัญขนาดไหน เช่นตอนสงกรานต์ ผมก็อยู่อุดร ลอยกระทงผมก็ยังอยู่ แสดงให้เห็นความผู้พันธ์ที่มีต่อพี่น้องชาวอุดร หวังว่าศุกร์เสาร์อาทิตย์นี้จะมีโอกาสมาพบปะกันให้หายคิดถึง"
อย่างไรก็ตาม เย็นวันนี้นาย
พิธา ได้ยกเลิกภารกิจลอยกระทงร่วมกับคนอุดร เปลี่ยนเป็นเดินพบประชาชนบริเวณถนนคนเดินแทน เนื่องจากกังวลว่า เกรงจะผิดกฎหมายเลือกตั้งใน เรื่องห้ามจัดมหรสพ
https://x.com/MorningNewsTV3/status/1857331078803144854
พิธาหวังนายกฯ เร่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้มาตรา 112 ป้องกันการกลั่นแกล้ง หลังทักษิณบอกตนเองเป็นเหยื่อ
https://thestandard.co/pita-pm-thaksin-112-victim/
วันนี้ (15 พฤศจิกายน) ที่จังหวัดอุดรธานี
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวระหว่างลงพื้นที่ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ถึงกรณีที่
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยพาดพิงว่า ฝากไปบอกพรรคประชาชนก่อนที่จะคิดออกกฎหมายใหม่ ขอให้แก้กฎหมายเก่าที่เฮงซวยก่อน
พิธาระบุว่า ข้อเท็จจริงน่าจะผิดนิดหนึ่ง เพราะตอนที่เป็นพรรคก้าวไกล เราก็ทำเรื่องกิโยตินกฎหมาย ตอนที่เราขึ้นเวทีดีเบตกันจำได้ว่าพรรคเพื่อไทยก็พูดเรื่องกิโยตินกฎหมาย แต่พอกลับมาดู 83 ฉบับที่พรรคประชาชนพยายามเสนอ มีการร่างกฎหมายใหม่ก็เพื่อยกเลิกกฎหมายเก่า เช่น พระราชบัญญัติยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
“
ผมก็คิดว่ารับคำท้าคุณทักษิณ เอาอย่างนี้ดีกว่า มีกฎหมายอะไรที่อยากจะยกเลิก ทั้งกฎหมายส่งออกข้าวที่คุณทักษิณพูดถึง รวมไปถึงอีก 3,000-4,000 ฉบับ ทั้งในระดับพระราชกำหนดหรือประกาศกระทรวงที่คิดว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัยแล้ว ยกเลิกได้เลย เนื่องจากตอนที่เป็น 312 เสียงพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ เมื่อไปประชุมพรรคเพื่อไทยก็พูดกันเรื่องนี้ ซึ่งมีความเห็นที่หลากหลายว่าจะไปในทางไหน ถ้าจะเอาแบบพรรคไหนก็เป็นประโยชน์กับประชาชนและ SME ทั้งนั้น”
พิธากล่าวต่อไปว่า กฎหมายที่มีอยู่มาก ส่วนใหญ่มีไว้ให้ใช้ดุลพินิจ เมื่อมีการใช้ดุลพินิจก็คอร์รัปชันได้มากขึ้น จึงขอรับคำท้า
ทักษิณมาช่วยกันยกเลิกกฎหมายเก่า ซึ่งบางเรื่องก็เป็นอำนาจของกระทรวง ทบวง กรม ยกเลิกได้ แต่บางอย่างก็ต้องเข้ารัฐสภา ก็ขอให้ทำด้วยกัน
ส่วนกรณีที่
ทักษิณปราศรัยเรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 จนทำให้
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุว่าอาจทำให้คนเข้าใจผิดนั้น
พิธามองว่าบริบทยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น แต่ในมุมมองส่วนตัวยังคิดว่าการแก้ไขในสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และยังเข้าใจจากคำพูดของ
ทักษิณว่า ตัวเขาเองก็เป็นเหยื่อของมาตรา 112 เช่นเดียวกัน
พิธามองว่า หากมีคณะกรรมการเข้ามากลั่นกรองว่าจะฟ้องหรือไม่ให้ฟ้องจะเป็นประโยชน์ เพราะกฎหมายอยู่ที่การปฏิบัติ ก็ควรตั้งเลย เพราะผ่านมาปีกว่าแล้ว แม้จะไม่ได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของเราทั้งหมด แต่ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ซึ่งส่วนตัวเห็นด้วยหากจะเริ่มต้นที่ตรงนั้น
“
ขอให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้กฎหมายมาตรา 112 ในการฟ้องประชาชน จะได้ไม่มีการฟ้องแกล้งกัน ขณะเดียวกัน หากทำแค่นี้แล้วยังมีปัญหาอยู่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องแก้ไขตามกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาต ซึ่งสามารถแก้ไขได้ เพื่อจะทำให้การเมืองของเราไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีกัน”
พิธากล่าว
ส่วนกรณีที่
ธนาธรกังวลว่า เมื่อทักษิณพูดถึงการรื้อโครงสร้าง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเข้าใจอดีตพรรคก้าวไกลผิดไปนั้น
พิธาระบุว่า ยังเชื่อมั่นว่าประชาชนจำนวนมากน่าจะแยกแยะได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี เพราะคำว่าเปลี่ยนโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทหารให้ทันสมัยมากขึ้น ให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหาร หรือการทลายทุนผูกขาด ก็ไม่ได้เห็นต่างกับทักษิณแต่อย่างใด
“
เพียงแต่หมดเวลาพูดแล้ว ถึงเวลาทำ บางเรื่องฝ่ายค้านริเริ่มได้ รัฐบาลทำตาม บางเรื่องรัฐบาลก็ริเริ่ม ถ้าฝ่ายค้านเห็นว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเท่าเทียมทางโอกาส หรือการมีคณะกรรมการป้องกันการฟ้องการแกล้งด้วยมาตรา 112 ทำได้เลย เห็นด้วย หรือการยกเลิกกิโยตินกฎหมายก็ทำได้เลยเหมือนกัน”
พิธาระบุ
กมธ.ตากใบ ลั่น คดีไม่เงียบแน่นอน เผย อนุกมธ.ฯเคาะกรอบ 4 ข้อ เค้นต้นเหตุดำเนินคดีล่าช้า
https://www.matichon.co.th/politics/news_4900206
“กมลศักดิ์” ลั่นคดีตากใบไม่เงียบแน่นอน เผย อนุกมธ.ฯ เคาะกรอบศึกษา 4 ประเด็น เค้นข้อเท็จจริง-ต้นเหตุดำเนินคดีที่ล่าช้า-ไม่คืบ-จ่อเสนอแก้กฎหมาย
JJNY : 5in1 "พิธา"เมิน"ทักษิณ"เย้ย│พิธาหวังเร่งตั้งคกก.│กมธ.ตากใบลั่นคดีไม่เงียบ│อสังหาฯ หืดจับ│ส.ส.เชื้อสายเมารีประท้วง
https://ch3plus.com/news/political/morning/424797
"พิธา" ลัดฟ้าถึงเมืองอุดรธานี ลุยหาเสียงชิงเก้าอี้นายกฯอบจ. เมิน"ทักษิณ" เย้ยกลัวแพ้ เตือนความจำ อย่าลืมผลเลือกตั้งปี 2566 "ก้าวไกล-ไทยสร้างไทย" รวมกันชนะ"เพื่อไทย" ลั่น นี่ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง แต่คือเมืองหลวงประชาธิปไตย รับแพ้มาเยอะ แต่ก็ชนะมาแยะ แจงป้ายหาเสียง มีทั้งทิมทั้งเท้ง เป็นแคมเปญเลือกตั้งลูกครึ่ง เหตุโดนยุบพรรค
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน ชิงเก้าอี้นายกอบจ.อุดร เดินทางถึงจังหวัดอุดรธานี หลังกลับมาจากสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้สมัคร และผู้สนับสนุนเดินทางมาให้การต้อนรับ ขอถ่ายรูปจำนวนมาก
โดยนายพิธา กล่าวว่า เดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ตั้งใจมาช่วยหาเสียง เพื่อให้คนอุดรทราบว่าจะมีการเลือกตั้งนายกฯอบจ.อุดร โดยประเด็นหลักที่อยากสื่อสาร คือ การเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์กันเยอะๆ เพราะคนทราบว่าอุดรคือเมืองหลวงของประชาธิปไตย แต่การใช้สิทธิ์อาจจะน้อย เพราะพี่น้องชาวอุดรธานี ไปทำงานต่างประเทศเยอะ ที่ผ่านมาในการเลือกตั้งปี 66 การเลือกตั้ง อบจ. มีแค่ 50 ต้นๆหรือ 60 ต้นๆเท่านั้น ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตย ก็พยายามเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์เยอะๆ
ส่วนที่บ้างพรรคตีกินว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง นายพิธา กล่าวว่า ถ้าดูตัวเลขจากการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยมาอันดับ 1 300,000 แสนกว่าคะแนน พรรคก้าวไกลมาอันดับ 2 200,000 แสนกว่าบาท พรรคไทยสร้างไทยอันดับ 3 100,000 กว่าคะแนน ถ้า 2 กับ 3 รวมกัน ก็ชนะพรรคเพื่อไทย และที่ตนตอบคำถามเมื่อสักครู่ ก็ใช้คำว่าเมืองหลวงประชาธิปไตย ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง เพราะตัวเลขก็ฟ้องมาอย่างนั้น
ส่วนที่นายทักษิณ ปราศรัยเย้ยว่า นายพิธา กลัวแพ้จึงต้องบินกลับมาจากสหรัฐ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้มี 2 ประเด็น เรื่องกลัวแพ้ก็แพ้มาเยอะ ชนะมาก็แยะ อุดรเขต 1 ตอนปี 2562 ตอนเป็นอนาคตใหม่ก็แพ้ พอปี 2566 เป็นพรรคก้าวไกลก็ชนะ ผู้สมัครนายกอบจ.คนปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้นมีแต่เผด็จการเท่านั้นที่กลัวแพ้การเลือกตั้ง
"การเป็นนักการเมืองและการเป็นอดีตนักการเมือง ก็มีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา อย่างกรณีที่ตนกลับมาจากอเมริกาที่เคยแพ้ก็ชนะ ที่เคยชนะก็กลับมาแพ้ นี่คือความสวยงามของประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องแพ้ แพ้เยอะมาแล้ว แต่การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายผมก็ชนะ"
ส่วนที่มีการแซวว่าติดป้ายหาเสียง ผู้สมัครคู่ทั้งทิมทั้งเท้ง แสดงว่า คุณเท้งไม่หล่อเท่าคุณทิม นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่เช็คจากทีมงานของผู้สมัคร อัตราส่วนการติดป้ายของหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 น่าจะ 20 ต่อ 1 เพราะฉะนั้นเรื่องความประหยัด พรรคตนในตอนที่เป็นอดีตพรรคก้าวไกล และจนมาเป็นพรรคประชาชนไม่แพ้พรรคไหนแน่นอน และแคมเปญนี้เป็นแคมเปญลูกครึ่ง เพราะหาเสียงกับนายคณิศร ตั้งแต่ยังเป็นพรรคก้าวไกล จึงมีการทำป้าย แต่พอโดนยุบพรรคก็กลายเป็นของพรรคประชาชน กลายเป็นลูกครึ่งมีทั้งรูปคู่กับตนและรูปคู่กับเท้ง ก็แค่นั้น
ส่วนการลงพื้นที่ด้วยตัวเองของนายทักษิณ ทำให้มีความกังวลหรือไม่นั้น นายพิธากล่าวว่าไม่รู้สึกกังวล รู้สึกดี เพราะทำให้มีสีสัน ทำให้ประชาชนมีความสนใจ เพราะในการเลือกตั้งระดับชาติก็มีกติกาหนึ่ง มีเลือกตั้งล่วงหน้า มีเลือกตั้งข้ามเขต ประชาชนให้ความสนใจ แต่เมื่อเป็นการเลือกตั้ง สส.หรือ อบจ.
แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์จาก กกต.เท่าที่ควร ถ้ามีการแข่งขันของเบอร์ 1 เบอร์ 2 มีการลงพื้นที่กันเยอะ ประชันวิสัยทัศน์กันเยอะก็ทำให้ประชาชนสนใจ และหวังว่าการจะทำให้การใช้สิทธิ์ครั้งนี้สูงกว่า 56% เพราะครั้งที่แล้วก็เกินครึ่งมานิดเดียว
ส่วนมองว่าการที่นายใหญ่ของพรรคต้องลงมาเอง มีนัยต่อการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้หรือไม่ นายพิธากล่าวว่าก็เห็นสื่อมวลชนวิจารณ์กันไป แต่ตนไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าสัปดาห์นี้ และสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง แต่การที่สื่อวิเคราะห์หรือมีการสัมภาษณ์นักวิชาการ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ตนไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่การทำงานของพรรคประชาชน หรือพรรคก้าวไกล เวลามองการเลือกตั้ง เรามอง 2-3 การเลือกตั้งล่วงหน้า
ถ้าคิดแบบนั้นจะมีแต่ชนะ พัฒนา ไม่มีแพ้ เราแข่งกับตัวเองในครั้งที่แล้ว ตั้งแต่อนาคตใหม่ ก้าวไกล แน่นอนว่าในการเลือกตั้งต้องแข่งกับคู่แข่ง แต่ในการทำงานของพรรคเรา แข่งกับตัวเองในครั้งที่ผ่านมา ถ้าคิดแบบนี้ จะทำงานอย่างไม่กดดัน และทุกการเลือกตั้งเป็นโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลง การพัฒนาบุคคล และองค์กร หลายคนตอนเลือกตั้งอนาคตใหม่ วางแผนการเดินหาเสียงไม่เป็น ทุกวันนี้เก่งมาก ก็มีการพัฒนาในทุกการแข่งขัน ไม่ได้รู้สึกกดดันมากเป็นพิเศษ
ส่วนสนามเลือกตั้ง อบจ.เป็นโจทย์ยากหรือไม่เพราะต้องทลายกำแพงบ้านใหญ่ ที่เดิมเป็นสีแดงเกือบทั้งจังหวัด นายพิธากล่าวว่าเป็นโจทย์ยากที่บริหารได้ อย่างน้อยเราทราบว่าในการเลือกตั้ง ปี 2566 คนมาใช้สิทธิ์ 76% พอเลือกตั้ง อบจ.เหลือแค่ 60% เพราะข้ามเขตไม่ได้ เลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายในพื้นที่ให้จับต้องได้ มีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน พอตนกลับจากสหรัฐอเมริกา เห็นเรื่องการเลือกตั้งก็มองว่าน่าจะมีการเลือกตั้งด้วยจดหมายแบบ เมลล์อิน เหมือนเลือกตั้งสหรัฐฯจะได้ทำให้การเลือกตั้งง่ายขึ้น มีประสิทธืภาพมากขึ้น และตรงกับเจตจำนงค์ของประชาชนมากขึ้น ต้องแก้ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งระดับชาติแต่รวมถึงเลือกตั้งอื่นๆ น่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น
ส่วนหากพรรคประชาชนจะชนะ จะมาจากปัจจัยใดนั้น นายพิธา กล่าวว่า มาจากหลายเรื่องทั้งตัวผู้สมัครและคู่แข่งก็มีความสำคัญ รวมถึงนโยบายตรงใจประชาชนแค่ไหน แต่ตนยังยืนยันในความสำคัญของผู้มาใช้สิทธิ์ หากเกิน 70% ก็ทำให้เกิดความชอบธรรมและมีโอกาสชนะมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันถ้าใช้สิทธิ์น้อยก็น่าจะยาก
ส่วนที่นายทักษิณ ประกาศว่า สมัยหน้าจะคว้า เก้าอี้ สส. ไม่น้อยกว่า 200 ถือเป็นการข่มขวัญหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า ก็เหมือนตอนนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยพูดเรื่องแลนด์สไลด์ ก็แค่นั้น พอถึงเวลา ผลลัพธ์หลังเลือกตั้งประชาชนเป็นคนตัดสิน วางแผนได้ ทางตนก็มี เคยวางไว้ตอนเป็นอดีตก้าวไกล เชื่อว่านายณัฐพงษ์ ก็คงวางแผนของตัวเองเช่นกัน ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน
ในช่วงท้ายนายพิธา ยังอ้อนคนอุดร ขอคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร โดยระบุว่า "ฮักหลายๆ ไม่ว่าจะเป็นประเพณีไทยสำคัญขนาดไหน เช่นตอนสงกรานต์ ผมก็อยู่อุดร ลอยกระทงผมก็ยังอยู่ แสดงให้เห็นความผู้พันธ์ที่มีต่อพี่น้องชาวอุดร หวังว่าศุกร์เสาร์อาทิตย์นี้จะมีโอกาสมาพบปะกันให้หายคิดถึง"
อย่างไรก็ตาม เย็นวันนี้นายพิธา ได้ยกเลิกภารกิจลอยกระทงร่วมกับคนอุดร เปลี่ยนเป็นเดินพบประชาชนบริเวณถนนคนเดินแทน เนื่องจากกังวลว่า เกรงจะผิดกฎหมายเลือกตั้งใน เรื่องห้ามจัดมหรสพ
https://x.com/MorningNewsTV3/status/1857331078803144854
พิธาหวังนายกฯ เร่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้มาตรา 112 ป้องกันการกลั่นแกล้ง หลังทักษิณบอกตนเองเป็นเหยื่อ
https://thestandard.co/pita-pm-thaksin-112-victim/
วันนี้ (15 พฤศจิกายน) ที่จังหวัดอุดรธานี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวระหว่างลงพื้นที่ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ถึงกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยพาดพิงว่า ฝากไปบอกพรรคประชาชนก่อนที่จะคิดออกกฎหมายใหม่ ขอให้แก้กฎหมายเก่าที่เฮงซวยก่อน
พิธาระบุว่า ข้อเท็จจริงน่าจะผิดนิดหนึ่ง เพราะตอนที่เป็นพรรคก้าวไกล เราก็ทำเรื่องกิโยตินกฎหมาย ตอนที่เราขึ้นเวทีดีเบตกันจำได้ว่าพรรคเพื่อไทยก็พูดเรื่องกิโยตินกฎหมาย แต่พอกลับมาดู 83 ฉบับที่พรรคประชาชนพยายามเสนอ มีการร่างกฎหมายใหม่ก็เพื่อยกเลิกกฎหมายเก่า เช่น พระราชบัญญัติยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
“ผมก็คิดว่ารับคำท้าคุณทักษิณ เอาอย่างนี้ดีกว่า มีกฎหมายอะไรที่อยากจะยกเลิก ทั้งกฎหมายส่งออกข้าวที่คุณทักษิณพูดถึง รวมไปถึงอีก 3,000-4,000 ฉบับ ทั้งในระดับพระราชกำหนดหรือประกาศกระทรวงที่คิดว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัยแล้ว ยกเลิกได้เลย เนื่องจากตอนที่เป็น 312 เสียงพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ เมื่อไปประชุมพรรคเพื่อไทยก็พูดกันเรื่องนี้ ซึ่งมีความเห็นที่หลากหลายว่าจะไปในทางไหน ถ้าจะเอาแบบพรรคไหนก็เป็นประโยชน์กับประชาชนและ SME ทั้งนั้น”
พิธากล่าวต่อไปว่า กฎหมายที่มีอยู่มาก ส่วนใหญ่มีไว้ให้ใช้ดุลพินิจ เมื่อมีการใช้ดุลพินิจก็คอร์รัปชันได้มากขึ้น จึงขอรับคำท้าทักษิณมาช่วยกันยกเลิกกฎหมายเก่า ซึ่งบางเรื่องก็เป็นอำนาจของกระทรวง ทบวง กรม ยกเลิกได้ แต่บางอย่างก็ต้องเข้ารัฐสภา ก็ขอให้ทำด้วยกัน
ส่วนกรณีที่ทักษิณปราศรัยเรื่องการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 จนทำให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุว่าอาจทำให้คนเข้าใจผิดนั้น พิธามองว่าบริบทยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น แต่ในมุมมองส่วนตัวยังคิดว่าการแก้ไขในสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และยังเข้าใจจากคำพูดของทักษิณว่า ตัวเขาเองก็เป็นเหยื่อของมาตรา 112 เช่นเดียวกัน
พิธามองว่า หากมีคณะกรรมการเข้ามากลั่นกรองว่าจะฟ้องหรือไม่ให้ฟ้องจะเป็นประโยชน์ เพราะกฎหมายอยู่ที่การปฏิบัติ ก็ควรตั้งเลย เพราะผ่านมาปีกว่าแล้ว แม้จะไม่ได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของเราทั้งหมด แต่ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ซึ่งส่วนตัวเห็นด้วยหากจะเริ่มต้นที่ตรงนั้น
“ขอให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้กฎหมายมาตรา 112 ในการฟ้องประชาชน จะได้ไม่มีการฟ้องแกล้งกัน ขณะเดียวกัน หากทำแค่นี้แล้วยังมีปัญหาอยู่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องแก้ไขตามกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาต ซึ่งสามารถแก้ไขได้ เพื่อจะทำให้การเมืองของเราไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีกัน” พิธากล่าว
ส่วนกรณีที่ธนาธรกังวลว่า เมื่อทักษิณพูดถึงการรื้อโครงสร้าง ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเข้าใจอดีตพรรคก้าวไกลผิดไปนั้น พิธาระบุว่า ยังเชื่อมั่นว่าประชาชนจำนวนมากน่าจะแยกแยะได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี เพราะคำว่าเปลี่ยนโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทหารให้ทันสมัยมากขึ้น ให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหาร หรือการทลายทุนผูกขาด ก็ไม่ได้เห็นต่างกับทักษิณแต่อย่างใด
“เพียงแต่หมดเวลาพูดแล้ว ถึงเวลาทำ บางเรื่องฝ่ายค้านริเริ่มได้ รัฐบาลทำตาม บางเรื่องรัฐบาลก็ริเริ่ม ถ้าฝ่ายค้านเห็นว่าเป็นประโยชน์กับประชาชนก็ยินดีให้ความร่วมมือ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเท่าเทียมทางโอกาส หรือการมีคณะกรรมการป้องกันการฟ้องการแกล้งด้วยมาตรา 112 ทำได้เลย เห็นด้วย หรือการยกเลิกกิโยตินกฎหมายก็ทำได้เลยเหมือนกัน” พิธาระบุ
กมธ.ตากใบ ลั่น คดีไม่เงียบแน่นอน เผย อนุกมธ.ฯเคาะกรอบ 4 ข้อ เค้นต้นเหตุดำเนินคดีล่าช้า
https://www.matichon.co.th/politics/news_4900206
“กมลศักดิ์” ลั่นคดีตากใบไม่เงียบแน่นอน เผย อนุกมธ.ฯ เคาะกรอบศึกษา 4 ประเด็น เค้นข้อเท็จจริง-ต้นเหตุดำเนินคดีที่ล่าช้า-ไม่คืบ-จ่อเสนอแก้กฎหมาย