‘ไขมันพอกตับ’ และ 5วิธีเอาชนะ “เบาหวาน” และ 5 ผักสุดฮิตระวัง ‘นิ่วในไต’

‘ไขมันพอกตับ’ ภัยเงียบที่แฝงมาไม่รู้ตัว แนะ 4 วิธีป้องกันก่อนเป็นโรคร้าย

"หมอเจด" เตือน "ไขมันพอกตับ" ภัยเงียบแฝงมาแบบไม่รู้ตัว พร้อมแนะ 4 วิธีป้องกันก่อนกลายเป็นโรคร้าย

นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” ออกมาให้ความด้านสุขภาพ โดยระบุว่า “ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่แฝงมาไม่รู้ตัว” พร้อมอธิบายว่า..

หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ตับ ของเราสำคัญแค่ไหน ตับ คือ โรงงานใหญ่ของร่างกายที่ช่วยกรองสารพิษ ผลิตพลังงาน และเก็บสะสมสารอาหารสำคัญไว้ แต่บางครั้งเราก็ทำร้ายตับโดยไม่รู้ตัว เช่น กินอาหารมันๆ น้ำตาลเยอะ หรือดื่มแอลกอฮอล์มากไป ไขมันจะเริ่มสะสมในตับ และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของ “ไขมันพอกตับ” ที่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาในตอนแรก แต่จริงๆ แล้วมันคือโรคเงียบที่อันตรายกว่าที่คิด และที่สำคัญโรคนี้ไม่ใช่โรคไกลตัวเลย 1 ใน 4 ของคนไทยเป็นไขมันพอกตับ เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง

1.ไขมันพอกตับเริ่มต้นเงียบๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีอาจสายไปแล้ว
ไขมันพอกตับคืออะไร? มันก็คือ การที่ไขมันสะสมในตับมากเกินไปจนร่างกายเริ่มจัดการไม่ไหว ส่วนใหญ่เกิดจากการที่เรากินเกินความจำเป็น เช่น กินอาหารทอดๆ มันๆ หรืออาหารหวานจัด จนร่างกายเผาผลาญไม่หมด ไขมันเหล่านั้นก็เลยไปเกาะในตับ ตับของเราก็ทำงานไม่ได้ดี ปัญหาคือ ไขมันพอกตับระยะแรก แทบไม่มีอาการอะไรเลย คุณอาจจะรู้สึกแค่เหนื่อยง่าย หรือหนักๆ แน่นๆ บริเวณช่องท้องขวา แต่ไม่ชัดเจนพอจะรู้ว่าตับเริ่มมีปัญหาแล้ว หลายคนเลยปล่อยผ่านไปจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลัง

2.ไขมันสะสมในตับ อาจกลายเป็น “ตับอักเสบ”
ถ้าคุณคิดว่าไขมันพอกตับจะหยุดอยู่แค่การสะสมไขมันเฉยๆ บอกเลยว่าไม่ใช่นะ เพราะไขมันที่เกาะในตับนานเกินไปจะไปกระตุ้นการอักเสบในเซลล์ตับ หรือที่เรียกว่า “ตับอักเสบ” ซึ่งเป็นเหมือนการที่ร่างกายส่งสัญญาณว่า ตับกำลังมีปัญหา ในระหว่างที่ตับพยายามกำจัดไขมันออกไป เซลล์ตับกลับถูกทำลายจากการอักเสบนี้ไปด้วย ยิ่งถ้าเราไม่ปรับพฤติกรรม เช่น กินหวาน กินมันเหมือนเดิม หรือยังดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ การอักเสบจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คิดถึงไฟที่เริ่มไหม้ในบ้าน ถ้าคุณไม่ดับไฟตั้งแต่แรก มันก็จะลุกลามไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นไฟไหม้ทั้งหลัง ตับก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยให้ตับอักเสบไปเรื่อยๆ ตับของคุณก็พังได้

3.ตับแข็ง : เมื่อปัญหาไขมันพอกตับมาถึงจุดที่ย้อนกลับไม่ได้
ตับแข็งไม่ใชแค่เรื่องดื่มแอลกอฮอล์นะ หากการอักเสบในตับไม่ได้รับการดูแล เซลล์ตับที่เสียหายจะถูกแทนที่ด้วย เนื้อเยื่อพังผืด (Fibrosis) จนกลายเป็นภาวะที่เรียกว่า “ตับแข็ง” ตับแข็งคือตับที่ทำงานไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป พังผืดพวกนี้จะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและทำให้การทำงานของตับลดลง ในช่วงนี้ คุณอาจเริ่มเห็นอาการชัดเจน เช่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องบวม หรืออ่อนเพลียแบบหนักหน่วง ตับแข็งเป็นระยะที่ตับไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ เพราะมันเสียหายถาวรแล้ว

4.ไขมันพอกตับ : ความเสี่ยงที่อาจลุกลามไปถึง “มะเร็งตับ”
อย่างที่บอกไป เมื่อเรากินของมันๆ หรือหวานๆ มากเกินไป ไขมันที่ใช้ไม่หมดก็จะเริ่มไปสะสมในตับ ทีนี้ปัญหาไม่ได้หยุดแค่ไขมันเกาะ แต่ยังไปกระตุ้นให้ตับเกิดการอักเสบเรื้อรัง เพราะร่างกายพยายามกำจัดไขมันเหล่านี้ออก แต่แทนที่จะดีขึ้น การอักเสบกลับทำให้เซลล์ตับเสียหายไปเรื่อยๆ และร่างกายก็ต้องซ่อมแซมตัวเองโดยการสร้างพังผืด หรือเนื้อเยื่อแข็งๆ แทนที่เนื้อเยื่อตับที่ถูกทำลาย เมื่อเกิดพังผืดมากขึ้น ตับก็เริ่มแข็งตัวและทำงานได้แย่ลง และที่ร้ายแรงกว่านั้น เซลล์ตับที่ถูกทำลายบ่อยๆ มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ (Mutation) ในระดับ DNA และกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด อันนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เพราะหลายคนปล่อยให้ไขมันพอกตับอยู่นานจนพัฒนาเป็น “ตับอักเสบเรื้อรัง” และ “ตับแข็ง” ซึ่งเป็นบันไดสู่การเกิดมะเร็งตับโดยตรง

5.รีบป้องกันไขมันพอกตับ ก่อนเป็นไขมันพอกตับ

หลายคนอ่านแล้วก็อาจจะกลัวนะ แต่จริงๆ แล้วไขมันพอกตับมันป้องกันได้
เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ : ลดของทอด ของหวาน อาหารมันๆ แล้วหันมาทานผัก ธัญพืช และโปรตีนไขมันต่ำ
งดหรือเลิกแอลกอฮอล์ : เพราะเป็นตัวการที่ทำให้ตับทำงานหนักเกินไป
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย
เสริมโภชนาการช่วยตับ : เช่น โคลีนที่ช่วยลดการสะสมไขมันในตับ วิตามินอีที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ หรือขมิ้นชันที่ช่วยลดการอักเสบ
การป้องกันไขมันพอกตับไม่ใช่เรื่องยาก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในวันเดียว แค่เริ่มจากการปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างการกินอาหารดีและขยับร่างกายบ่อยขึ้น สุขภาพตับก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งสำคัญคือต้องทำต่อเนื่อง
ไขมันพอกตับไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเล็กน้อยอย่างที่หลายคนคิด มันเป็นภัยเงียบที่เริ่มต้นอย่างไม่มีอาการ แต่ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล คุณอาจต้องเจอกับตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับในอนาคต การดูแลตับไม่ใช่เรื่องยากเลย เริ่มต้นวันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง....

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4346455/



เผยเคล็ดลับ5วิธีเอาชนะ “เบาหวาน”แบบง่ายๆ ใครไม่ทำถือว่าพลาดมหันต์

นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” ได้โพสต์ข้อความแนะวิธีเอาชนะเบาหวานแบบง่ายๆ ดังนี้

เบาหวานเป็นโรคที่พบบ่อยมากขึ้นทุกปีนะครับ ในปีที่ 2566 ที่ผ่านมา มีคนไทยเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 3 แสนคน ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นเบาหวานไม่ตายหรอก ผมอยากให้ลองคิดใหม่นะ ถ้าเราเป็นเบาหวานและไม่ได้ดูแลตัวเอง ก็โอกาสจะเกิดเรื่องของแผลติดเชื้อ, เบาหวานขึ้นตา, โรคหลอดเลือสมอง, โรคหลอดเลือดหัวใจ และไตวายได้ พวกนี้จะทำให้เราพิการได้ รวมไปถึงติดเตียง และมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยอยากมาแชร์ วิธีการเอาชนะเบาหวานฉบับผมครับ

1.ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน
อันนี้หลายคนคงคิดว่า โห ทำไมหมอเอาเรื่องง่ายๆ มาบอก จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายนะ เมื่อก่อนผมติดกินกาแฟหวานๆ อย่างพวกคาราเมลมัคคิอาโต้ วิธีที่ผมใช้ก็คือหักดิบเลยนะ หิวน้ำหวานก็ต้องยกน้ำเปล่ามาจิบแทน หรือบางคน กินเป็นชาเขียว กาแฟ ไม่ใส่นมใส่น้ำตาลได้นะ ถ้าหักดิบได้ประมาณ 7 วัน อาการติดน้ำตาลก็จะดีขึ้น

2.เลือกกินคาร์โบไฮเดรตให้ดีๆ
ผมมักจะแนะนำให้กิบแบบ low carb และเลือกคาร์บ บางคนมาถามผมว่า หมอคะ หนูไม่ได้กินขนมหวานเลย ผมเลยถามต่อไปว่าแล้วปกติกินแบบไหน เขาก็ตอบว่า มื้อเที่ยงก็กินเป็นข้าว ขอแบบพิเศษข้าวด้วยนะ ส่วนตอนเย็นบะหมี่พิเศษเรียบร้อย น้ำตาลพุ่งแน่ เพราะคาร์โบไฮเดรต จะเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาล ก็จะกระตุ้นให้อินซูลินที่คอยจัดการกับน้ำตาลในเลือด ยิ่งอินซูลินทำงานหนัก มันก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะดื้อ และเป็นเบาหวานในที่สุด
ที่สำคัญคือ ควรเลือกทานเป็นคาร์โบเชิงซ้อน ไม่ว่าจะเป็นพวกข้าวกล้อง ธัญพืช พวกนี้จะดูดซึมได้ช้าทำให้น้ำตาลไม่พุ่ง

3.ทำ IF
อันนี้ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยทำให้ คุณหายจากเบาหวานได้ การทำ IF คือการที่อดอาหารเป็นช่วงๆ อย่างเช่น IF 16/8 ก็จะเป็นมีช่วงที่กินได้ 8 ชั่วโมง และมีช่วงที่อด 16 ชั่วโมง ช่วงที่เราอด อินซูลินที่คอยจัดการกับน้ำตาลในร่างกาย ก็จะแข็งแรงยิ่งขึ้น ทำให้เราไม่เสี่ยงต่อภาวะอินซูลิน และไม่เสี่ยงกับเบาหวานด้วย

4.ลำดับการกิน
เวลาที่เรามีอาหารอยู่ตรงหน้า สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำคือ ลองจัดลำดับการกินดูครับ เริ่มจาก ผัก ก่อน ตามด้วยโปรตีน ปิดท้ายด้วยคาร์โบไฮเดรต
เชื่อมั้ยครับว่าแค่ลำดับการกินก็ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด การกินแบบที่ผมบอก ช่วยทำให้อิ่มนานขึ้น อินซูลินจะทำงานแบบคงที่ เป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง ทำให้เรารู้สึกอิ่ม และหายจากเบาหวาน รวมถึงช่วยเรื่องลดน้ำหนักด้วย

5.ออกกำลังกาย
อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดนะ
รวมถึงทำให้อินซูลินแข็งแรงมากยิ่งขึ้น แนะนำให้ออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง จะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ และสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
อันนี้ก็เป็น 5 วิธีหลักๆ ที่ผมทำ ผมทำต่อเนื่องมาประมาณ 1 ปี สิ่งที่ได้คือเบาหวานผมหายแล้ว หลังจากนั้น น้ำตาลผมก็ไม่พุ่งสูงอีกด้วย ลองเอาไปปรับใช้ดูครับ สามารถทำตามได้ทั้งคนที่เป็นเบาหวานและคนที่ยังไม่เป็นเบาหวาน จะได้ห่างไกลจากอาการแทรกซ้อนที่ผมบอกข้างต้นครับ ใครมีเทคนิคอยากมาแชร์ หรือมีคำถามก็คอมเมนต์ได้เลยนะ... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4343000/



 5 ผักสุดฮิตที่เรารู้จักกันดี ต้องระวัง! ถ้ากินมากไป ระวัง "นิ่วในไต" ถามหา พร้อมแนะวิธีลดความเสี่ยง

นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” ออกมาให้ความด้านสุขภาพ โดยระบุถึง 5 ผักสุดฮิต ต้องระวังถ้ากินมากไป ระวังนิ่วในไตถามหา พร้อมอธิบายว่า..
ผักมีประโยชน์กับสุขภาพ กับร่างกาย แต่ก็มีผักบางชนิดที่มีสารออกซาเลตสูง ถ้ากินเยอะไปออกซาเลตจะไปรวมตัวกับแคลเซียมในร่างกาย กลายเป็นก้อนนิ่ว เชื่อว่าใครไม่เคยเป็นนิ่ว ก็คงไม่รู้ว่าทรมานขนาดไหน มาดูกันว่า 5 ผักสุดฮิตที่ต้องระวังมีอะไรบ้าง

1.ผักโขม : ราชาแห่งออกซาเลต โดยมีออกซาเลต900-1,000 มก. /100กรัม กินเยอะไปนิ่วถามหาแน่นอน
2.ผักคะน้า : ออกซาเลตก็สูงไม่แพ้กัน โดยมีออกซาเลต 400-500 มก. / 100 กรัม เพราะฉะนั้นกินแต่พอดี
3.ชะอม : ออกซาเลตสูงนะ ประมาณ 600-700 มก./100 กรัม ใครชอบกินเยอะ ๆ ระวังนิ่วมาเยือน
4.ผักกระเฉด : ออกซาเลตไม่น้อยหน้า มีออกซาเลต 200-300 มก. /100 กรัม ต้องระวังไว้บ้างนะ
5.ผักสะเดา : ออกซาเลตสูงไม่เบา อยู่ทึ่ประมาณ 800-900 มก./100กรัม กินพอหอมปากหอมคอ 

โดยถ้าเราบริโภคออกซาเลตมากกว่า 40-50 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตประเภทแคลเซียมออกซาเลตได้ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีนี้
ดื่มน้ำเยอะ ๆ : น้ำเปล่าจะช่วยขับออกซาเลตออกจากร่างกาย
กินผักออกซาเลตสูงแต่พอดี : ไม่มีอะไรที่มากไปแล้วดีหรอกครับ สลับกินผักอื่น ๆ บ้างก็ได้นะ
ปรุงผักให้สุก : การปรุงไม่ว่าจะเป็น ต้ม ผัด แกง ทอด ช่วยลดออกซาเลตได้นิดหน่อย
กินอาหารที่มีแคลเซียม : แคลเซียมจะช่วยจับออกซาเลต เพื่อไม่ใหัมีอะไรส่งผมกับร่างกาย
อย่ากินผักออกซาเลตสูงคู่กับอาหารออกซาเลตสูงอื่นๆ : ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ก็มีออกซาเลตสูงนะ ยิ่งเสี่ยงเข้าไปกันใหญ่
ทั้งนี้ “หมอเจด” ได้ฝากเข้อคิดทิ้งท้ายด้วยว่า 5 ผักที่กินมากไปก็เสี่ยงเกิดนิ่ว เพราะฉะนั้นระวังกันด้วยนะครับ เราควรกินกินแต่พอดีเหมาะดีสุด และต้องกินแบบหลากหลาย ไม่งั้นจะอันตรายเอานะ.... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4342357/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่