หนุ่มสายปาร์ตี้เศร้า! ดื่มหนักจนแพทย์วินิจฉัยเป็น ‘ไขมันพอกตับ’ ชี้ยังไม่มียารักษาโดยตรง
กลายเป็นอุทาหรณ์สำหรับหนุ่มสายปาร์ตี้ที่ดื่มหนักเป็นประจำ เมื่อล่าสุดชายวัย 30 ปีต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบทางสุขภาพ หลังแพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็น ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) ซึ่งเป็นภาวะที่ไขมันสะสมในเซลล์ตับจนเกินปกติ แพทย์เผยปัญหาใหญ่ ไม่มีวิธีรักษาโดยตรง แพทย์ผู้ดูแลระบุว่า
ภาวะไขมันพอกตับยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะเจาะจงหรือยาที่ออกแบบมาโดยตรงสำหรับโรคนี้ แต่สามารถบรรเทาและควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มหนัก = เสี่ยงไขมันพอกตับ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ไขมันพอกตับประเภทที่เรียกว่า Alcoholic Fatty Liver Disease ซึ่งหากปล่อยให้รุนแรงขึ้นอาจนำไปสู่ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือแม้แต่มะเร็งตับ
อาการที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาจรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดบริเวณชายโครงขวา หรือเกิดอาการท้องอืด หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงของตับ
ไขมันพอกตับ: โรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรม
ไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่ไขมันสะสมอยู่ในตับมากเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุไม่เฉพาะแค่การดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แม้ว่าโรคนี้มักถูกมองว่าเป็นโรคที่ห่างไกลตัว แต่จริงๆ แล้วมันใกล้ตัวกว่าที่คิด โดยมีทั้งประเภทที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease หรือ AFLD) และประเภทที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease หรือ NAFLD)
ซึ่งมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง หรือการมีภาวะอ้วนร่วมด้วย
สาเหตุของไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้ตับต้องทำลายแอลกอฮอล์และเกิดสารพิษที่ทำร้ายเซลล์ตับโดยตรง รวมถึงทำให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการสะสมไขมันในตับ
ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ พบได้จากภาวะผิดปกติของการเผาผลาญในร่างกาย เช่น ภาวะดื้ออินซูลิน ความอ้วน และโรคเบาหวาน ซึ่งทำให้ไขมันสะสมในตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หากปล่อยให้โรคนี้ดำเนินไปโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นตับแข็งหรือตับอักเสบเรื้อรังที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับในอนาคต
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไขมันพอกตับในประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (NAFLD) ได้แก่
ผู้ที่มี น้ำหนักตัวเกิน (BMI เกิน 25 หรืออ้วนมาก BMI เกิน 30)
ผู้ที่มี รอบเอวเกิน โดยเฉพาะผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 90 ซม. และผู้หญิงที่เกิน 80 ซม.
ผู้ที่มี ผลเลือดผิดปกติ เช่น ไตรกลีเซอไรด์สูง น้ำตาลในเลือดสูง หรือมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome)
การตรวจไขมันพอกตับ ไขมันพอกตับมีหลายระยะ ได้แก่
ไขมันพอกตับ (Simple Fatty Liver): ไขมันสะสมในตับแต่ไม่มีการอักเสบ
ตับอักเสบจากไขมัน (Steatohepatitis): ตับเริ่มอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดพังผืด
พังผืดในตับ (Fibrosis): ตับเริ่มเสียหายและเกิดแผลเป็น
ตับแข็ง (Cirrhosis): ตับทำงานไม่ปกติและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
การตรวจเช็กเพื่อหาความผิดปกติของตับมีหลายวิธี
เช่น การเจาะเลือดเพื่อดูค่าเอนไซม์ตับ (ALT, AST) การทำอัลตราซาวด์ หรือการใช้เครื่อง FibroScan เพื่อตรวจความยืดหยุ่นของตับ การดูแลตับให้แข็งแรง
การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดความเสี่ยงของไขมันพอกตับได้ เช่น
ลดน้ำหนัก: เพียงแค่ลดน้ำหนักลง 5-10% ของน้ำหนักตัว ก็สามารถช่วยลดไขมันในตับได้
กินอาหารที่ดี: การเลือกอาหารประเภทผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และไขมันดีจากน้ำมันมะกอกหรือถั่ว
ออกกำลังกาย: ทำกิจกรรมทางกายที่ชอบ เช่น การเดินเร็ว วิ่ง หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์: แม้จะดื่มในปริมาณน้อยก็ยังสามารถทำให้ตับเสียหายได้
การใช้ยาและอาหารเสริม : ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาไขมันพอกตับโดยตรง
แต่การรับประทานอาหารเสริมบางชนิดสามารถช่วยได้ เช่น:
วิตามินอี (Vitamin E): การใช้วิตามินอีในปริมาณ 800 IU ต่อวันสามารถช่วยลดการอักเสบของเซลล์ตับ
โอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids): ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และปรับสมดุลไขมันในร่างกาย
โคลีน (Choline): ช่วยในการขจัดไขมันสะสมในตับ และสำคัญต่อการทำงานของตับ
Silymarin (จาก Milk Thistle): ช่วยต้านการอักเสบและปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหาย
บทเรียนจากชีวิตสายปาร์ตี้ หนุ่มผู้ประสบปัญหาเผยว่าเขารู้สึกเสียใจที่ไม่ดูแลตัวเองตั้งแต่แรก และวางแผนที่จะเลิกดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพตับ พร้อมแนะนำคนรุ่นใหม่ให้ใส่ใจสุขภาพก่อนสายเกินไป โรคไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงหากไม่ใส่ใจดูแล ดังนั้น
การดูแลตับเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีความสามารถในการฟื้นตัวได้ หากเราดูแลมันอย่างถูกวิธี โรคไขมันพอกตับสามารถป้องกันและรักษาได้ก่อนที่จะลุกลามไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น หากคุณรู้สึกมีอาการเหนื่อยง่ายหรือมีความเสี่ยงตามที่กล่าวไว้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว
หนุ่มสายปาร์ตี้เศร้า ! กินเหล้าเยอะเกินไป แพทย์วินิจฉัยเป็น 'ไขมันพอกตับ' ชี้ ยังไม่มียารักษาไขมันพอกตับโดยตรง
ภาวะไขมันพอกตับยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะเจาะจงหรือยาที่ออกแบบมาโดยตรงสำหรับโรคนี้ แต่สามารถบรรเทาและควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มหนัก = เสี่ยงไขมันพอกตับ
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ไขมันพอกตับประเภทที่เรียกว่า Alcoholic Fatty Liver Disease ซึ่งหากปล่อยให้รุนแรงขึ้นอาจนำไปสู่ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือแม้แต่มะเร็งตับ
อาการที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่เมื่อโรครุนแรงขึ้น อาจรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดบริเวณชายโครงขวา หรือเกิดอาการท้องอืด หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงของตับ
ไขมันพอกตับ: โรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับพฤติกรรม
ไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่ไขมันสะสมอยู่ในตับมากเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุไม่เฉพาะแค่การดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แม้ว่าโรคนี้มักถูกมองว่าเป็นโรคที่ห่างไกลตัว แต่จริงๆ แล้วมันใกล้ตัวกว่าที่คิด โดยมีทั้งประเภทที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease หรือ AFLD) และประเภทที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease หรือ NAFLD)
ซึ่งมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง หรือการมีภาวะอ้วนร่วมด้วย
สาเหตุของไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้ตับต้องทำลายแอลกอฮอล์และเกิดสารพิษที่ทำร้ายเซลล์ตับโดยตรง รวมถึงทำให้ระบบเผาผลาญไขมันในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการสะสมไขมันในตับ
ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ พบได้จากภาวะผิดปกติของการเผาผลาญในร่างกาย เช่น ภาวะดื้ออินซูลิน ความอ้วน และโรคเบาหวาน ซึ่งทำให้ไขมันสะสมในตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หากปล่อยให้โรคนี้ดำเนินไปโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นตับแข็งหรือตับอักเสบเรื้อรังที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับในอนาคต
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไขมันพอกตับในประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (NAFLD) ได้แก่
ผู้ที่มี น้ำหนักตัวเกิน (BMI เกิน 25 หรืออ้วนมาก BMI เกิน 30)
ผู้ที่มี รอบเอวเกิน โดยเฉพาะผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 90 ซม. และผู้หญิงที่เกิน 80 ซม.
ผู้ที่มี ผลเลือดผิดปกติ เช่น ไตรกลีเซอไรด์สูง น้ำตาลในเลือดสูง หรือมีภาวะเมตาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome)
การตรวจไขมันพอกตับ ไขมันพอกตับมีหลายระยะ ได้แก่
ไขมันพอกตับ (Simple Fatty Liver): ไขมันสะสมในตับแต่ไม่มีการอักเสบ
ตับอักเสบจากไขมัน (Steatohepatitis): ตับเริ่มอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดพังผืด
พังผืดในตับ (Fibrosis): ตับเริ่มเสียหายและเกิดแผลเป็น
ตับแข็ง (Cirrhosis): ตับทำงานไม่ปกติและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
การตรวจเช็กเพื่อหาความผิดปกติของตับมีหลายวิธี
เช่น การเจาะเลือดเพื่อดูค่าเอนไซม์ตับ (ALT, AST) การทำอัลตราซาวด์ หรือการใช้เครื่อง FibroScan เพื่อตรวจความยืดหยุ่นของตับ การดูแลตับให้แข็งแรง
การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดความเสี่ยงของไขมันพอกตับได้ เช่น
ลดน้ำหนัก: เพียงแค่ลดน้ำหนักลง 5-10% ของน้ำหนักตัว ก็สามารถช่วยลดไขมันในตับได้
กินอาหารที่ดี: การเลือกอาหารประเภทผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และไขมันดีจากน้ำมันมะกอกหรือถั่ว
ออกกำลังกาย: ทำกิจกรรมทางกายที่ชอบ เช่น การเดินเร็ว วิ่ง หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์: แม้จะดื่มในปริมาณน้อยก็ยังสามารถทำให้ตับเสียหายได้
การใช้ยาและอาหารเสริม : ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาไขมันพอกตับโดยตรง
แต่การรับประทานอาหารเสริมบางชนิดสามารถช่วยได้ เช่น:
วิตามินอี (Vitamin E): การใช้วิตามินอีในปริมาณ 800 IU ต่อวันสามารถช่วยลดการอักเสบของเซลล์ตับ
โอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids): ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และปรับสมดุลไขมันในร่างกาย
โคลีน (Choline): ช่วยในการขจัดไขมันสะสมในตับ และสำคัญต่อการทำงานของตับ
Silymarin (จาก Milk Thistle): ช่วยต้านการอักเสบและปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหาย
บทเรียนจากชีวิตสายปาร์ตี้ หนุ่มผู้ประสบปัญหาเผยว่าเขารู้สึกเสียใจที่ไม่ดูแลตัวเองตั้งแต่แรก และวางแผนที่จะเลิกดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพตับ พร้อมแนะนำคนรุ่นใหม่ให้ใส่ใจสุขภาพก่อนสายเกินไป โรคไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงหากไม่ใส่ใจดูแล ดังนั้น
การดูแลตับเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีความสามารถในการฟื้นตัวได้ หากเราดูแลมันอย่างถูกวิธี โรคไขมันพอกตับสามารถป้องกันและรักษาได้ก่อนที่จะลุกลามไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น หากคุณรู้สึกมีอาการเหนื่อยง่ายหรือมีความเสี่ยงตามที่กล่าวไว้ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว