ชัยวัฒน์แนะ โครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ รัฐบาลต้องวางแผนให้รอบคอบ ควรมีมาตรการจูงใจให้รักษาวินัยการเงิน
https://thestandard.co/thai-debt-relief-program-financial-guidance/
วานนี้ (13 ธันวาคม)
ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงโครงการ ‘
คุณสู้ เราช่วย’ ของรัฐบาล ที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs โดยระบุว่า เป็นมาตรการที่ค่อนข้างดี ส่วนตัวสนับสนุนและคาดหวังว่าจะได้เห็นการลดระดับหนี้ครัวเรือนจากโครงการนี้บ้าง โดยเฉพาะถ้าเทียบกับมาตรการแก้หนี้นอกระบบที่ออกมาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดการลดมูลหนี้ไปได้เพียง 1,203 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% จากยอดหนี้ที่ลูกหนี้มาลงทะเบียนไว้ แล้วก็เงียบหายจบไปแล้วนั้น
อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดการปฏิบัติจริงคงต้องติดตามว่าจะสามารถนำลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไข 1.9 ล้านราย จำนวน 2.1 ล้านบัญชี ยอดหนี้รวม 8.9 แสนล้านบาท มาเข้าร่วมโครงการได้มากน้อยเพียงใด เพราะหากไม่ได้มีการวางแผนกระบวนการต่างๆ ไว้อย่างรอบคอบ ย่อมเจอปัญหาในการปฏิบัติอย่างแน่นอน
ชัยวัฒน์ตั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่า การเข้าร่วมโครงการ ถ้าลูกหนี้จำเป็นต้องมีการทำสัญญาเพิ่มเติมกับธนาคาร จุดนี้จะเป็นคอขวดสำคัญหากจัดการไม่ดี หรือไม่มีการนำเทคโนโลยี เช่น การทำสัญญาแบบดิจิทัล (Digital Contract) และการลงนามดิจิทัล (Digital Signature) มาใช้ ทำให้ลูกหนี้ต้องเดินทางไปยังสาขาของธนาคารเพื่อเซ็นสัญญากระดาษ จะทำให้ความคืบหน้าของโครงการเป็นไปอย่างล่าช้า และบางกรณีอาจต้องพาผู้ค้ำประกันมาเซ็นสัญญาด้วย
“
สมมติวางแผนว่าจะใช้เวลา 3 เดือนในการนำลูกหนี้ 1.9 ล้านรายเข้าโครงการ ก็จำเป็นต้องทำสัญญากับลูกหนี้ให้ได้วันละไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 คนต่อวัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลูกหนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนทำงาน จะเจียดเวลาไปเข้าคิวรอทำสัญญาที่สาขาครึ่งวันก็คงยาก และสาขาหนึ่งจะรองรับลูกค้าในส่วนนี้ได้วันละกี่คน จึงขอฝากให้รัฐบาลนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยจัดการ ไหนๆ ก็หาเสียงว่าจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแล้วก็ขอให้ทำจริง ไม่ใช่คิดใหญ่แต่ทำไม่เป็น”
ชัยวัฒน์กล่าว
ส่วนมุมมองเรื่อง Moral Hazard ตามที่รัฐบาล
แพทองธาร ชินวัตร ได้แถลงนโยบายไว้เมื่อ 3 เดือนก่อน เน้นย้ำในนโยบายแรกว่ารัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยที่จะไม่ทำให้เกิดภาวะ Moral Hazard ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่
ชัยวัฒน์ชี้ว่า แม้จะมีการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติลูกหนี้ว่าสัญญาสินเชื่อทำขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 และสถานะ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 เป็นลูกหนี้ค้างชำระ 31-365 วัน หรือเคยได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการอื่นมาก่อน เพื่อป้องกันการเบี้ยวหนี้ในการให้ได้เข้าโครงการก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าโครงการลักษณะนี้ทำให้ลูกหนี้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้ได้รับประโยชน์ กล่าวคือยกเว้นภาระดอกเบี้ยในช่วง 3 ปี หรือปิดจบหนี้ให้เลยโดยจ่ายเพียงบางส่วน แต่ในขณะที่ลูกหนี้ซึ่งมีวินัยชำระค่างวดตามที่กำหนดได้ตรงเวลา กลับไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย
“
การช่วยเหลือลูกหนี้ที่จ่ายหนี้ไม่ไหวนั้นเป็นสิ่งสมควร แต่ต้องคำนึงถึงการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการรักษาวินัยทางการเงินด้วย เช่น ถ้าจ่ายหนี้ตรงเวลาสม่ำเสมอ จะได้รับรางวัลจูงใจเป็นการลดดอกเบี้ยเงินกู้ หรือเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากให้เล็กน้อยในช่วงโครงการ 3 ปี หรือการตอบแทนสร้างแรงจูงใจในลักษณะอื่นที่เป็นรูปธรรม ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเลย การลดความแตกต่างเชิงเปรียบเทียบนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีวินัยทางการเงินดีมาก่อนเกิด Moral Hazard ในอนาคต”
ชัยวัฒน์ทิ้งท้ายว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ในการยกระดับทักษะลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ เช่น ให้มีการฝึกอบรมพัฒนาทักษะและเพิ่มทักษะ (Reskill และ Upskill) ที่จำเป็นต่องานในอนาคต ก่อนที่จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยหรือปิดหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เหล่านี้พัฒนาศักยภาพและสามารถทำงานที่มีรายได้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน
เรียกร้องตรวจสอบบริษัทจำหน่ายซิม หลังชักชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน
https://prachatai.com/journal/2024/12/111697
กมธ.การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สผ. รับหนังสือจากประชาชนผู้เสียหาย เรียกร้องตรวจสอบบริษัทจำหน่ายซิม หลังชักชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน อ้างได้รับสิทธิ กสทช. เข้าธุรกิจข่ายแชร์ลูกโซ่ หรือไม่
เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2567 ว่านาย
นนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ รับหนังสือจากนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร เจ้าของเพจเคนโด้ช่วยด้วย พร้อมด้วยผู้เสียหาย เพื่อขอให้ กมธ.ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายที่ถูกบริษัทแห่งหนึ่งหลอกลงทุนจำหน่ายซิมการ์ดและตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ ในลักษณะธุรกิจเหมือนแชร์ลูกโซ่ มูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท
โดยบริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์เชิญชวนผู้เสียหายระดมทุนในลักษณะการจำหน่ายซิมและเครื่องเติมเงินที่รับการรับรองจาก กสทช. ซึ่งใบอนุญาตจาก กสทช. ห้ามนำไปประกอบธุรกิจลักษณะขายตรง แม้ กสทช.เคยมีหนังสือเตือนไปที่บริษัทว่าห้ามนำเรื่องของการอนุญาตในครั้งนี้ไปทำเป็นแชร์ลูกโซ่แล้ว แต่บริษัทดังกล่าวยังมีการชักชวนเชิญชวนจนไม่สามารถคืนเงินผู้เสียหายได้ จึงขอให้ กมธ.ตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายด้วย
ด้าน รองประธาน กมธ. กล่าวว่า กมธ.จะตรวจสอบข้อเท็จจริงบริษัทดังกล่าวว่ามีความผิดเข้าข่ายความผิดมาตรา 3 ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ หากมีความผิดตามมาตรา 3 เกี่ยวกับการหลอกลวงหรือฉ้อโกง ปปง.จะดำเนินการยึดทรัพย์ที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจนี้ต่อไป
เงินบาทกลับมาอ่อนค่าปลายสัปดาห์-หุ้นไทยร่วงลงท่ามกลางแรงขายต่างชาติ จับตาผลประชุมเฟด-กนง.
https://siamrath.co.th/n/587472
เงินบาทกลับมาอ่อนค่าปลายสัปดาห์-หุ้นไทยร่วงลงท่ามกลางแรงขายต่างชาติ จับตาผลประชุมเฟด-กนง.
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.67 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทรอบสัปดาห์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ 33.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะพลิกอ่อนค่ากลับมาช่วงปลายสัปดาห์ ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน เนื่องจากตลาดประเมินโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุม
FOMC เดือนธ.ค.นี้ อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคท่ามกลางการคาดการณ์ของตลาดว่า ทางการจีนอาจทยอยปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงในปี 2568 เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากมาตรการภาษีการค้าของนาย
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการร่วงลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้น โดยมีแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB และตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 16-20 ธ.ค. 2567 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.60-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (18 ธ.ค.) ผลการประชุม FOMC (17-18 ธ.ค.) และ Dot Plot ของเฟด ผลการประชุม BOJ (18-19 ธ.ค.) ผลการประชุม
BOE (19 ธ.ค.) การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการ (เบื้องต้น) ของสหรัฐฯ อังกฤษและยูโรโซน ตลอดจนรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยรอบสัปดาห์ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ตามแรงขายของต่างชาติ ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายทำกำไรของนักลงทุน เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาดประกอบกับมีวันหยุดในช่วงระหว่างสัปดาห์ อย่างไรก็ดี แม้จะมีประเด็นเกี่ยวกับนโยบายของภาครัฐที่จะผลักดันในปีหน้า แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะประคองให้ตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นได้ ทั้งนี้หุ้นกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นร่วงลงมากในสัปดาห์นี้ เนื่องจากเผชิญแรงขายทำกำไร ประกอบกับมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไทยอาจรับผลกระทบจากนโยบายของนาย
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่องในช่วงท้ายสัปดาห์สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางแรงขายเพื่อลดสถานะการลงทุนที่มีความเสี่ยงระหว่างรอติดตามทิศทางนโยบายการเงินของทั้งไทยและต่างประเทศจากการประชุมเฟดและกนง.ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า
สัปดาห์ที่ 16-20 ธ.ค. 2567 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,420 และ 1,400 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,445 และ 1,460 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (17-18 ธ.ค.) การประชุมกนง. (18 ธ.ค.) การประชุม BOJ (18-19 ธ.ค.) ผลการประชุม BOE (19 ธ.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ ตลอดจนการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนธ.ค. และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน
#ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #เงินบาท #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์
JJNY : ชัยวัฒน์แนะ‘คุณสู้ เราช่วย’│ร้องตรวจสอบบริษัทจำหน่ายซิม│เงินบาทกลับมาอ่อนค่า│แบงก์ชาติเยอรมนีลดคาดการณ์เติบโต ศก.
https://thestandard.co/thai-debt-relief-program-financial-guidance/
วานนี้ (13 ธันวาคม) ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ของรัฐบาล ที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs โดยระบุว่า เป็นมาตรการที่ค่อนข้างดี ส่วนตัวสนับสนุนและคาดหวังว่าจะได้เห็นการลดระดับหนี้ครัวเรือนจากโครงการนี้บ้าง โดยเฉพาะถ้าเทียบกับมาตรการแก้หนี้นอกระบบที่ออกมาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดการลดมูลหนี้ไปได้เพียง 1,203 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% จากยอดหนี้ที่ลูกหนี้มาลงทะเบียนไว้ แล้วก็เงียบหายจบไปแล้วนั้น
อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดการปฏิบัติจริงคงต้องติดตามว่าจะสามารถนำลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไข 1.9 ล้านราย จำนวน 2.1 ล้านบัญชี ยอดหนี้รวม 8.9 แสนล้านบาท มาเข้าร่วมโครงการได้มากน้อยเพียงใด เพราะหากไม่ได้มีการวางแผนกระบวนการต่างๆ ไว้อย่างรอบคอบ ย่อมเจอปัญหาในการปฏิบัติอย่างแน่นอน
ชัยวัฒน์ตั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลว่า การเข้าร่วมโครงการ ถ้าลูกหนี้จำเป็นต้องมีการทำสัญญาเพิ่มเติมกับธนาคาร จุดนี้จะเป็นคอขวดสำคัญหากจัดการไม่ดี หรือไม่มีการนำเทคโนโลยี เช่น การทำสัญญาแบบดิจิทัล (Digital Contract) และการลงนามดิจิทัล (Digital Signature) มาใช้ ทำให้ลูกหนี้ต้องเดินทางไปยังสาขาของธนาคารเพื่อเซ็นสัญญากระดาษ จะทำให้ความคืบหน้าของโครงการเป็นไปอย่างล่าช้า และบางกรณีอาจต้องพาผู้ค้ำประกันมาเซ็นสัญญาด้วย
“สมมติวางแผนว่าจะใช้เวลา 3 เดือนในการนำลูกหนี้ 1.9 ล้านรายเข้าโครงการ ก็จำเป็นต้องทำสัญญากับลูกหนี้ให้ได้วันละไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 คนต่อวัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลูกหนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนทำงาน จะเจียดเวลาไปเข้าคิวรอทำสัญญาที่สาขาครึ่งวันก็คงยาก และสาขาหนึ่งจะรองรับลูกค้าในส่วนนี้ได้วันละกี่คน จึงขอฝากให้รัฐบาลนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยจัดการ ไหนๆ ก็หาเสียงว่าจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแล้วก็ขอให้ทำจริง ไม่ใช่คิดใหญ่แต่ทำไม่เป็น” ชัยวัฒน์กล่าว
ส่วนมุมมองเรื่อง Moral Hazard ตามที่รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ได้แถลงนโยบายไว้เมื่อ 3 เดือนก่อน เน้นย้ำในนโยบายแรกว่ารัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยที่จะไม่ทำให้เกิดภาวะ Moral Hazard ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่
ชัยวัฒน์ชี้ว่า แม้จะมีการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติลูกหนี้ว่าสัญญาสินเชื่อทำขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 และสถานะ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 เป็นลูกหนี้ค้างชำระ 31-365 วัน หรือเคยได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตามมาตรการอื่นมาก่อน เพื่อป้องกันการเบี้ยวหนี้ในการให้ได้เข้าโครงการก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าโครงการลักษณะนี้ทำให้ลูกหนี้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้ได้รับประโยชน์ กล่าวคือยกเว้นภาระดอกเบี้ยในช่วง 3 ปี หรือปิดจบหนี้ให้เลยโดยจ่ายเพียงบางส่วน แต่ในขณะที่ลูกหนี้ซึ่งมีวินัยชำระค่างวดตามที่กำหนดได้ตรงเวลา กลับไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย
“การช่วยเหลือลูกหนี้ที่จ่ายหนี้ไม่ไหวนั้นเป็นสิ่งสมควร แต่ต้องคำนึงถึงการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการรักษาวินัยทางการเงินด้วย เช่น ถ้าจ่ายหนี้ตรงเวลาสม่ำเสมอ จะได้รับรางวัลจูงใจเป็นการลดดอกเบี้ยเงินกู้ หรือเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากให้เล็กน้อยในช่วงโครงการ 3 ปี หรือการตอบแทนสร้างแรงจูงใจในลักษณะอื่นที่เป็นรูปธรรม ย่อมดีกว่าไม่มีอะไรเลย การลดความแตกต่างเชิงเปรียบเทียบนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีวินัยทางการเงินดีมาก่อนเกิด Moral Hazard ในอนาคต”
ชัยวัฒน์ทิ้งท้ายว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ในการยกระดับทักษะลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการนี้ เช่น ให้มีการฝึกอบรมพัฒนาทักษะและเพิ่มทักษะ (Reskill และ Upskill) ที่จำเป็นต่องานในอนาคต ก่อนที่จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยหรือปิดหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เหล่านี้พัฒนาศักยภาพและสามารถทำงานที่มีรายได้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน
เรียกร้องตรวจสอบบริษัทจำหน่ายซิม หลังชักชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน
https://prachatai.com/journal/2024/12/111697
กมธ.การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สผ. รับหนังสือจากประชาชนผู้เสียหาย เรียกร้องตรวจสอบบริษัทจำหน่ายซิม หลังชักชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน อ้างได้รับสิทธิ กสทช. เข้าธุรกิจข่ายแชร์ลูกโซ่ หรือไม่
เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2567 ว่านายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ รับหนังสือจากนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร เจ้าของเพจเคนโด้ช่วยด้วย พร้อมด้วยผู้เสียหาย เพื่อขอให้ กมธ.ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายที่ถูกบริษัทแห่งหนึ่งหลอกลงทุนจำหน่ายซิมการ์ดและตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ ในลักษณะธุรกิจเหมือนแชร์ลูกโซ่ มูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท
โดยบริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์เชิญชวนผู้เสียหายระดมทุนในลักษณะการจำหน่ายซิมและเครื่องเติมเงินที่รับการรับรองจาก กสทช. ซึ่งใบอนุญาตจาก กสทช. ห้ามนำไปประกอบธุรกิจลักษณะขายตรง แม้ กสทช.เคยมีหนังสือเตือนไปที่บริษัทว่าห้ามนำเรื่องของการอนุญาตในครั้งนี้ไปทำเป็นแชร์ลูกโซ่แล้ว แต่บริษัทดังกล่าวยังมีการชักชวนเชิญชวนจนไม่สามารถคืนเงินผู้เสียหายได้ จึงขอให้ กมธ.ตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายด้วย
ด้าน รองประธาน กมธ. กล่าวว่า กมธ.จะตรวจสอบข้อเท็จจริงบริษัทดังกล่าวว่ามีความผิดเข้าข่ายความผิดมาตรา 3 ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ หากมีความผิดตามมาตรา 3 เกี่ยวกับการหลอกลวงหรือฉ้อโกง ปปง.จะดำเนินการยึดทรัพย์ที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจนี้ต่อไป
เงินบาทกลับมาอ่อนค่าปลายสัปดาห์-หุ้นไทยร่วงลงท่ามกลางแรงขายต่างชาติ จับตาผลประชุมเฟด-กนง.
https://siamrath.co.th/n/587472
เงินบาทกลับมาอ่อนค่าปลายสัปดาห์-หุ้นไทยร่วงลงท่ามกลางแรงขายต่างชาติ จับตาผลประชุมเฟด-กนง.
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.67 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทรอบสัปดาห์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ 33.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะพลิกอ่อนค่ากลับมาช่วงปลายสัปดาห์ ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน เนื่องจากตลาดประเมินโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุม
FOMC เดือนธ.ค.นี้ อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคท่ามกลางการคาดการณ์ของตลาดว่า ทางการจีนอาจทยอยปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงในปี 2568 เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากมาตรการภาษีการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการร่วงลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้น โดยมีแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB และตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 16-20 ธ.ค. 2567 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.60-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (18 ธ.ค.) ผลการประชุม FOMC (17-18 ธ.ค.) และ Dot Plot ของเฟด ผลการประชุม BOJ (18-19 ธ.ค.) ผลการประชุม
BOE (19 ธ.ค.) การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก อัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการ (เบื้องต้น) ของสหรัฐฯ อังกฤษและยูโรโซน ตลอดจนรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยรอบสัปดาห์ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ตามแรงขายของต่างชาติ ทั้งนี้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายทำกำไรของนักลงทุน เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาดประกอบกับมีวันหยุดในช่วงระหว่างสัปดาห์ อย่างไรก็ดี แม้จะมีประเด็นเกี่ยวกับนโยบายของภาครัฐที่จะผลักดันในปีหน้า แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะประคองให้ตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นได้ ทั้งนี้หุ้นกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นร่วงลงมากในสัปดาห์นี้ เนื่องจากเผชิญแรงขายทำกำไร ประกอบกับมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไทยอาจรับผลกระทบจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่องในช่วงท้ายสัปดาห์สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางแรงขายเพื่อลดสถานะการลงทุนที่มีความเสี่ยงระหว่างรอติดตามทิศทางนโยบายการเงินของทั้งไทยและต่างประเทศจากการประชุมเฟดและกนง.ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า
สัปดาห์ที่ 16-20 ธ.ค. 2567 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,420 และ 1,400 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,445 และ 1,460 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (17-18 ธ.ค.) การประชุมกนง. (18 ธ.ค.) การประชุม BOJ (18-19 ธ.ค.) ผลการประชุม BOE (19 ธ.ค.) ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ ตลอดจนการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนธ.ค. และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน
#ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #เงินบาท #ข่าววันนี้ #ดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์