ถ้าหากพูดถึงผลไม้รสหวานฉ่ำ เมื่อรับประทานแล้วจะช่วยคลายร้อนและเพิ่มความสดชื่น หลายคนคงต้องนึกถึงแตงโมเป็นแน่ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรับประทานแบบสดกัน แต่แตงโมก็ยังสามารถทำเป็นน้ำผลไม้หรือเมนูอาหารอื่นได้ นอกจากนี้แตงโมยังมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการอีกด้วย
แตงโม (Watermelon) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrullus lanatus (Thunb.) Mats. & Nakai ถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ CUCURBITACEAE จัดเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับแคนตาลูป ฟักทอง แตงกวา
ประโยชน์ทางโภชนาการของการรับประทานแตงโม
แตงโมเป็นแหล่งวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ แถมยังประกอบด้วยน้ำ ประมาณ 91 เปอร์เซ็นต์ เมื่อรับประทานแล้วยังทำให้เราไม่ขาดน้ำอีกด้วย โดยแตงโมนั้นมีประโยชน์ทางโภชนาการดังนี้
1.ไลโคปีน (Lycopene) เป็นแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ชนิดหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอ และยังสร้างสีแดง สีส้มและสีเหลืองในผักและผลไม้ การรับประทานอาหารที่มีไลโคปีนเป็นประจำยังยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย
2.วิตามินเอ (Vitamin A) มีความสำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ช่วยในเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน การมองเห็น และการทำงานของอวัยวะสำคัญ ๆ
3.วิตามินซี (Vitamin C) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระนี้จำเป็นสำหรับสุขภาพผิวและการทำงานของภูมิคุ้มกัน
4.ซิทรูลีน (Citrulline) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่พบในแตงโมซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจ
5.โพแทสเซียมช่วยบำรุงระบบประสาทภายในร่างกายของเราช่วยลดการเกิดเหน็บชาและการเกิดตะคริว
6.วิตามินบี 5 เป็นส่วนประกอบในโมเลกุลของโคเอนไซม์เอซึ่งเกี่ยวข้องกับเมแทบอลิซึมของกรดไขมันจึงจำเป็นต่อสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด
7.เส้นใย (Fibers) จึงมีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ระบบลำไส้ และระบบขับถ่ายทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลข้างเคียงจากการรับประทานแตงโมมากเกินไป
การรับประทานแตงโมที่พอดีควรทานอยู่ในปริมาณ 1 ถ้วยต่อวันหรือในปริมาณ 154 กรัม ซึ่งคนที่รับประทานแตงโมอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็วเนื่องจากแตงโมมีดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index: GI) ประมาณ 72 และมีปริมาณน้ำตาลร้อยละ 2 ต่อน้ำหนัก 100 กรัม จึงควรเลือกรับประทานแตงโมควบคู่กับอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป และการรับประทานแตงโมอาจมีผลกระทบกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน อาจจะส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง และโรคภูมิแพ้ อาจจะส่งผลให้เป็นโรคลมพิษและระบบทางเดินหายใจมีปัญหาหรือหายใจลำบากได้ ดังนั้นเราควรรับประทานแตงโมให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย
ขอบคุณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์
ประโยชน์ของการรับประทาน"แตงโม"
แตงโม (Watermelon) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Citrullus lanatus (Thunb.) Mats. & Nakai ถูกจัดให้อยู่ในวงศ์ CUCURBITACEAE จัดเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับแคนตาลูป ฟักทอง แตงกวา
ประโยชน์ทางโภชนาการของการรับประทานแตงโม
แตงโมเป็นแหล่งวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ แถมยังประกอบด้วยน้ำ ประมาณ 91 เปอร์เซ็นต์ เมื่อรับประทานแล้วยังทำให้เราไม่ขาดน้ำอีกด้วย โดยแตงโมนั้นมีประโยชน์ทางโภชนาการดังนี้
1.ไลโคปีน (Lycopene) เป็นแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ชนิดหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอ และยังสร้างสีแดง สีส้มและสีเหลืองในผักและผลไม้ การรับประทานอาหารที่มีไลโคปีนเป็นประจำยังยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย
2.วิตามินเอ (Vitamin A) มีความสำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ช่วยในเรื่องระบบภูมิคุ้มกัน การมองเห็น และการทำงานของอวัยวะสำคัญ ๆ
3.วิตามินซี (Vitamin C) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระนี้จำเป็นสำหรับสุขภาพผิวและการทำงานของภูมิคุ้มกัน
4.ซิทรูลีน (Citrulline) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่พบในแตงโมซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจ
5.โพแทสเซียมช่วยบำรุงระบบประสาทภายในร่างกายของเราช่วยลดการเกิดเหน็บชาและการเกิดตะคริว
6.วิตามินบี 5 เป็นส่วนประกอบในโมเลกุลของโคเอนไซม์เอซึ่งเกี่ยวข้องกับเมแทบอลิซึมของกรดไขมันจึงจำเป็นต่อสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด
7.เส้นใย (Fibers) จึงมีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหาร ระบบลำไส้ และระบบขับถ่ายทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลข้างเคียงจากการรับประทานแตงโมมากเกินไป
การรับประทานแตงโมที่พอดีควรทานอยู่ในปริมาณ 1 ถ้วยต่อวันหรือในปริมาณ 154 กรัม ซึ่งคนที่รับประทานแตงโมอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็วเนื่องจากแตงโมมีดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index: GI) ประมาณ 72 และมีปริมาณน้ำตาลร้อยละ 2 ต่อน้ำหนัก 100 กรัม จึงควรเลือกรับประทานแตงโมควบคู่กับอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป และการรับประทานแตงโมอาจมีผลกระทบกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน อาจจะส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง และโรคภูมิแพ้ อาจจะส่งผลให้เป็นโรคลมพิษและระบบทางเดินหายใจมีปัญหาหรือหายใจลำบากได้ ดังนั้นเราควรรับประทานแตงโมให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย
ขอบคุณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์