Overview
1. ทริปนี้เริ่มจากนั่งเครื่องไปลง Milan เช่ารถแล้วขับไปพักที่เมือง Verona คืนนึง เที่ยว Verona ครึ่งวัน จากนั้นขับไปเที่ยว Dolomite ค่ะ อยู่แถว Dolomite จนเกือบจบ trip เลย วันสุดท้ายก่อนกลับมีแวะดูของที่ outlet นิดหน่อย จากนั้นก็กลับบ้านค่ะ
2. ส่วนเรื่อง visa เรามี schengen visa ฝรั่งเศสอยู่แล้วเลยไม่ต้องไปขอใหม่ ส่วนของแฟนเรามีของ Austria แต่หมดอายุพอดีค่ะ รอบนี้แฟนเราเลยต้องไปขอ visa ใหม่คนเดียวค่ะ
3. สำหรับการขอ Italy visa ต้องขอผ่าน vfs ค่ะ เข้าไปดูรายละเอียดและจองคิวผ่าน web ของ vfs ได้ค่ะ เอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นขอ visa ไม่แตกต่างกับประเทศอื่นเท่าไหร่ค่ะ
4. จะมีพิเศษก็ตรงที่ต้องเขียน motivation letter แนบไปด้วยว่าทำไมถึงอยากไปเที่ยว Italy พร้อมกับอธิบายแผนเที่ยวแบบย่อๆ ไปด้วยค่ะ อันนี้ไม่มีปัญหาสำหรับเราเพราะปกติเวลาเรายื่นขอเราเขียนจม.ทำนองนี้แนบไปด้วยทุกครั้งค่ะ
5. เอกสารราชการทุกอย่าง เช่น ทะเบียนบ้าน บปชช. ทะเบียนสมรส….. ต้องมีฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษแนบไปด้วย เข้าไป download ฟอร์มได้ที่ web ของกรมการกงศุล กระทรวงตปท.เลยค่ะ ไม่ต้องทำเอง
6. vfs Italy ย้ายไปอยู่ที่ All Season Place ชั้น 3 แล้วนะคะ ไม่ได้อยู่ที่จามจุรีแล้วค่ะ
7. การขอ visa รอบนี้แฟนเรา walk-in เข้าไปเลยค่ะ ไม่ได้จองคิว ใช้สิทธิ์ของบัตรเครดิตที่มี การยื่นเอกสารเลยสะดวกขึ้น รวดเร็วขึ้น แถมไม่ต้องใช้ statement หรือหลักฐานการทำงานค่ะ แต่แฟนเรายื่นไปด้วยค่ะ มีค่าบริการเพิ่มเติม 2,200 บาทค่ะ
8. แฟนเรามาถึงศูนย์ vfs ตั้งแต่เช้าค่ะ เป็นคิวที่ 2 ด้านในไม่อนุญาติให้นำ notebook หรือ iPad เข้าไปค่ะ มี locker ให้ใช้แต่เสียค่าบริการนิดหน่อย
9. หลังจากแสดงบัตรเครดิตที่จุดรับบัตรคิวจนท.จะพาเราไปยื่นเอกสารที่ Prenium Louge ในห้องมีขนม น้ำ ชา กาแฟ ให้กินระหว่างรอเรียก
10. พอถึงคิวจนท.ก็จะช่วยเราตรวจและจัดเรียงเอกสาร จากนั้นก็รอเรียกไปเก็บลายนิ้วมือค่ะ เท่านี้ก็กลับบ้านได้แล้ว
11. เนื่องจากเราใช้สิทธิของบัตรเครดิต ดังนั้นจนท.เลยของ xrox บัตรเครดิตแนบเอกสารที่ยื่นสถานฑูตด้วยค่ะ อย่าลืมขีดฆ่า cvv ให้เรียบร้อย แฟนเราบอกจนท.จัดการให้หมดเลย
12. หลังจากเก็บลายนิ้วมือเสร็จก็กลับบ้านได้ค่ะ ใช้เวลาประมาณครึ่งชม. แล้วแต่ว่าจะมีคิวก่อนหน้าเราเยอะหรือน้อยด้วยนะคะ
13. ก่อนกลับก็อย่าลืม stamp บัตรจอดรถ และอย่าลืมของใน locker นะคะ ค่าที่จอดที่ All Season ชม.ละ 50 บาท ถ้ามี stamp จอดฟรี 2 ชม.
14. สำหรับระยะเวลาการพิจารณา visa เท่าที่ถามจนท.จะอยู่ที่ 7 - 15 วันทำการค่ะ แต่เท่าที่อ่านใน web มาบางคน 5 วันก็ได้ passport คืนแล้วค่ะ
15. แฟนเรายื่นใบสมัครวันพฤ วันศุกร์มี sms ส่งมาว่าได้ส่งใบสมัครให้สถานฑูตแล้ว วันอังคารบ่ายมี sms ส่งมาแจ้งว่าได้รับ passport คืนจากสถานฑูตแล้วให้มารับที่ศูนย์ได้
16. หลังจากได้ sms แฟนเราก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนกันค่ะ ใจนึงก็ดีใจว่าได้เล่มคืนเร็ว อีกใจนึงก็รู้สึกว่ามันจะเร็วเกินไปป่าวหว่า….
17. ที่ vfs จะรับเล่มได้แค่ช่วงบ่ายนะคะ แฟนเราไปรับเล่มวันรุ่งขึ้น ได้ visa มา 3 ปี แบบ multi อยู่ได้ครั้งละ 90 วันค่ะ
18. ช่วงที่ไปเป็นช่วงปลายๆ ที่เขาว่ากันว่าจะมีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ แต่โอกาสที่เราจะได้เห็นน่าจะน้อยมากค่ะ แสงเหนือไม่น่าลงมาถึง italy ค่ะ
19. เรื่องที่ต้องระวังอีกเรื่องนึงคือเรื่องโดนล้วงกระเป๋าค่ะ italy ก็ขึ้นชื่อเรื่องนี้ไม่ใช่น้อยค่ะ ได้ข่าวว่ามีคนโดนตั้งแต่อยู่ในสนามบิน Milan เลยทีเดียว
20. ช่วงที่อยู่ในสนามบินหรือตัวเมืองคงต้องเที่ยวแบบระมัดระวังขีดสุดค่ะ อุปกรณ์ป้องกันทุกชิ้นที่มีขนไปใช้ให้หมด โดนล้วงไปทริปนี้คงเที่ยวไม่สนุกละ โดยเฉพาะ passport ค่ะ
21. หลังจาก confirm วันเที่ยว จองตั๋วเครื่องบิน จากนั้นก็เช่ารถ จองล่วงหน้านานหลายเดือนอยู่…. ระหว่างนั้นก็เข้าไปดูเรื่อยๆ ค่าเช่าก็ถูกลงเรื่อยๆ ค่ะ แถมบ.ยังส่ง mail promption ส่วนลดมาให้ยิ่งได้ราคาดีเข้าไปใหญ่ค่ะ
22. แต่ก่อนเดินทางไม่นานมี mail จากบ.เช่ารถส่งมาว่าไม่สามารถให้เราเช่ารถใน rate ที่เราจองไว้เพราะความผิดพลาดของระบบทำให้เราได้ rate นี้ พร้อมทั้งส่งส่วนลดใหม่มาให้ซึ่งน้อยกว่าเก่า
23. เราก็งงดิ ไม่รู้ mail จริงหรือมากจากมิจจี้ ถามกลับไปว่า booking ไหนก็เงียบ….. สุดท้ายเลยตัดสินใจย้ายไปเช่ากับอีกเจ้านึงค่ะ
24. มีซื้อตั๋ว cable car ที่ตั้งใจว่าจะขึ้นแน่ๆ ไว้ 2 ที่ นอกนั้นก็ไปดูเอาหน้างานเอาค่ะว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้น
25. อากาศที่ Dolomite ช่วงที่เราไปน่าจะอยู่ที่ 6 - 19 C แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ค่ะ หิมะตกนอกฤดูก็มีมาแล้ว ดังนั้นเราเลยเตรียมเสื้อหนาวไปเยอะหน่อยค่ะ กระเป๋าเดินทางแน่นเอี๊ยดดดดดด….. ปิดแทบไม่ลง
26. เตรียมตัวเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันได้เลยค่ะ
หมายเหตุ : กระทู้นี้เป็นยาววววววว.....ค่ะ post ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายเลยค่ะ
แชร์ประสบการณ์ : เที่ยว Dolomite Italy 2024
Overview
1. ทริปนี้เริ่มจากนั่งเครื่องไปลง Milan เช่ารถแล้วขับไปพักที่เมือง Verona คืนนึง เที่ยว Verona ครึ่งวัน จากนั้นขับไปเที่ยว Dolomite ค่ะ อยู่แถว Dolomite จนเกือบจบ trip เลย วันสุดท้ายก่อนกลับมีแวะดูของที่ outlet นิดหน่อย จากนั้นก็กลับบ้านค่ะ
2. ส่วนเรื่อง visa เรามี schengen visa ฝรั่งเศสอยู่แล้วเลยไม่ต้องไปขอใหม่ ส่วนของแฟนเรามีของ Austria แต่หมดอายุพอดีค่ะ รอบนี้แฟนเราเลยต้องไปขอ visa ใหม่คนเดียวค่ะ
3. สำหรับการขอ Italy visa ต้องขอผ่าน vfs ค่ะ เข้าไปดูรายละเอียดและจองคิวผ่าน web ของ vfs ได้ค่ะ เอกสารที่ใช้ประกอบการยื่นขอ visa ไม่แตกต่างกับประเทศอื่นเท่าไหร่ค่ะ
4. จะมีพิเศษก็ตรงที่ต้องเขียน motivation letter แนบไปด้วยว่าทำไมถึงอยากไปเที่ยว Italy พร้อมกับอธิบายแผนเที่ยวแบบย่อๆ ไปด้วยค่ะ อันนี้ไม่มีปัญหาสำหรับเราเพราะปกติเวลาเรายื่นขอเราเขียนจม.ทำนองนี้แนบไปด้วยทุกครั้งค่ะ
5. เอกสารราชการทุกอย่าง เช่น ทะเบียนบ้าน บปชช. ทะเบียนสมรส….. ต้องมีฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษแนบไปด้วย เข้าไป download ฟอร์มได้ที่ web ของกรมการกงศุล กระทรวงตปท.เลยค่ะ ไม่ต้องทำเอง
6. vfs Italy ย้ายไปอยู่ที่ All Season Place ชั้น 3 แล้วนะคะ ไม่ได้อยู่ที่จามจุรีแล้วค่ะ
7. การขอ visa รอบนี้แฟนเรา walk-in เข้าไปเลยค่ะ ไม่ได้จองคิว ใช้สิทธิ์ของบัตรเครดิตที่มี การยื่นเอกสารเลยสะดวกขึ้น รวดเร็วขึ้น แถมไม่ต้องใช้ statement หรือหลักฐานการทำงานค่ะ แต่แฟนเรายื่นไปด้วยค่ะ มีค่าบริการเพิ่มเติม 2,200 บาทค่ะ
8. แฟนเรามาถึงศูนย์ vfs ตั้งแต่เช้าค่ะ เป็นคิวที่ 2 ด้านในไม่อนุญาติให้นำ notebook หรือ iPad เข้าไปค่ะ มี locker ให้ใช้แต่เสียค่าบริการนิดหน่อย
9. หลังจากแสดงบัตรเครดิตที่จุดรับบัตรคิวจนท.จะพาเราไปยื่นเอกสารที่ Prenium Louge ในห้องมีขนม น้ำ ชา กาแฟ ให้กินระหว่างรอเรียก
10. พอถึงคิวจนท.ก็จะช่วยเราตรวจและจัดเรียงเอกสาร จากนั้นก็รอเรียกไปเก็บลายนิ้วมือค่ะ เท่านี้ก็กลับบ้านได้แล้ว
11. เนื่องจากเราใช้สิทธิของบัตรเครดิต ดังนั้นจนท.เลยของ xrox บัตรเครดิตแนบเอกสารที่ยื่นสถานฑูตด้วยค่ะ อย่าลืมขีดฆ่า cvv ให้เรียบร้อย แฟนเราบอกจนท.จัดการให้หมดเลย
12. หลังจากเก็บลายนิ้วมือเสร็จก็กลับบ้านได้ค่ะ ใช้เวลาประมาณครึ่งชม. แล้วแต่ว่าจะมีคิวก่อนหน้าเราเยอะหรือน้อยด้วยนะคะ
13. ก่อนกลับก็อย่าลืม stamp บัตรจอดรถ และอย่าลืมของใน locker นะคะ ค่าที่จอดที่ All Season ชม.ละ 50 บาท ถ้ามี stamp จอดฟรี 2 ชม.
14. สำหรับระยะเวลาการพิจารณา visa เท่าที่ถามจนท.จะอยู่ที่ 7 - 15 วันทำการค่ะ แต่เท่าที่อ่านใน web มาบางคน 5 วันก็ได้ passport คืนแล้วค่ะ
15. แฟนเรายื่นใบสมัครวันพฤ วันศุกร์มี sms ส่งมาว่าได้ส่งใบสมัครให้สถานฑูตแล้ว วันอังคารบ่ายมี sms ส่งมาแจ้งว่าได้รับ passport คืนจากสถานฑูตแล้วให้มารับที่ศูนย์ได้
16. หลังจากได้ sms แฟนเราก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ เหมือนกันค่ะ ใจนึงก็ดีใจว่าได้เล่มคืนเร็ว อีกใจนึงก็รู้สึกว่ามันจะเร็วเกินไปป่าวหว่า….
17. ที่ vfs จะรับเล่มได้แค่ช่วงบ่ายนะคะ แฟนเราไปรับเล่มวันรุ่งขึ้น ได้ visa มา 3 ปี แบบ multi อยู่ได้ครั้งละ 90 วันค่ะ
18. ช่วงที่ไปเป็นช่วงปลายๆ ที่เขาว่ากันว่าจะมีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ แต่โอกาสที่เราจะได้เห็นน่าจะน้อยมากค่ะ แสงเหนือไม่น่าลงมาถึง italy ค่ะ
19. เรื่องที่ต้องระวังอีกเรื่องนึงคือเรื่องโดนล้วงกระเป๋าค่ะ italy ก็ขึ้นชื่อเรื่องนี้ไม่ใช่น้อยค่ะ ได้ข่าวว่ามีคนโดนตั้งแต่อยู่ในสนามบิน Milan เลยทีเดียว
20. ช่วงที่อยู่ในสนามบินหรือตัวเมืองคงต้องเที่ยวแบบระมัดระวังขีดสุดค่ะ อุปกรณ์ป้องกันทุกชิ้นที่มีขนไปใช้ให้หมด โดนล้วงไปทริปนี้คงเที่ยวไม่สนุกละ โดยเฉพาะ passport ค่ะ
21. หลังจาก confirm วันเที่ยว จองตั๋วเครื่องบิน จากนั้นก็เช่ารถ จองล่วงหน้านานหลายเดือนอยู่…. ระหว่างนั้นก็เข้าไปดูเรื่อยๆ ค่าเช่าก็ถูกลงเรื่อยๆ ค่ะ แถมบ.ยังส่ง mail promption ส่วนลดมาให้ยิ่งได้ราคาดีเข้าไปใหญ่ค่ะ
22. แต่ก่อนเดินทางไม่นานมี mail จากบ.เช่ารถส่งมาว่าไม่สามารถให้เราเช่ารถใน rate ที่เราจองไว้เพราะความผิดพลาดของระบบทำให้เราได้ rate นี้ พร้อมทั้งส่งส่วนลดใหม่มาให้ซึ่งน้อยกว่าเก่า
23. เราก็งงดิ ไม่รู้ mail จริงหรือมากจากมิจจี้ ถามกลับไปว่า booking ไหนก็เงียบ….. สุดท้ายเลยตัดสินใจย้ายไปเช่ากับอีกเจ้านึงค่ะ
24. มีซื้อตั๋ว cable car ที่ตั้งใจว่าจะขึ้นแน่ๆ ไว้ 2 ที่ นอกนั้นก็ไปดูเอาหน้างานเอาค่ะว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้น
25. อากาศที่ Dolomite ช่วงที่เราไปน่าจะอยู่ที่ 6 - 19 C แต่ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ค่ะ หิมะตกนอกฤดูก็มีมาแล้ว ดังนั้นเราเลยเตรียมเสื้อหนาวไปเยอะหน่อยค่ะ กระเป๋าเดินทางแน่นเอี๊ยดดดดดด….. ปิดแทบไม่ลง
26. เตรียมตัวเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันได้เลยค่ะ
หมายเหตุ : กระทู้นี้เป็นยาววววววว.....ค่ะ post ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายเลยค่ะ