8ผลไม้ที่กินแล้ว “น้องสาว”หอม และ เปิดประโยชน์ 6 ข้อของการมีเซ็กซ์ และ 10ผักที่ไม่อร่อย “ดีต่อสุขภาพสุดๆ” รักษาสมอง

8 ผลไม้ที่กินแล้วทำให้ “น้องสาว”หอม หวาน อร่อย ปรับกลิ่น ให้สดชื่น สาวๆต้องชอบแน่นอน

ปัญหาในที่ลับของผู้หญิง มักส่งผลต่อความไม่มั่นใจ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่า โดยปกติแล้วอวัยวะแพทย์หญิงจะมีค่า pH ที่สมดุลอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีแบคทีเรียที่คอยดูแลปกป้องการติดเชื้อต่างๆ ในช่องคลอด อาหารที่เรากินเข้าไปทุกวันก็มีผลต่อค่า pH รวมทั้งส่งผลถึงกลิ่นและรสชาติของช่องคลอดด้วย ในขณะที่การรับประทานผลไม้รสหวาน จะทำให้กลิ่นและรสชาติของช่องคลอดหวานตามไปด้วย

ดังนั้นวันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้หาวิธีเพิ่มความมั่นใจของน้องสาว เพื่อเพิ่มความหอมสดชื่นมาฝากกัน นอกเหนือจากการทำความสะอาดแล้ว การเลือกกินผลไม้ก็ช่วยให้น้องสาวมีกลิ่นหอมได้ด้วย
มารู้จักกับ 8 ผลไม้อร่อยช่วยให้น้องสาวหอม ถูกใจคนมีคู่แน่นอน

8 ผลไม้ช่วยให้น้องสาวหอม
1.สับปะรด
สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์บรอเมเลน (Bromelain) สับปะรดมีสรรพคุณทางยาเป็นตัวช่วยในการย่อยอาหาร เพราะสับปะรดมีเอนไซม์ย่อยอาหารกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าโบรมีเลน ที่ทำหน้าที่ช่วยสลายโมเลกุลโปรตีน ทำให้การย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่มีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับตับอ่อน ทำให้ร่างกายผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารได้ไม่เพียงพอ ประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหารของสับปะรด จะเข้าไปเติมเต็มส่วนนี้ได้ และยังเป็นผลไม้ที่ช่วยให้กลิ่นของน้องสาวหอมหวานสดชื่นอีกด้วยค่ะ

2.สตรอเบอรี่ 
ผลไม้เปรี้ยวอมหวานมากคุณประโยชน์ อุดมไปด้วยสารอาหาร บำรุงหัวใจ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดน้ำหนัก เสริมการทำงานของสมอง ช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และป้องกันมะเร็ง ซึ่งเมื่อทานเข้าไปนอกจากจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและมั่นใจจากกลิ่นหอมหวานของสตรอเบอรี่ ที่ช่วยให้กลิ่นตัวและกลิ่นน้องสาวดีขึ้นอีกด้วย

3.มะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ลดปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ และยังมีประโยชน์ในการบำรุงผิวพรรณ โดยเฉพาะการช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและกระจ่างใส นอกจากนี้ มะละกอยังช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับร่างกาย เมื่อร่างกายมีสุขภาพดี กลิ่นของน้องสาวก็จะดีขึ้นตามไปด้วยค่ะ

4.แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับสมดุล pH ในร่างกาย ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทำให้ร่างกายสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า แอปเปิ้ลยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์ที่ช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร และทำให้รู้สึกอิ่มนาน เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

5.กีวี
กีวีเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง และไฟเบอร์ที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น การกินกีวีจะช่วยให้ร่างกายมีความสดชื่น และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายให้ดีขึ้น กลิ่นหอมของกีวีทำให้รู้สึกสดชื่นและช่วยในการปรับปรุงกลิ่นของน้องสาวให้หอมสดชื่นไปด้วย

6.กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามิน B6 และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มพลังงาน นอกจากนี้ กล้วยยังมีเส้นใยที่ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น และกลิ่นหอมหวานของกล้วย ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจของน้องสาวคุณได้อีกด้วย

7.แคนตาลูป
แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย เพราะมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและรู้สึกสดชื่นตลอด พร้อมไปด้วยกลิ่นหอมของแคนตาลูป ยังช่วยทำให้กลิ่นร่างกายและน้องสาวของคุณผู้หญิงดีขึ้น เหมาะสำหรับวันร้อน ๆ ที่ต้องการความสดชื่น

8.แตงโม
ผลไม้ที่ช่วยให้สาว ๆ รู้สึกสดชื่นในวันร้อนอย่างแตงโม! โดยมีน้ำมากถึง 92% จึงช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น และมีวิตามิน A, B6 และ C ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพ โดยการรับประทานแตงโมจะช่วยให้น้องสาวหอมสดชื่น และช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
ซึ่งนี่คือ 8 ผลไม้ที่กินแล้วช่วยให้ น้องสาวไม่มีกลิ่น  แถมช่วยปรับสมดุลค่า pH ในช่องคลอด และดีต่อผิวพรรณของผู้หญิงอีกด้วย... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4206519/



รู้ไหม? 6 ประโยชน์ของการมีเซ็กซ์ ช่วยสร้างประสิทธิภาพทางด้านสุขภาพ "ภูมิคุ้มกัน-ความดัน-บรรเทาความเครียด" แล้วรู้หรือไม่ อายุเท่าไหร่ควรมีเซ็กซ์เวลาไหน

หลายคนคงอาจตั้งคำถามที่ว่า ทำไมคนเราต้องมีเซ็กซ์? มีไปทำไม มีแล้วได้อะไร หมกหมุ่นหรือเปล่า
จริงๆ แล้วเซ็กซ์ คือ ปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งถ้าไม่มีเซ็กซ์ก็ไม่สามารถคงเผ่าพันธ์ของเราได้ การมีเซ็กส์นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคู่รักแล้ว การมีเซ็กซ์นี้มีประโยชน์มากกว่านั้นมาก ลองไปดูกันว่า ประโยชน์ของการมีเซ็กซ์น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน

เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
การมีเซ็กส์อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นให้ร่างกายป้องกันร่างกายจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อโรคต่างๆ โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Physiology & Behavior พ.ศ. 2558 ศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของค่าภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น อิมมูโนโกลบูลิน ตลอดรอบประจำเดือนในผู้หญิงที่มีสุขภาพดี พบว่า การเปลี่ยนแปลงของภูมิคุ้มกันในร่างกายตลอดรอบประจำเดือนนั้นสัมพันธ์กับการมีเซ็กส์อย่างมีนัยสำคัญ

ช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะปัสสาวะในผู้หญิง
การมีเซ็กส์อาจช่วยกระตุ้นการทำงานของกระเพาะปัสสาวะในผู้หญิง โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เมื่อถึงจุดสุดยอดจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ใกล้กระเพาะปัสสาวะเกิดการหดตัว จึงอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณที่ใกล้กระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะช่วงกระเพาะปัสสาวะให้ดีขึ้น

เทียบเท่ากับการออกกำลังกาย
การมีเซ็กส์อาจเทียบเท่ากับการออกกำลังกาย โดยการมีเซ็กส์ใช้พลังงานประมาณ 5 แคลอรี่/นาที ทั้งยังทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการสูบฉีดเลือดไปล่อเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ การมีเซ็กส์ยังมีการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่ากายอีกด้วย

ช่วยลดความดันโลหิตและลดความเสี่ยงหัวใจวาย
การมีเซ็กส์อาจช่วยลดระดับความดันโลหิตในร่างกาย นอกจากนี้ การมีเซ็กส์ยังอาจช่วยกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงรักษาระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนเพศชายให้สมดุล โดยผู้ชายที่มีเซ็กส์อย่างน้อย 2 ครั้ง/สัปดาห์ อาจมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับผู้ชายที่ไม่ค่อยมีเซ็กส์

ช่วยในเรื่องของการนอนหลับ
หลังถึงจุดสุดยอดแล้ว ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและง่วงนอน ทั้งยังvk0ช่วยให้คุณหลับสบายและเต็มอิ่มด้วย

ช่วยบรรเทาความเครียด
มีเซ็กส์ตอนเช้า อาจช่วยบรรเทาคลายความเครียดและลดความวิตกกังวลได้ นอกจากนั้น ระหว่างที่มีเซ็กส์ต้องมีการสัมผัส การกอด การจูบ ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ทำให้รู้สึกดี ช่วยในเรื่องของอารมณ์ในระหว่างวัน ทำให้มีความสุขและรู้สึกผ่อนคลายได้

ช่วงเวลาในการมีเซ็กส์
โดยปกติแล้ว การมีเซ็กส์ไม่ได้ถูกระบุถึงช่วงเวลาที่ควรหรือไม่ควร ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับความพร้อม โอกาสและความเหมาะสมของทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตาม ผู้ชายนั้นอาจจะอยากมีเซ็กส์ในช่วงเช้า เนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศชายอยู่ในระดับที่สมบูรณ์ตลอดช่วงเวลาที่นอนหลับ แต่ผู้หญิงอาจพอใจที่จะมีเซ็กส์ในช่วงเย็น เพื่อให้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการทำงาน

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากคลินิกเกี่ยวกับการนอนและประสาทวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ได้คำแนะนำช่วงเวลาที่อาจเหมาะสมสำหรับการมีเซ็กส์เอาไว้ ดังนี้
ช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ 15.00 น. เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ระดับความต้องการทางเพศของทั้งเพศชายและเพศหญิงอยู่ในระดับสูง
ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ประมาณ 08.20 น. เนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศทั้งของผู้ชายและของผู้หญิงอยู่ในระดับสูงทั้งคู่
ช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ช่วง 22.20 น. เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น อาจเข้านอนเร็วจึงอาจมีเซ็กส์ในช่วงเวลาหลัง 22.00 น. ซึ่งเป็นเวลาก่อนเข้านอน... 

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4206564/

10ผักที่ไม่อร่อยแต่แพทย์ชี้ “ดีต่อสุขภาพสุดๆ” รักษาสมอง

นพ.หลี่ ถังเยว่ ได้เผยชื่อ 10 ผักอาหารที่ไม่อร่อยแต่ดีต่อสุขภาพมาก” บนช่อง YouTube “First Day Medicine – Dr. Song Yanren x Cofit”
1. มะระ: อุดมไปด้วยวิตามินซีและไฟเบอร์ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แต่รสขมมาก
นักโภชนาการเกา มินมิน กล่าวว่า มะระมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยมีวิตามินซีในปริมาณมากจนได้รับฉายาว่า “ราชาของวิตามินซีในบรรดาผัก” ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และบำรุงผิวพรรณ ไฟเบอร์ในมะระช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ยังมีสารคิวเคอร์บิทาซิน ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความแก่และอ่อนล้า และช่วยในการย่อยอาหาร
2. กระเจี๊ยบเขียว: เป็นอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ช่วยบำรุงสุขภาพระบบทางเดินอาหาร แต่มีเนื้อสัมผัสเหนียวหนืด ซึ่งบางคนอาจไม่ชอบ
นักโภชนาการ หนี ม่านติง อธิบายว่า เมือกในกระเจี๊ยบเขียวมีเพคติน ซึ่งช่วยซ่อมแซมเยื่อบุลำไส้และมีประโยชน์ในการปกป้องระบบทางเดินอาหาร เธอแนะนำว่าเมื่อปรุงกระเจี๊ยบเขียว ควรหลีกเลี่ยงการหั่นเป็นชิ้นๆ และควรเก็บรักษา “รูปแบบดั้งเดิมของอาหาร” ไว้ เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารทั้งหมด
3. กุยช่าย: อุดมไปด้วยวิตามินเคและกรดโฟลิก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
นักโภชนาการ หลี่ หวานผิง กล่าวว่า กุยช่ายไม่เพียงแต่มีเบต้า-แคโรทีนและวิตามินบี 2 สูง แต่ยังช่วยขจัดความเย็นและทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต และทำให้ร่างกายอบอุ่น
4. ขึ้นฉ่าย: อุดมไปด้วยน้ำและเส้นใยอาหาร ซึ่งมีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก แม้รสชาติจะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ขึ้นฉ่ายมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ขึ้นชื่อว่า “ยาจากครัว” นักโภชนาการ หลิ่ว เจียอิน กล่าวว่า ขึ้นฉ่ายมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต และกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, เบต้าแคโรทีน แคลเซียม และโพแทสเซียม รวมถึงไฟเบอร์ที่ช่วยขับถ่าย
5. แครอท: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา แต่เด็กๆ มักไม่ชอบมัน
นักโภชนาการ ซู เจียชิง อธิบายว่า แครอทมีปริมาณน้ำสูงถึง 90% และอุดมไปด้วยวิตามิน B, C, เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม และโซเดียม ช่วยป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตาและปรับปรุงการมองเห็น เบต้าแคโรทีนยังช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟัน และป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย

6. พริกหวาน: อุดมไปด้วยวิตามิน C สูงมาก
นักโภชนาการ หลี่ ว่านผิง กล่าวว่า พริกหวานเป็นผักที่มีวิตามิน C สูงกว่าผลไม้บางชนิด เช่น ส้มและมะนาว เมื่อทำเป็นสลัดผักจะได้วิตามิน C เต็มเปี่ยม ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
7. ถั่วลันเตา: อุดมไปด้วยโปรตีนและไฟเบอร์ แต่มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างแห้ง
8. ผักเคล: มีวิตามิน K และอินโดลสูง แต่เนื้อค่อนข้างแข็ง และบางครั้งอาจมีรสขมเล็กน้อย
ผักเคลยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ที่ช่วยขับน้ำและเกลือส่วนเกินในร่างกาย จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดอาการบวม และปรับปรุงความดันโลหิตสูงสำหรับผู้ที่มีการทำงานของไตเป็นปกติ แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะไตวายเรื้อรังควรลวกก่อนรับประทานอาหาร
9. ผักชี: อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, K และสารต้านอนุมูลอิสระ บางคนชื่นชอบมาก แต่บางคนก็ไม่ชอบเลย
นักโภชนาการ ซง หมิงฮวา อธิบายว่า ผักชีมีวิตามิน C มากกว่ามะเขือเทศถึง 3 เท่า และยังสูงกว่าพีช ลูกแพร์ และแอปเปิ้ล วิตามิน C ที่พบในผักและผลไม้จะถูกทำลายเมื่อสัมผัสกับความร้อน แต่เนื่องจากผักชีมักจะถูกใส่เป็นส่วนท้าย หรือในสลัดผัก จึงช่วยรักษาวิตามิน C ไว้ได้ครบถ้วน
10. มะเขือม่วง: อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และวิตามิน B1, B6

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4206202
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่