ตอบทุกข้อสงสัยสำหรับคำถามสุดฮิต ใครบ้างที่ต้องยื่นและเสียภาษี ? พร้อมบอกวิธีคำนวณเงินได้, รายการลดหย่อนภาษี และ 8 ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ เตรียมตัวไว้สำหรับการเสียภาษีปีหน้า 2568
วนกลับมาในทุกปีสำหรับการเตรียมตัวยื่นภาษีของชาวมนุษย์เงินเดือน ประชาชาติธุรกิจ จึงรวบรวมข้อมูลมาให้เพื่อตอบทุกข้อสงสัย ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษี, เงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะเสียภาษี และสามารถยื่นภาษีออนไลน์อย่างไรบ้าง ?
ยื่น-เสียภาษี เมื่อไหร่ ?
คนไทยทุกคนที่มีรายได้เกินขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด มีหน้าที่ยื่นภาษีบุคคลธรรมดาเพื่อแสดงรายได้ตลอดทั้งปี โดยมีเงื่อนไขเป็นผู้ที่มีรายได้จากงานประจำอย่างเดียว และเป็นผู้มีฐานเงินเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องยื่นภาษี ซึ่งมีการกำหนดขอบเขตของรายได้ที่ต้องยื่นภาษีและต้องเสียภาษี ไว้ดังนี้
เงินเดือนไม่เกิน 26,583.33 บาท ต้องยื่นภาษี แต่ไม่ต้องเสียภาษี
เงินเดือนมากกว่า 26,583.33 บาท ต้องยื่นภาษี และต้องเสียภาษี
กรณีที่มีเงินเดือนไม่เกิน 25,833.33 บาท และไม่ได้จ่ายเงินสมทบประกันสังคม ต้องยื่นภาษีแต่ไม่ต้องเสียภาษี
กรณีที่มีเงินเดือนเกิน 25,833.33 บาท และจ่ายเงินสมทบประกันสังคม ต้องยื่นภาษีและเสียภาษี
ปกติการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะยื่นปีละครั้ง ภายในวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของปีถัดไป เช่น รายได้เกิดขึ้นในปี 2567 (ปีภาษี 2567) ต้องยื่นภาษีภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2568 และหากเป็นเงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น จะต้องยื่นภาษีตอนกลางปี ภายในเดือนกันยายนของทุกปี
วิธีคำนวณเงินได้สุทธิ
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า เราจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ? คำตอบคือ คำนวณจาก’เงินได้สุทธิ’ หรือจำนวนเงินที่เป็นรายได้ตลอดทั้งปี มาหักด้วยค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนต่าง ๆ ตามที่กฎหมายตามสูตร ดังนี้
เงินได้สุทธิตลอดทั้งปี = ค่าใช้จ่ายส่วนตัว-ค่าลดหย่อนส่วนตัว-ค่าลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคม = เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี
ตัวอย่าง เช่น : นายเอ รายได้ทั้งปี 500,000 บาท ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท, ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท, ลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคม 9,000 บาท
เงินได้สุทธิ : 500,000-100,000-60,000-9,000= 331,000 บาท
จากนั้นนำเงินได้สุทธิเทียบกับอัตราภาษีเงินได้ ตามขั้นบันได (อัตราภาษีก้าวหน้าตั้งแต่ 5-35%) แล้วนำเงินได้สุทธิ คูณกับอัตราภาษีแต่ละขั้น เพื่อหาว่าต้องจ่ายภาษีเท่าไร หมายความว่า ผู้ที่มีเงินเดือนไม่เกิน 26,583 บาท และไม่มีรายได้ส่วนอื่น ๆ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากเมื่อรวมรายได้ทั้งปีไม่เกิน 310,000 บาท
แต่หากรายได้เกินกว่านี้ จะเสียภาษีในอัตราภาษีเงินได้ดังนี้
เงินได้สุทธิ อัตราเสียภาษี
0 – 150,000 บาท ได้รับการยกเว้น
150,001 – 300,000 บาท 5%
300,001 – 500,000 บาท 10%
500,001 – 750,000 บาท 15%
750,001 – 1,000,000 บาท 20%
1,000,001 – 2,000,000 บาท 25%
2,000,001 – 5,000,000 บาท 30%
5,000,000 บาทขึ้นไป 35%
กรณีตัวอย่างที่นายเอจะอยู่ระหว่างฐาน 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% สูตรคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย คือ
ภาษีที่ต้องจ่าย = (เงินได้สุทธิ – เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า) x อัตราภาษี + ภาษีขั้นบันไดก่อนหน้าสูงสุด : (331,000 – 300,000) x 10% + 7,500 บาท = 10,600 บาท
ทั้งนี้ค่าภาษีตามฐานเงินเดือนตามข้างต้น คิดจากค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และเงินประกันสังคม 9,000 บาทเท่านั้น หากคุณมีสิทธิลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เพิ่มเติม ค่าภาษีที่ต้องจ่ายก็อาจจะลดลง รวมถึงโอกาสได้รับเงินคืนภาษีก็จะมากขึ้นอีก
รายการลดหย่อนภาษี
เพื่อให้มีโอกาสในการได้รับเงินคืนที่มากขึ้น การมีรายการใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีเงินได้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วเพิ่มเติมได้ โดยในปี 2567 นี้ กรมสรรพากรมีรายการลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ ดังนี้
ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท สำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน
ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรส 60,000 บาท โดยที่คู่สมรสต้องไม่มีรายได้
ค่าลดหย่อนสำหรับบุตร คนละ 30,000 บาท บุตรคนที่ 2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับฝากครรภ์ และค่าคลอดบุตร หักลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูพ่อแม่ คนละ 30,000 บาท โดยที่พ่อแม่ต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี และมีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ค่าลดหย่อนสำหรับดูแลผู้พิการ ทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท โดยที่ผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี และต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการ
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มการลงทุน
ค่าลดหย่อนสำหรับลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/สงเคราะห์ครู 15% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับกองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตบำนาญ 15% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท
ค่าลดหย่อนกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ไม่เกิน 30,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) 30% ของรายได้ ไม่เกิน 300,000 บาท โดยวงเงินลงทุนของ Thai ESG จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ
หมายเหตุ : SSF, RMF กองทุนสำรองรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อบวกกับ Thai ESG 300,000 บาท สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดรวมกัน 800,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ ไม่เกิน 25,000 บาท
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปและประกันสะสมทรัพย์ ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนประกันสังคม มาตรา 33 ไม่เกิน 9,000 บาท
ค่าลดหย่อนประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
หมายเหตุ : เบี้ยประกันสุขภาพ ประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ รวมกัน จะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ
ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2567 ไม่เกิน 50,000 บาท
ค่าลดหย่อนเที่ยวเมืองรอง 2567 ไม่เกิน 15,000 บาท
ค่าลดหย่อนค่าสร้างบ้านใหม่ 2567-2568 ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีเงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
ค่าลดหย่อนบริจาคทั่วไป ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
ค่าลดหย่อนการศึกษา กีฬา พัฒนาสังคม ประโยชน์สาธารณะและโรงพยาบาลของรัฐ 2 เท่าของเงินบริจาคจริงสูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
ค่าลดหย่อนพรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000 บาท
ขั้นตอนยื่นเอกสารเสียภาษี
หลังจากรวบรวมเอกสาร และเตรียมรายการลดหย่อนครบเรียบร้อย ก็ถึงขั้นตอนการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว และ ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้ที่มีรายได้อื่น ๆ นอกเหนือจากเงินเดือน โดยมีเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับยื่นภาษี ดังนี้
หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) โดยเป็นเอกสารที่แสดงถึงรายได้รวมทั้งปี หลังจากหักชำระกองทุน หรือเงินทุนสำรองต่าง ๆ
รายการลดหย่อนภาษีที่รวบรวมไว้ทั้งปี เช่น ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา ค่าเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น
เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีเพื่อประกอบการกรอกแบบฟอร์มยื่นภาษี เช่น จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน เบี้ยประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 1 : เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
เข้าเว็บไซต์กรมสรรพากร และเลือกยื่นแบบออนไลน์ สำหรับใครที่ยังไม่มีบัญชีให้สมัครสมาชิก แล้วระบบจะให้กรอกข้อมูลส่วนตัว อาทิ เลขบัตรประจำตัวประชาชน, วันเดือนปีเกิด, เลขหลังบัตรประชาชน, ที่อยู่ และอีเมล พร้อมสร้างรหัสผ่านเพื่อใช้ในการเข้าสู่ระบบ E-filing
ขั้นตอนที่ 2 : เข้าสู่ระบบ E-filing ของกรมสรรพากร
กรอกเลขบัตรประชาชนในช่องชื่อผู้ใช้งาน พร้อมกรอกรหัสผ่าน และกดตกลงจากนั้นยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP 6 หลัก ผ่านเบอร์โทรศัพท์มือถือ
ขั้นตอนที่ 3 : เลือกยื่นแบบภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 90/91
อ่านและยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขในการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร จากนั้นกดเข้าสู่ระบบและเลือกยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90/91
ขั้นตอนที่ 4 : กรอกข้อมูลผู้เสียภาษี
ตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษี ได้แก่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และสถานที่ติดต่อ จากนั้นเลือกสถานะ และกดถัดไป
ขั้นตอนที่ 5 : กรอกเงินได้
กรอกข้อมูลรายได้จากเงินเดือน โดยนำข้อมูลมาจากหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) พร้อมกรอกเลขผู้จ่ายเงินได้ (เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทที่ทำงาน)
และหากมีรายได้อื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน เช่น รายได้จากฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป และวิชาชีพอิสระ, รายได้จากทรัพย์สิน และการทำธุรกิจ, รายได้จากการลงทุน และรายได้จากมรดกหรือได้รับมา ให้กรอกข้อมูลลงไปด้วย
ทั้งนี้สำหรับคนที่เปลี่ยนที่ทำงานระหว่างปีให้ขอหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) กับที่ทำงานเก่าเพื่อนำมากรอกข้อมูลยื่นภาษีเงินได้
ขั้นตอนที่ 6 : กรอกค่าลดหย่อน
กรอกข้อมูลค่าลดหย่อนต่าง ๆ ที่มี เช่น ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา-มารดา ค่าลดหย่อนบุตร เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันสุขภาพ จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน SSF RMF กองทุน Thai ESG และเงินบริจาค เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 7 : ตรวจสอบข้อมูล
ตรวจสอบข้อมูลเงินได้และค่าลดหย่อนทั้งหมดที่ได้กรอกไป โดยระบบจะทำการคำนวณภาษีที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ซึ่งหากมีการชำระภาษีไปแล้วระบบจะแจ้งยอดที่ชำระเกิน โดยสามารถขอคืนภาษีที่ชำระเกินได้ รวมถึงนำเงินภาษีที่ชำระเกินไปอุดหนุนพรรคการเมืองได้
ขั้นตอนที่ 8: ยืนยันการยื่นแบบ
เมื่อตรวจสอบข้อมูลครบถ้วนแล้ว กดยืนยันการยื่นแบบ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1716981
ยื่นภาษีต้นปี 2568 ต้องมีรายได้เท่าไหร่-รายการลดหย่อนอะไรบ้าง ?
วนกลับมาในทุกปีสำหรับการเตรียมตัวยื่นภาษีของชาวมนุษย์เงินเดือน ประชาชาติธุรกิจ จึงรวบรวมข้อมูลมาให้เพื่อตอบทุกข้อสงสัย ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษี, เงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะเสียภาษี และสามารถยื่นภาษีออนไลน์อย่างไรบ้าง ?
ยื่น-เสียภาษี เมื่อไหร่ ?
คนไทยทุกคนที่มีรายได้เกินขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด มีหน้าที่ยื่นภาษีบุคคลธรรมดาเพื่อแสดงรายได้ตลอดทั้งปี โดยมีเงื่อนไขเป็นผู้ที่มีรายได้จากงานประจำอย่างเดียว และเป็นผู้มีฐานเงินเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ไม่ต้องยื่นภาษี ซึ่งมีการกำหนดขอบเขตของรายได้ที่ต้องยื่นภาษีและต้องเสียภาษี ไว้ดังนี้
เงินเดือนไม่เกิน 26,583.33 บาท ต้องยื่นภาษี แต่ไม่ต้องเสียภาษี
เงินเดือนมากกว่า 26,583.33 บาท ต้องยื่นภาษี และต้องเสียภาษี
กรณีที่มีเงินเดือนไม่เกิน 25,833.33 บาท และไม่ได้จ่ายเงินสมทบประกันสังคม ต้องยื่นภาษีแต่ไม่ต้องเสียภาษี
กรณีที่มีเงินเดือนเกิน 25,833.33 บาท และจ่ายเงินสมทบประกันสังคม ต้องยื่นภาษีและเสียภาษี
ปกติการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะยื่นปีละครั้ง ภายในวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของปีถัดไป เช่น รายได้เกิดขึ้นในปี 2567 (ปีภาษี 2567) ต้องยื่นภาษีภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2568 และหากเป็นเงินได้บางลักษณะ เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากวิชาชีพอิสระ เงินได้จากการรับเหมา เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ เป็นต้น จะต้องยื่นภาษีตอนกลางปี ภายในเดือนกันยายนของทุกปี
วิธีคำนวณเงินได้สุทธิ
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า เราจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ? คำตอบคือ คำนวณจาก’เงินได้สุทธิ’ หรือจำนวนเงินที่เป็นรายได้ตลอดทั้งปี มาหักด้วยค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนต่าง ๆ ตามที่กฎหมายตามสูตร ดังนี้
เงินได้สุทธิตลอดทั้งปี = ค่าใช้จ่ายส่วนตัว-ค่าลดหย่อนส่วนตัว-ค่าลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคม = เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี
ตัวอย่าง เช่น : นายเอ รายได้ทั้งปี 500,000 บาท ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท, ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท, ลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคม 9,000 บาท
เงินได้สุทธิ : 500,000-100,000-60,000-9,000= 331,000 บาท
จากนั้นนำเงินได้สุทธิเทียบกับอัตราภาษีเงินได้ ตามขั้นบันได (อัตราภาษีก้าวหน้าตั้งแต่ 5-35%) แล้วนำเงินได้สุทธิ คูณกับอัตราภาษีแต่ละขั้น เพื่อหาว่าต้องจ่ายภาษีเท่าไร หมายความว่า ผู้ที่มีเงินเดือนไม่เกิน 26,583 บาท และไม่มีรายได้ส่วนอื่น ๆ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากเมื่อรวมรายได้ทั้งปีไม่เกิน 310,000 บาท
แต่หากรายได้เกินกว่านี้ จะเสียภาษีในอัตราภาษีเงินได้ดังนี้
เงินได้สุทธิ อัตราเสียภาษี
0 – 150,000 บาท ได้รับการยกเว้น
150,001 – 300,000 บาท 5%
300,001 – 500,000 บาท 10%
500,001 – 750,000 บาท 15%
750,001 – 1,000,000 บาท 20%
1,000,001 – 2,000,000 บาท 25%
2,000,001 – 5,000,000 บาท 30%
5,000,000 บาทขึ้นไป 35%
กรณีตัวอย่างที่นายเอจะอยู่ระหว่างฐาน 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% สูตรคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย คือ
ภาษีที่ต้องจ่าย = (เงินได้สุทธิ – เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า) x อัตราภาษี + ภาษีขั้นบันไดก่อนหน้าสูงสุด : (331,000 – 300,000) x 10% + 7,500 บาท = 10,600 บาท
ทั้งนี้ค่าภาษีตามฐานเงินเดือนตามข้างต้น คิดจากค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และเงินประกันสังคม 9,000 บาทเท่านั้น หากคุณมีสิทธิลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เพิ่มเติม ค่าภาษีที่ต้องจ่ายก็อาจจะลดลง รวมถึงโอกาสได้รับเงินคืนภาษีก็จะมากขึ้นอีก
รายการลดหย่อนภาษี
เพื่อให้มีโอกาสในการได้รับเงินคืนที่มากขึ้น การมีรายการใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีเงินได้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วเพิ่มเติมได้ โดยในปี 2567 นี้ กรมสรรพากรมีรายการลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ ดังนี้
ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท สำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน
ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรส 60,000 บาท โดยที่คู่สมรสต้องไม่มีรายได้
ค่าลดหย่อนสำหรับบุตร คนละ 30,000 บาท บุตรคนที่ 2 ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับฝากครรภ์ และค่าคลอดบุตร หักลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกิน 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูพ่อแม่ คนละ 30,000 บาท โดยที่พ่อแม่ต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี และมีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ค่าลดหย่อนสำหรับดูแลผู้พิการ ทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท โดยที่ผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี และต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการ
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มการลงทุน
ค่าลดหย่อนสำหรับลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/สงเคราะห์ครู 15% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับกองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) 30% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตบำนาญ 15% ของเงินได้ ไม่เกิน 200,000 บาท
ค่าลดหย่อนกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ไม่เกิน 30,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) 30% ของรายได้ ไม่เกิน 300,000 บาท โดยวงเงินลงทุนของ Thai ESG จะไม่ถูกนับรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ
หมายเหตุ : SSF, RMF กองทุนสำรองรองเลี้ยงชีพ, กบข., ประกันบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อบวกกับ Thai ESG 300,000 บาท สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดรวมกัน 800,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ ไม่เกิน 25,000 บาท
ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปและประกันสะสมทรัพย์ ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนประกันสังคม มาตรา 33 ไม่เกิน 9,000 บาท
ค่าลดหย่อนประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
หมายเหตุ : เบี้ยประกันสุขภาพ ประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ รวมกัน จะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ
ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2567 ไม่เกิน 50,000 บาท
ค่าลดหย่อนเที่ยวเมืองรอง 2567 ไม่เกิน 15,000 บาท
ค่าลดหย่อนค่าสร้างบ้านใหม่ 2567-2568 ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีเงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
ค่าลดหย่อนบริจาคทั่วไป ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
ค่าลดหย่อนการศึกษา กีฬา พัฒนาสังคม ประโยชน์สาธารณะและโรงพยาบาลของรัฐ 2 เท่าของเงินบริจาคจริงสูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
ค่าลดหย่อนพรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000 บาท
ขั้นตอนยื่นเอกสารเสียภาษี
หลังจากรวบรวมเอกสาร และเตรียมรายการลดหย่อนครบเรียบร้อย ก็ถึงขั้นตอนการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ภ.ง.ด. 91 สำหรับผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว และ ภ.ง.ด. 90 สำหรับผู้ที่มีรายได้อื่น ๆ นอกเหนือจากเงินเดือน โดยมีเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับยื่นภาษี ดังนี้
หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) โดยเป็นเอกสารที่แสดงถึงรายได้รวมทั้งปี หลังจากหักชำระกองทุน หรือเงินทุนสำรองต่าง ๆ
รายการลดหย่อนภาษีที่รวบรวมไว้ทั้งปี เช่น ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา ค่าเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น
เอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีเพื่อประกอบการกรอกแบบฟอร์มยื่นภาษี เช่น จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน เบี้ยประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการ เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 1 : เข้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
เข้าเว็บไซต์กรมสรรพากร และเลือกยื่นแบบออนไลน์ สำหรับใครที่ยังไม่มีบัญชีให้สมัครสมาชิก แล้วระบบจะให้กรอกข้อมูลส่วนตัว อาทิ เลขบัตรประจำตัวประชาชน, วันเดือนปีเกิด, เลขหลังบัตรประชาชน, ที่อยู่ และอีเมล พร้อมสร้างรหัสผ่านเพื่อใช้ในการเข้าสู่ระบบ E-filing
ขั้นตอนที่ 2 : เข้าสู่ระบบ E-filing ของกรมสรรพากร
กรอกเลขบัตรประชาชนในช่องชื่อผู้ใช้งาน พร้อมกรอกรหัสผ่าน และกดตกลงจากนั้นยืนยันตัวตนด้วยรหัส OTP 6 หลัก ผ่านเบอร์โทรศัพท์มือถือ
ขั้นตอนที่ 3 : เลือกยื่นแบบภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 90/91
อ่านและยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขในการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร จากนั้นกดเข้าสู่ระบบและเลือกยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90/91
ขั้นตอนที่ 4 : กรอกข้อมูลผู้เสียภาษี
ตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษี ได้แก่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด และสถานที่ติดต่อ จากนั้นเลือกสถานะ และกดถัดไป
ขั้นตอนที่ 5 : กรอกเงินได้
กรอกข้อมูลรายได้จากเงินเดือน โดยนำข้อมูลมาจากหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) พร้อมกรอกเลขผู้จ่ายเงินได้ (เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทที่ทำงาน)
และหากมีรายได้อื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน เช่น รายได้จากฟรีแลนซ์ รับจ้างทั่วไป และวิชาชีพอิสระ, รายได้จากทรัพย์สิน และการทำธุรกิจ, รายได้จากการลงทุน และรายได้จากมรดกหรือได้รับมา ให้กรอกข้อมูลลงไปด้วย
ทั้งนี้สำหรับคนที่เปลี่ยนที่ทำงานระหว่างปีให้ขอหนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) กับที่ทำงานเก่าเพื่อนำมากรอกข้อมูลยื่นภาษีเงินได้
ขั้นตอนที่ 6 : กรอกค่าลดหย่อน
กรอกข้อมูลค่าลดหย่อนต่าง ๆ ที่มี เช่น ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา-มารดา ค่าลดหย่อนบุตร เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันสุขภาพ จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน SSF RMF กองทุน Thai ESG และเงินบริจาค เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 7 : ตรวจสอบข้อมูล
ตรวจสอบข้อมูลเงินได้และค่าลดหย่อนทั้งหมดที่ได้กรอกไป โดยระบบจะทำการคำนวณภาษีที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ซึ่งหากมีการชำระภาษีไปแล้วระบบจะแจ้งยอดที่ชำระเกิน โดยสามารถขอคืนภาษีที่ชำระเกินได้ รวมถึงนำเงินภาษีที่ชำระเกินไปอุดหนุนพรรคการเมืองได้
ขั้นตอนที่ 8: ยืนยันการยื่นแบบ
เมื่อตรวจสอบข้อมูลครบถ้วนแล้ว กดยืนยันการยื่นแบบ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1716981