JJNY : พิษศก. ปิดรง.│จับตา“นิติสงคราม”อาจหลุดทั้งคณะ!│หวั่นผู้พิการอาจเสียสิทธิ│อากาศร้อนจัดดันราคาผักกาดขาวกระทบ“กิมจิ”

พิษเศรษฐกิจ ปิดโรงงาน อสังหา ‘อยุธยา-สระบุรี’ สต๊อกท่วม 3 หมื่นล้าน โซนนิคมเหลือขายบาน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4803437

 
พิษเศรษฐกิจ ปิดโรงงาน อสังหาฯ ‘อยุธยา-สระบุรี’ สต๊อกท่วม 3 หมื่นล้าน โซนนิคมเหลือขายบาน
 
วันที่ 21 กันยายน นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกปี 2567 ในพื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรี ภาพรวมของตลาดยังคงอยู่ในสภาวะที่เจอปัญหากำลังซื้อที่ลงอ่อนแอ ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโดยรวมและเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว มีการลดกำลังการผลิต และเลิกกิจการ ส่งผลให้กำลังซื้ออ่อนแอลง และกระทบกับการขายที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ทำให้เห็นการชะลอตัวของการขายได้ใหม่ในกลุ่มของบ้านจัดสรร ทั้งที่ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมายังขายได้ดี แม้จะมีโครงการเปิดขายใหม่ แต่ก็พบว่าไม่สามารถช่วยกระตุ้นให้ยอดขายดีขึ้นได้

จากการสำรวจครึ่งแรกปี 2567 พบว่ามีอุปทานพร้อมขาย 10,327 หน่วย มูลค่า 33,107 ล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นอาคารชุด 1,019 หน่วย มูลค่า 1,576 ล้านบาท บ้านจัดสรร 9,308 หน่วย มูลค่า 31,531 ล้านบาท มีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 835 หน่วย มูลค่า 4,131 ล้านบาท และมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 514 หน่วย มูลค่า 1,519 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 9,813 หน่วย มูลค่า 31,588 ล้านบาท”  นายวิชัยกล่าว
 
นายวิชัยกล่าวว่า แยกรายจังหวัดพบว่าจังหวัดพระนครศรีอยุธา มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 7,883 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 มูลค่า 26,015 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 6,926 หน่วย มูลค่า 24,517 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 957 หน่วย มูลค่า 1,498 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 451 หน่วย ลดลงร้อยละ 15.5 มูลค่า 2,881 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 104.3 ส่วนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่มีจำนวน 430 หน่วยลดลงร้อยละ 64.6 มูลค่า 1,293 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 66.0

นายวิชัยกล่าวว่า เมื่อพิจารณาลงรายละเอียดตามรายพื้นที่ที่มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่สูงสุด 3 อันดับแรกในครึ่งแรกของ ปี 2567 พบว่า อันดับ 1 โซนนิคมฯโรจนะ จำนวน 315 หน่วย มูลค่า 984 ล้านบาท อันดับ 2 โซนนิคมฯบางปะอิน จำนวน 58 หน่วย มูลค่า 128 ล้านบาท อันดับ 3 โซนวังน้อย จำนวน 41 หน่วย มูลค่า 113 ล้านบาท เป็นที่น่าสังเกตว่าโซนนิคมโรจนะและโซนนิคมบางปะอินจะเป็นโซนที่มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่สูงสุดเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 และมีอัตราดูดซับที่ร้อยละ 1.1 และ 0.5 ต่อเดือน

นายวิชัยกล่าวว่า สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขาย 7,453 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 มูลค่า 24,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 (YoY) ทั้งนี้ ทำเลที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ อันดับ 1 โซนนิคมโรจนะจำนวน 4,497 หน่วย มูลค่า 17,466 ล้านบาท อันดับ 2 โซนนิคมบางปะอิน จำนวน 1,874 หน่วย มูลค่า 4,630 ล้านบาท อันดับ 3 โซนวังน้อย จำนวน 967 หน่วย มูลค่า 2,242 ล้านบาท

คาดการณ์ ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 1,476 หน่วย มูลค่า 4,855 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 2,171 หน่วย มูลค่า 5,718 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 5,822 หน่วย มูลค่า 18,465 ล้านบาท” นายวิชัยกล่าว

นายวิชัยกล่าวว่า ภาพรวมจังหวัดสระบุรีสำหรับครึ่งแรกปี 2567 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดสระบุรี มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 2,444 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 มูลค่า 7,092 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,382 หน่วย มูลค่า 7,014 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 62 หน่วย มูลค่า 78 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งแรกปี 2567 ที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาด มีจำนวน 384 หน่วย มูลค่า 1,250 ล้านบาท ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 84 หน่วย ลดลงร้อยละ 55.1 มูลค่า 227 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49.1

นายวิชัยกล่าวว่า เมื่อพิจารณาลงรายละเอียดตามรายพื้นที่ที่มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่สูงสุด 3 อันดับแรกในครึ่งแรกของ ปี 2567 พบว่า อันดับ 1 โซนเมืองสระบุรี จำนวน 43 หน่วย มูลค่า 148 ล้านบาท อันดับ 2 โซนแก่งคอย จำนวน 21 หน่วย มูลค่า 40 ล้านบาท อันดับ 3 โซนหนองแค จำนวน  20 หน่วย มูลค่า 40 ล้านบาท เป็นที่น่าสังเกตว่าโซนเมืองสระบุรีและโซนแก่งคอยจะเป็นโซนที่มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่สูงสุดเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 และมีอัตราดูดซับอยู่ในระดับที่ร้อยละ 0.6 และ 1.0 ต่อเดือนตามลำดับ

นายวิชัยกล่าวว่า สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขาย 2,360 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 มูลค่า 6,865 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 (YoY) ทั้งนี้ ทำเลที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ อันดับ 1 โซนเมืองสระบุรี จำนวน 1,243 หน่วย มูลค่า 4,126 ล้านบาท อันดับ 2 โซนหนองแค จำนวน 706 หน่วย มูลค่า 1,824 ล้านบาท อันดับ 3 โซนแก่งคอย จำนวน 335 หน่วย มูลค่า 765 ล้านบาท
 
คาดการณ์ ปี 2567 มีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 450 หน่วย มูลค่า 1,467 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 218 หน่วย มูลค่า 509 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 2,088 หน่วย มูลค่า 5,974 ล้านบาท” นายวิชัยกล่าว

นายวิชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ประกอบการควรใช้โอกาสไตรมาสสุดท้ายของมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง จัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขายที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท เพื่อเร่งระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายที่ยังมีอยู่มากในปัจจุบัน
 


จับตา “นิติสงคราม” รัฐบาลอิ๊งค์ ปมแถลงนโยบายไม่ครบอาจหลุดทั้งคณะ!
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/233076

จับตา “มรสุมนิติสงคราม” รัฐบาลอิ๊งค์ นักร้องนิรนามเปิดปมแถลงนโยบายไม่ครบ-ไม่ชี้แจงที่มารายได้ อาจร้ายแรงถึงขั้นพ้นตำแหน่งทั้งคณะ!
 
ยังคงเป็นประเด็นที่จะต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “มรสุมนิติสงคราม” ที่รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังเผชิญอยู่
ล่าสุดทีมข่าวพีพีทีวี ได้พูดคุยกับ นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โดยบอกว่า หากฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยแข็งกว่านี้ เรื่องของกฎหมายรัฐบาลแพทองธาร จะไม่มีจุดอ่อน นี่เป็นเพราะพลาดซ้ำพลาดซ้อน ข้าศึกเลยเห็นว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน เลยทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องสาละวน วุ่นวายแก้คดียุบพรรค ไม่ยุบพรรค หรือเรื่องอาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง

โดยนายไพศาล บอกอีกว่า สำหรับประเด็นที่ล่าสุด มีนักร้องนิรนาม ไปยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เป็นเรื่องของมาตรา 162 ที่รัฐบาลไม่พูดเรื่องที่มาของเงินในการดำเนินนโยบาย ทำให้นักร้องนิรนาม ไปร้องเรียน กกต.ให้ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้พิจารณาถอดถอนคณะรัฐมนตรีและคณะ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เสียหายร้ายแรง และเกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์สุจริต เนื่องจากเนื้อหาขาดสาระไปครึ่งหนึ่ง ถือว่าไม่ซื่อสัตย์
 
แต่ผลจะออกมาเป็นอย่างไร นายไพศาลบอกว่า ก็ขึ้นอยู่กับทางศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัยอย่างไร อย่างกรณี สมัย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ก็มีคนไปร้อง แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นจึงคาดเดาไม่ได้ว่า เรื่องนี้จะมีผลออกมาอย่างไร จะถึงขั้นถอดถอนหรือไม่ คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะหรือไม่ และมีผลต่อการตัดสิทธิทางการเมืองไหม ซึ่งต้องดูต่อไป
ผู้สื่อข่าวก็ถามว่า ใครเป็นคนร้อง นักร้องนิรนามคนนี้เป็นใคร นายไพศาลบอกว่า รู้ว่าเป็นใคร แต่บอกไม่ได้ บอกได้แค่ว่า เป็นกลุ่มอำนาจเก่าเจ้าเดิม
 
ขณะเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ระบุว่าตามรัฐธรรมนูญมาตรา162 เขียนไว้ว่า คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งการแถลงดังกล่าวต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ, แนวนโยบายของรัฐ, ยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย

เพราะฉะนั้นก็ต้องไปดูว่าสิ่งที่รัฐบาลได้มีการแถลงนโยบายต่อสภาไปนั้นได้มีการชี้แจงรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ได้ครบถ้วนหรือไม่ ถ้าจะเป็นปัญหาก็อาจจะเป็นปัญหาที่คนร้องขึ้นมาว่า ในนโยบายสำคัญไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ ที่จะนำมาใช้จ่ายในการทำนโยบาย ซึ่งก็เท่ากับว่า มีความไม่สมบูรณ์ในการแถลงนโยบาย
 
แต่ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ กกต.ซึ่งมีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ไม่เกี่ยวกับการร้องเรื่องนี้ แต่หน่วยงานที่น่าจะเกี่ยวข้องคือผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งการจะไปร้องว่ารัฐบาลทำผิดรัฐธรรมนูญ ก็ต้องโยงให้ได้ว่ากระทบต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างไร
 
นายสมชัย บอกอีกว่า เรื่องนี้มองว่าหากรัฐบาลเพิกเฉยไม่แก้ปัญหาก็อาจนำไปสู่การถูกถอดถอนรัฐมนตรีทั้งคณะได้ เพราะหากมีการร้องผู้ตรวจการแผ่นดินให้วินิจฉัยปลายทางก็จะอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะตัดสินอย่างไร
 
ส่วนจะมีทางออกอย่างไรนั้น นายสมชัย มองว่า รัฐบาลอาจต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน หรืออาจจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาใหม่ เพราะหากการแถลงนโยบายยังไม่ครบถ้วน ตามหลักก็ถือว่า ครม.ยังไม่ได้บริหารราชการแผ่นดิน คำสั่งต่างๆทั้งเรื่องการแต่งตั้งบุคคล คำสั่งราชการ หรือการใช้งบประมาณต่างๆอาจเป็นโมฆะได้ ยกเว้นกรณีเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หากปล่อยไปจะเกิดความเสียหาย ครม.ที่เข้าทำหน้าที่ก็ดำเนินการไปก่อนเท่าที่จำเป็นได้ เช่น การเอางบประมาณไปช่วยน้ำท่วม แก้ปัญหาภัยพิบัติต่างๆ แม้ครม.ยังไม่แถลงนโยบายก็ตาม



คนพิการโคราช หวั่นผู้พิการกว่า 1.1 ล้านคน อาจเสียสิทธิ อดรับดิจิทัลวอลเล็ต วอนรบ.ตั้งทีมกำกับดูแล.
https://www.matichon.co.th/local/news_4803365

คนพิการโคราช เผยมีผู้พิการกว่า 1.1 ล้านคน อาจเสียสิทธิ อดรับดิจิทัลวอลเล็ต วอนรบ.ตั้งทีมกำกับดูแล
 
เมื่อวันที่ 21 กันยายน นายควง คำถี นายกสมาคมคนพิการโคราชในฐานะคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติและฝ่ายประชาสัมพันธ์สภาคนพิการทุกประเภทประจำจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีคนพิการทุกประเภทจดทะเบียนในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
 จำนวน 90,392 คน หลัง ครม.อนุมัติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 โดยรัฐบาลจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประชาชน 13 หลัก
 
ตนได้รับเรื่องข้อกังวลใจของผู้พิการเกรงไม่ได้รับสิทธิ์การช่วยเหลือจากรัฐบาล เช่น 

1. คนพิการออทิสติก ซึ่งมีความบกพร่องด้านสติปัญญา ต.จอหอ อ.เมือง ไม่สามารถดำเนินการทางธุรกรรมทางการเงินได้ต้องให้ญาติจัดการแทน จึงมีปัญหาการผูกบัญชีธนาคารกับพร้อมเพย์ เนื่องจากบัญชีธนาคารร่วมกับผู้ปกครอง
 
2. คนพิการทางสายตารวมทั้งพิการทางสติปัญญา ต.ในเมือง อ.เมือง ไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ เมื่อรับเงินผ่านบัญชีธนาคารจึงไม่สามารถผูกกับพร้อมเพย์ได้
 
3. คนพิการสองสามีภรรยา พื้นที่ อ.ด่านขุนทด ภรรยาพิการสายตา ส่วนสามีพิการการเคลื่อนไหว มีความกังวลจะไม่ได้รับสิทธิ์ เนื่องจากไม่ได้รับสิทธิ์สวัสดิการแห่งรัฐ ที่ผ่านมารับเพียงเบี้ยคนพิการเท่านั้น
 
4. คนพิการมีโทรศัพท์มือถือแต่เป็นปุ่มกดมิใช่สมาร์ทโฟนไม่สามารถทำธุรกรรมได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่