ไทยออยล์ ควักเพิ่ม 6.3 หมื่นล้าน โครงการ CFP ยันไม่กระทบปันผล เลื่อนเสร็จปี’71.

TOP เตรียมขอผู้ถือหุ้นเพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP 6.3 หมื่นล้านบาท เลื่อนแผนเปิดล่าช้า คาดแล้วเสร็จปี 2571 ยันไม่มีแผนเพิ่มทุน พร้อมจ่ายปันผลตามผลประกอบการปกติ



นายบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า สําหรับงบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาท ที่บริษัทจะใช้ในการดําเนินการก่อสร้าง บริษัทมีแผนจัดหาเงินทุนประกอบด้วย

1) เงินสดคงเหลือและกระแสเงินสดจากการดําเนินงานของบริษัทฯในปี 2025-2027

2) การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น การออกตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บัณฑิต ธรรมประจําจิต
โดยบริษัทขอยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุน จากการเพิ่มงบประมาณในการก่อสร้างโครงการในครั้งนี้แต่อย่างใด

“บริษัทจะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด อีกทั้งจากการศึกษาและประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระถึงแม้ว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการ ในปัจจุบันจะลดลงจากการประเมินในช่วงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ เมื่อโครงการเสร็จจะทําให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ ผลกําไรและฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นในระยะยาว” นายบัณฑิตกล่าว

นายบัณฑิตกล่าวต่อไปอีกว่า การก่อสร้างโครงการที่ต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี เป็นผลมาจากการดําเนินงาน
ขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน

ดังนั้นก่อนเปิดดําเนินการ จึงต้องทําการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดําเนินการได้ตามมาตรฐานที่กําหนดไว้อย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้ การก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ ที่ทําหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนนํ้ามันเตาและยางมะตอยให้เป็นนํ้ามันอากาศยานและดีเซลไม่เป็นไปตามแผนที่กําหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วงอันเนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทําให้การดําเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดําเนินโครงการออกไป

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ บริษัทได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดําเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทจะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 2568

นายบัณฑิตกล่าวอีกว่า การเพิ่มเงินงบประมาณก่อสร้างโครงการครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลของบริษัทอย่างมีนัยสําคัญ เนื่องจากแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมส่วนใหญ่มาจาก เงินสดคงเหลือ กระแสเงินสดจากการดําเนินงาน และการกู้ยืม ดังนั้นบริษัทยังคงพิจารณาจ่ายเงินปันผล ตามนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของกําไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสํารองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กําหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัท และตามกฏหมายได้

นายบัณฑิตกล่าวอีกว่า โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีมูลค่าสูง บริษัทต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในการตรวจรับงานและการจ่ายเงินโครงการ ต้องเป็นไปตามหลักสากลและเงื่อนไขในสัญญา มีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งในส่วนปริมาณงานและคุณภาพงานจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน รวมทั้งจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างเป็นผู้ประเมินและตรวจรับงาน และจัดตั้งคณะกรรมการกํากับดูแลโครงการฯ ให้การดําเนินการเป็นไปตามหลักสากลในการบริหารโครงการขนาดใหญ่

“การก่อสร้างต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี ภายในปี 2571 เป็นผลมาจากการดำเนินงานขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯ ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการ จึงต้องทำการทดสอบระบบให้สามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐาน” นายบัณฑิตกล่าว

https://www.prachachat.net/economy/news-1721125#m51do2b7qyx1ftttbyq

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่