แห่ขายบ้านมือสองพุ่ง Q2 ปีนี้กว่า 1.4 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 7.1 แสนล.บ้านเดี่ยวแชมป์
https://www.matichon.co.th/economy/news_4780634
แห่ขายบ้านมือสองพุ่ง Q2 ปีนี้กว่า 1.4 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 7.1 แสนล.บ้านเดี่ยวแชมป์
เมื่อวันที่ 9 กันยายน ดร.
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่าภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่ามีจำนวนประกาศขาย 140,725 หน่วย มูลค่า 718,436 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุดร้อยละ 39.6 รองลงมาได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ร้อยละ 29.4 ห้องชุดร้อยละ 25.6 อาคารพาณิชย์ร้อยละ 3.8 และบ้านแฝดมีเพียงร้อยละ 1.6
ส่วนในด้านระดับราคาที่ประกาศขาย พบว่า ระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ประกาศขายมากที่สุดสัดส่วนร้อยละ 21.1 ขณะที่ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยประกาศขายน้อยที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.0 ส่วนทำเลที่ประกาศขายมากที่สุด 10 อันดับแรกอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต ปทุมธานี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และนครราชสีมา ตามลำดับ
ดร.
วิชัยกล่าวว่า อุปทานที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ แยกตามประเภท ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 โดยที่อยู่อาศัยที่มีการประกาศขายมากที่สุดใน 3 ประเภทแรก ได้แก่ 1.บ้านเดี่ยว จำนวน 55,754 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.6 และมีมูลค่า 373,917 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 2.ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 41,384 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.4 มูลค่า 105,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.6 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 3.ห้องชุด จำนวน 35,963 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.6 มูลค่า 201,887 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.1 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
ส่วนอาคารพาณิชย์ มีจำนวนเพียง 5,326 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.8 มีมูลค่า 30,635 ล้านบาท เป็นสัดส่วน
ร้อยละ 4.3 ในขณะที่บ้านแฝดมีจำนวนเพียง 2,298 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.6 มีมูลค่า 6,805 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.9
ดร.
วิชัยกล่าวว่า สำหรับราคาขายที่อยู่อาศัยมือสอง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่า ระดับราคาของที่อยู่อาศัยที่มีหน่วยประกาศขายมากที่สุดใน 3 ระดับราคาแรก ได้แก่ 1.ระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยมากที่สุด 29,715 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.1 แต่มีมูลค่ารวม 16,152 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนน้อยที่สุดเพียงร้อยละ 2.2 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 2.ระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 22,905 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.3 และมีมูลค่า 57,188 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 3.ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 21,151 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.0 และมีมูลค่า 82,960 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.5 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
โดยพบว่าระดับราคาที่มีสัดส่วนมูลค่ามากที่สุด อยู่ในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท มีจำนวน 13,673 หน่วย แต่มีสัดส่วนมูลค่าสูงถึงร้อยละ 54.3 หรือมากกว่ามูลค่าในระดับราคาอื่นๆ รวมกัน เมื่อพิจารณาระดับราคาของที่อยู่อาศัยที่ประกาศขายแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า บ้านเดี่ยวและห้องชุดมีหน่วยขายในระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาทมากที่สุด ในขณะที่บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์มีหน่วยขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด และทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนหน่วยที่ประกาศขายมากที่สุดในระดับราคา
2.01 – 3.00 ล้านบาท
ดร.
วิชัยกล่าวว่า ส่วนทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยมือสอง พบว่าจังหวัดที่มีอันดับมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายสูงที่สุด 10 จังหวัดแรก ณ สิ้นไตรมาส 2 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา ระยอง และนครปฐม แสดงให้เห็นว่าอุปทานที่อยู่อาศัยมือสองยังคงมีการประกาศขายมากที่สุดอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ยกเว้นสมุทรสาครไม่ติดอันดับ) และมีจำนวนมากประกาศขายมากในพื้นที่จังหวัดสำคัญที่เป็นหัวเมืองหลัก และเมืองท่องเที่ยว
เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายสูงสุด 10 อันดับแรกในไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันร้อยละ 69.5 ของจำนวนหน่วยที่ประกาศขายทั้งหมด และมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันร้อยละ 85.4 มีรายละเอียดตามลำดับ ดังนี้
อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร มีจำนวนประกาศขาย 42,377 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.1 มีมูลค่า386,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.8 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท
อันดับ 2 นนทบุรี มีจำนวนประกาศขาย 10,895 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.7 มีมูลค่า 48,382 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.7 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 3 ชลบุรี มีจำนวนประกาศขาย 9,229 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.6 มีมูลค่า 43,925 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 4 สมุทรปราการ มีจำนวนประกาศขาย 9,613 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.8 มีมูลค่า 43,030
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.0 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 5 ปทุมธานี มีจำนวนประกาศขาย 10,250 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.3 มีมูลค่า 28,169 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.9 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท
อันดับ 6 เชียงใหม่ มีจำนวนประกาศขาย 4,508 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.2 มีมูลค่า 23,303 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.2 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท
อันดับ 7 ภูเก็ต มีจำนวนประกาศขาย 1,818 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.3 มีมูลค่า 15,006 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท
อันดับ 8 นครราชสีมา มีจำนวนประกาศขาย 2,745 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.0 มีมูลค่า 9,436
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.3 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 9 ระยอง มีจำนวนประกาศขาย 4,062 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.9 มีมูลค่า 8,081 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท
อันดับ 10 นครปฐม มีจำนวนประกาศขาย 2,296 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.6 มีมูลค่า 7,700 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา ล้านบาท
ดร.
วิชัยกล่าวว่า สำหรับราคาที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง ที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวนหน่วยในระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท มากที่สุด (สัดส่วนร้อยละ 21.1) รองลงมาคือระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 16.3) ในขณะที่ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยน้อยที่สุด (สัดส่วนร้อยละ 4.0)
ในขณะที่ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดอยู่ในระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 34.7) รองลงมาคือระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 18.8) ในขณะที่ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยน้อยที่สุด (สัดส่วนร้อยละ 0.9) ซึ่งจะเห็นว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองมีความสอดคล้องกับข้อมูลจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายโดยเมื่อในตลาดมีจำนวนประกาศขายมากจะมีการโอนกรรมสิทธิ์มากตามไปด้วย
ในด้านมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในไตรมาส 2 ปี 2567 มีมูลค่าที่สุดในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วนร้อยละ 54.3) รองลงมาคือระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 11.5) และระดับราคาที่มีมูลค่าน้อยที่สุด คือระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 2.2)
ในขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 2 ปี 2567 มีมูลค่ามากที่สุดในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 22.9) รองลงมาคือระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 17.8) และระดับราคาที่มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์น้อยที่สุด คือระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 3.8).
อังคณา ห่วงงบ 68 ขาดด้านสิทธิมนุษยชน มองนโนยาย ‘รบ.อิ๊งค์’ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4780688
‘อังคณา’ ห่วงงบ 68 ไร้งบสิทธิมนุษยชน แซะนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ไม่ต่างจากเดิม ดูแล้วไม่มีอะไรใหม่
เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่รัฐสภา นาง
อังคณา นีละไพจิตร ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ 2568 ว่า ส.ว.ไม่มีอำนาจเพิ่มหรือตัดงบลดงบประมาณได้ แต่มีข้อสังเกตได้ ส่วนตัวมีข้อสังเกตว่า ประเทศไทยมีแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมถึงรัฐธรรมนูญมาตรา71 วรรค 4 ระบุถึงการจัดงบประมาณให้เหมาะกับเพศสภาพ วัย
“
พอมาดูงบ ปี2568 ตั้งข้อสงสัยว่า แผนมนุษยชนแห่งชาติอยู่ตรงส่วนไหนของงบฯ ทุกกระทรวงได้นำไปใส่หรือไม่ ต้องพูดคุยกันเรื่องนี้ เพราะเป็นมติครม.ที่รับรองตามแผนมนุษยชนแห่งชาติแล้ว แต่ไม่มีงบประมาณเรื่องนี้ ขณะที่งบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนมากเป็นเรื่องความมั่นคง แต่ไม่ได้คุ้มครองสิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องบูรณาจัดการอบรมเฉย ๆ ทุกกระทรวง ทบวง กรมต้องดำเนินการให้มีงบประมาณขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน จัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับเพศสภาพ อย่างในทุกกระทรวงยังไม่มีห้องน้ำสำหรับทุกเพศ หรือการจัดห้องสำหรับผู้หญิงที่ต้องให้นมลูก ทั้งที่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ยังขาดอยู่” นาง
อังคณา กล่าว
นาง
อังคณา กล่าวว่า ส่วนการเตรียมการแถลงนโยบายรัฐบาลนั้น ได้อ่านนโยบายทั้งหมดอย่างเร็ว ๆ พบว่า มีเรื่องน่าสนใจคือ การปราบปราบยาเสพติดที่กังวลว่าจะกลับไปเป็นเหมือนปี 2546 ที่เป็นช่วงสงครามยาเสพติด มีคนตาย 3,000 กว่าคน แต่ไม่มีใครเคยต้องโทษ ทำให้คนตายฟรี กังวลว่า สงครามยาเสพติดจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ จะปราบอย่างไร ขณะนี้มีกฎหมายให้ผู้เสพเป็นผู้ป่วย จึงตั้งคำถามว่า จะดูแลอย่างไร มีศักยภาพหรือไม่ เป็นเรื่องท้าทายอย่างแรก เพราะคิดว่าจะปราบปราม แต่จะทำอย่างไร ที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ใช้กำลังปราบปราม มีเหตุฆ่าตัดตอนจำนวนมาก คดีก็หมดอายุความ
“
อีกเรื่องคือ ปัญหาชายแดนภาคใต้ถูกจัดอันดับความสำคัญน้อย ทั้งที่เป็นปัญหาต่อเนื่องมากกว่า 20ปี รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะจัดการอย่างไรให้หยุดการสู้รบ การแถลงนโยบายรัฐบาลชุดนี้ ไม่ได้ต่างจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ถ้าไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลนายทักษิณ ก็ไม่ต่างกัน ดูแล้วไม่มีอะไรใหม่ ของเดิมที่ทำแล้วมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ก็ยังกังวลจะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมหรือไม่” นาง
อังคณา กล่าว
JJNY : แห่ขายบ้านมือสองพุ่ง│อังคณา มอง‘รบ.อิ๊งค์’ไม่มีอะไรใหม่│ส.ว.วุฒิพงศ์จี้ตัดเบี้ยนายพล│โปแลนด์แล้งหนัก แม่น้ำหลักลด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4780634
แห่ขายบ้านมือสองพุ่ง Q2 ปีนี้กว่า 1.4 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 7.1 แสนล.บ้านเดี่ยวแชมป์
เมื่อวันที่ 9 กันยายน ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่าภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่ามีจำนวนประกาศขาย 140,725 หน่วย มูลค่า 718,436 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุดร้อยละ 39.6 รองลงมาได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ร้อยละ 29.4 ห้องชุดร้อยละ 25.6 อาคารพาณิชย์ร้อยละ 3.8 และบ้านแฝดมีเพียงร้อยละ 1.6
ส่วนในด้านระดับราคาที่ประกาศขาย พบว่า ระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ประกาศขายมากที่สุดสัดส่วนร้อยละ 21.1 ขณะที่ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยประกาศขายน้อยที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.0 ส่วนทำเลที่ประกาศขายมากที่สุด 10 อันดับแรกอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี ภูเก็ต ปทุมธานี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และนครราชสีมา ตามลำดับ
ดร.วิชัยกล่าวว่า อุปทานที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ แยกตามประเภท ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 โดยที่อยู่อาศัยที่มีการประกาศขายมากที่สุดใน 3 ประเภทแรก ได้แก่ 1.บ้านเดี่ยว จำนวน 55,754 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.6 และมีมูลค่า 373,917 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 2.ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 41,384 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.4 มูลค่า 105,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.6 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 3.ห้องชุด จำนวน 35,963 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.6 มูลค่า 201,887 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 28.1 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
ส่วนอาคารพาณิชย์ มีจำนวนเพียง 5,326 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.8 มีมูลค่า 30,635 ล้านบาท เป็นสัดส่วน
ร้อยละ 4.3 ในขณะที่บ้านแฝดมีจำนวนเพียง 2,298 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.6 มีมูลค่า 6,805 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.9
ดร.วิชัยกล่าวว่า สำหรับราคาขายที่อยู่อาศัยมือสอง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่า ระดับราคาของที่อยู่อาศัยที่มีหน่วยประกาศขายมากที่สุดใน 3 ระดับราคาแรก ได้แก่ 1.ระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยมากที่สุด 29,715 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.1 แต่มีมูลค่ารวม 16,152 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนน้อยที่สุดเพียงร้อยละ 2.2 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 2.ระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีจำนวน 22,905 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.3 และมีมูลค่า 57,188 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.0 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด 3.ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 21,151 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.0 และมีมูลค่า 82,960 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.5 ของที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายทั้งหมด
โดยพบว่าระดับราคาที่มีสัดส่วนมูลค่ามากที่สุด อยู่ในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท มีจำนวน 13,673 หน่วย แต่มีสัดส่วนมูลค่าสูงถึงร้อยละ 54.3 หรือมากกว่ามูลค่าในระดับราคาอื่นๆ รวมกัน เมื่อพิจารณาระดับราคาของที่อยู่อาศัยที่ประกาศขายแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่า บ้านเดี่ยวและห้องชุดมีหน่วยขายในระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาทมากที่สุด ในขณะที่บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์มีหน่วยขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด และทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนหน่วยที่ประกาศขายมากที่สุดในระดับราคา
2.01 – 3.00 ล้านบาท
ดร.วิชัยกล่าวว่า ส่วนทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยมือสอง พบว่าจังหวัดที่มีอันดับมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายสูงที่สุด 10 จังหวัดแรก ณ สิ้นไตรมาส 2 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี เชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา ระยอง และนครปฐม แสดงให้เห็นว่าอุปทานที่อยู่อาศัยมือสองยังคงมีการประกาศขายมากที่สุดอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ยกเว้นสมุทรสาครไม่ติดอันดับ) และมีจำนวนมากประกาศขายมากในพื้นที่จังหวัดสำคัญที่เป็นหัวเมืองหลัก และเมืองท่องเที่ยว
เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายสูงสุด 10 อันดับแรกในไตรมาส 2 ปี 2567 ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันร้อยละ 69.5 ของจำนวนหน่วยที่ประกาศขายทั้งหมด และมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันร้อยละ 85.4 มีรายละเอียดตามลำดับ ดังนี้
อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร มีจำนวนประกาศขาย 42,377 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.1 มีมูลค่า386,191 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.8 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท
อันดับ 2 นนทบุรี มีจำนวนประกาศขาย 10,895 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.7 มีมูลค่า 48,382 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.7 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 3 ชลบุรี มีจำนวนประกาศขาย 9,229 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.6 มีมูลค่า 43,925 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 4 สมุทรปราการ มีจำนวนประกาศขาย 9,613 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.8 มีมูลค่า 43,030
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.0 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 5 ปทุมธานี มีจำนวนประกาศขาย 10,250 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.3 มีมูลค่า 28,169 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.9 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท
อันดับ 6 เชียงใหม่ มีจำนวนประกาศขาย 4,508 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.2 มีมูลค่า 23,303 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.2 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท
อันดับ 7 ภูเก็ต มีจำนวนประกาศขาย 1,818 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.3 มีมูลค่า 15,006 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท
อันดับ 8 นครราชสีมา มีจำนวนประกาศขาย 2,745 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.0 มีมูลค่า 9,436
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.3 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท
อันดับ 9 ระยอง มีจำนวนประกาศขาย 4,062 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.9 มีมูลค่า 8,081 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท
อันดับ 10 นครปฐม มีจำนวนประกาศขาย 2,296 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.6 มีมูลค่า 7,700 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.1 ส่วนใหญ่ประกาศขายในระดับราคา ล้านบาท
ดร.วิชัยกล่าวว่า สำหรับราคาที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายและโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสอง ที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวนหน่วยในระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท มากที่สุด (สัดส่วนร้อยละ 21.1) รองลงมาคือระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 16.3) ในขณะที่ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยน้อยที่สุด (สัดส่วนร้อยละ 4.0)
ในขณะที่ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดอยู่ในระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 34.7) รองลงมาคือระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 18.8) ในขณะที่ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยน้อยที่สุด (สัดส่วนร้อยละ 0.9) ซึ่งจะเห็นว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองมีความสอดคล้องกับข้อมูลจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายโดยเมื่อในตลาดมีจำนวนประกาศขายมากจะมีการโอนกรรมสิทธิ์มากตามไปด้วย
ในด้านมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในไตรมาส 2 ปี 2567 มีมูลค่าที่สุดในระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป (สัดส่วนร้อยละ 54.3) รองลงมาคือระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 11.5) และระดับราคาที่มีมูลค่าน้อยที่สุด คือระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 2.2)
ในขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมือสองในไตรมาส 2 ปี 2567 มีมูลค่ามากที่สุดในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 22.9) รองลงมาคือระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 17.8) และระดับราคาที่มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์น้อยที่สุด คือระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท (สัดส่วนร้อยละ 3.8).
อังคณา ห่วงงบ 68 ขาดด้านสิทธิมนุษยชน มองนโนยาย ‘รบ.อิ๊งค์’ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4780688
‘อังคณา’ ห่วงงบ 68 ไร้งบสิทธิมนุษยชน แซะนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ไม่ต่างจากเดิม ดูแล้วไม่มีอะไรใหม่
เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร ส.ว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ 2568 ว่า ส.ว.ไม่มีอำนาจเพิ่มหรือตัดงบลดงบประมาณได้ แต่มีข้อสังเกตได้ ส่วนตัวมีข้อสังเกตว่า ประเทศไทยมีแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมถึงรัฐธรรมนูญมาตรา71 วรรค 4 ระบุถึงการจัดงบประมาณให้เหมาะกับเพศสภาพ วัย
“พอมาดูงบ ปี2568 ตั้งข้อสงสัยว่า แผนมนุษยชนแห่งชาติอยู่ตรงส่วนไหนของงบฯ ทุกกระทรวงได้นำไปใส่หรือไม่ ต้องพูดคุยกันเรื่องนี้ เพราะเป็นมติครม.ที่รับรองตามแผนมนุษยชนแห่งชาติแล้ว แต่ไม่มีงบประมาณเรื่องนี้ ขณะที่งบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนมากเป็นเรื่องความมั่นคง แต่ไม่ได้คุ้มครองสิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องบูรณาจัดการอบรมเฉย ๆ ทุกกระทรวง ทบวง กรมต้องดำเนินการให้มีงบประมาณขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน จัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับเพศสภาพ อย่างในทุกกระทรวงยังไม่มีห้องน้ำสำหรับทุกเพศ หรือการจัดห้องสำหรับผู้หญิงที่ต้องให้นมลูก ทั้งที่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ยังขาดอยู่” นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา กล่าวว่า ส่วนการเตรียมการแถลงนโยบายรัฐบาลนั้น ได้อ่านนโยบายทั้งหมดอย่างเร็ว ๆ พบว่า มีเรื่องน่าสนใจคือ การปราบปราบยาเสพติดที่กังวลว่าจะกลับไปเป็นเหมือนปี 2546 ที่เป็นช่วงสงครามยาเสพติด มีคนตาย 3,000 กว่าคน แต่ไม่มีใครเคยต้องโทษ ทำให้คนตายฟรี กังวลว่า สงครามยาเสพติดจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ จะปราบอย่างไร ขณะนี้มีกฎหมายให้ผู้เสพเป็นผู้ป่วย จึงตั้งคำถามว่า จะดูแลอย่างไร มีศักยภาพหรือไม่ เป็นเรื่องท้าทายอย่างแรก เพราะคิดว่าจะปราบปราม แต่จะทำอย่างไร ที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ใช้กำลังปราบปราม มีเหตุฆ่าตัดตอนจำนวนมาก คดีก็หมดอายุความ
“อีกเรื่องคือ ปัญหาชายแดนภาคใต้ถูกจัดอันดับความสำคัญน้อย ทั้งที่เป็นปัญหาต่อเนื่องมากกว่า 20ปี รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะจัดการอย่างไรให้หยุดการสู้รบ การแถลงนโยบายรัฐบาลชุดนี้ ไม่ได้ต่างจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ถ้าไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลนายทักษิณ ก็ไม่ต่างกัน ดูแล้วไม่มีอะไรใหม่ ของเดิมที่ทำแล้วมีปัญหาเรื่องยาเสพติด ก็ยังกังวลจะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมหรือไม่” นางอังคณา กล่าว