อากาสธาตุแทรกคั่นตรงไหน

ฟังคลิป : https://www.dhammahome.com/audio/topic/1554

*****************************************

อ. สุจินต์ : เช่นขณะนี้ที่ตัว มีใครคิดบ้างว่า มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ เคยคิดไหมคะ แต่เป็นความจริงว่า มีอากาสธาตุหรือช่องว่างแทรกคั่นละเอียดมาก ละเอียดจนถ้าจะกล่าวถึงในที่นี้อาจจะยากหน่อย แต่ใช้ธรรมดาๆ ว่า ละเอียดมาก คือสามารถจะแตกย่อยออกเป็นชิ้นส่วนที่ละเอียดที่สุดได้ในพริบตา นี่คือที่ตัว แต่จริงๆ แล้วทรงแสดงว่า ทุกหนทุกแห่งที่เป็นรูปธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริงที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ อย่างแข็งที่พื้นเรามองเหมือนไม่มีอากาสธาตุแทรกคั่นอยู่เลย แต่ความจริงที่ใดที่มีรูปต้องมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ที่สามารถจะแตกย่อยทำลายได้ทุกอย่าง นี่คือการตรัสรู้

เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็เหมือนกองฝุ่น เหมือนไหมคะ มีอากาสธาตุแทรกคั่นอยู่เต็ม และมีแข็งบ้าง เย็นบ้าง ร้อนบ้าง ตึงบ้าง ไหวบ้างที่กาย แต่จริงๆ แล้วมีอากาสธาตุแทรกคั่นอยู่ นี่คือความเป็นอนัตตา

ระหว่างตากับหู มีอากาสธาตุแทรกคั่นไหมคะ แทรกคั่น เพราะฉะนั้น เราอยู่ตรงไหน มีเราจริงๆ ตรงไหนตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ในเมื่อก็เป็นรูปที่กระทบสัมผัสแล้วแข็งหรืออ่อน ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า แต่ก็มีอากาสธาตุแทรกคั่นละเอียดมากพร้อมที่จะแตกสลายทำลายไปทุกๆ ขณะ เพราะฉะนั้น ตรงไหนเป็นเรา ตรงช่องว่างหรือตรงที่อ่อน ที่แข็ง ซึ่งความจริงจากการตรัสรู้ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับเร็วมาก เร็วกว่าที่ศาสตร์ใดๆ จะสามารถรู้ได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่สอนศาสตร์นั้นไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด อนิจจัง ไม่เที่ยง สภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ความสุขที่ถาวรหรือยั่งยืน ไม่เป็นสิ่งที่น่าพอใจ และเป็นอนัตตา

เพราะฉะนั้น สภาพธรรมแต่ละอย่างก็คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

พอที่จะเข้าใจว่า ทุกขณะ ขณะนี้ ทุกอย่างที่เกิดต้องดับทันทีเร็วมาก เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง อนัตตา

ถ้ามีคำถามก็เชิญเลยนะคะ เพราะจริงๆ แล้วพระธรรมเป็นเรื่องที่ยาวมาก ศึกษากันเป็นปีๆ

ผู้ฟัง : ผู้ใดมีคำถาม นานๆ ท่านอาจารย์จะมาสักครั้งหนึ่ง อะไรที่ข้องใจอยู่ก็เรียนถามท่าน เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และกับเพื่อนๆ ที่ร่วมสนทนาด้วยครับ

อ. สุจินต์ : หรือที่ฟังแล้ว ต่อไปจะได้ทราบว่า นี่คือสนทนาธรรม คือต้องมีธรรม มีสิ่งที่มีจริงๆ ให้สนทนาให้เข้าใจขึ้น เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีหรือเลื่อนลอย

ผู้ฟัง : จะถามเรื่องที่คนเขาพูดถึง “บุญ” บุญหมายถึงอะไร และทุกวันนี้คนทำบุญส่วนมากจะหวังผลตอบแทน และบางคนดูแล้วยากจน แต่ตะเกียกตะกายทำบุญโดยตนเองอดเพื่อจะทำบุญนั้น อยากให้อ. สุจินต์ :ช่วยอธิบายคำว่า “บุญ” หมายถึงอะไร และจำเป็นไหมที่บางทีตัวเองหรือลูกเต้าไม่ได้กิน เอาไว้ทำบุญมากกว่า

อ. สุจินต์ : ก่อนอื่นเมื่อได้ยินคำไหน ต้องเข้าใจความหมายของคำนั้นด้วย  “บุญ” หมายความถึงสิ่งที่ดีงาม โต๊ะ เก้าอี้ ข้าว ผลไม้เป็นบุญหรือเปล่าคะ   บุญคือสิ่งที่ดีงาม โต๊ะดีอย่างไร ข้าวดีอย่างไร เพราะฉะนั้น นั่นไม่ใช่บุญเลย บุญไม่ใช่วัตถุ แต่ต้องเป็นสภาพที่ดี เวลาที่พูดถึงธรรม ควรจะได้ทราบก่อนตั้งแต่ต้นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ธรรมมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งมีจริงๆ เกิดขึ้นปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ให้กลิ่นทางจมูก เป็นรสที่รู้ได้ทางลิ้น เป็นเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวที่รู้ได้ทางกาย สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย อย่างเสียงเป็นความดังหรือความกังวาฬของปฐวี คือสภาพที่แข็ง ถ้าสิ่งที่แข็งกระทบกันจะทำให้เกิดเสียง แล้วก็ดับ เสียงที่เกิดขึ้นมาไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้ จำไม่ได้ หิวไม่ได้ โกรธไม่ได้ สิ่งใดๆ ที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ในทางธรรมใช้คำว่า “รูป” หรือ “รูปธรรม” เพราะว่าภาษาบาลีต้องออกเสียงคำสุดท้ายด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็น “รู ปะ” ถ้ารวมกับธรรม ก็เป็น “รู ปะ ธรรม” รูปธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย

เพราะฉะนั้น เสียงเป็นบุญไม่ได้ กลิ่นเป็นบุญไม่ได้ รสเป็นบุญไม่ได้ อ่อนแข็งเป็นบุญไม่ได้ แต่มีธาตุอีกชนิดหนึ่ง ในขณะนี้กำลังมีด้วย ธาตุชนิดหนึ่งเป็นสภาพที่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด “รู้” ที่นี่หมายความว่า รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ เช่น เสียง ที่จะบอกว่ามีเสียง ก็เพราะเหตุว่ามีธาตุอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นสภาพที่เกิดขึ้นแล้วต้องได้ยินเสียง สภาพนั้นคือนามธาตุ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงที่เป็นธรรมมี ๒ ลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทเป็นรูปธาตุ อีกประเภทเป็นนามธาตุ รูปธาตุรู้อะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น แต่นามธาตุเป็นธาตุซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏให้รู้ เช่น ทางตากำลังเห็น เห็นมีจริงๆ เห็นไม่ใช่แสงสว่าง เห็นไม่ใช่สีสันวัณณะที่ปรากฏภายนอก แต่เห็น ที่ใช้นามธาตุ เพราะไม่ใช่รูปโดยประการใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นสภาพที่สามารถรู้ สามารถเห็น สามารถได้ยิน สามารถได้กลิ่น สามารถจำ สามารถคิดนึก สามารถเป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ เหล่านี้เป็นนามธาตุ ต้องแยกธรรมออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ รูปธาตุกับนามธาตุ

เพราะฉะนั้น บุญเป็นรูปธาตุไม่ได้ แต่บุญเป็นนามธาตุ เป็นสภาพของนามธาตุที่เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้

ขณะนี้ในห้องนี้มีรูปไหมคะ มี   มีนามไหมคะ มี   ถ้ามีคนตายอยู่ที่นี่ มีแต่รูป แต่นามไม่มี คือไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก เพราะฉะนั้น สภาพต่างๆ เหล่านั้นแยกออกจากรูป เป็นนามธาตุทั้งหมด

หิว เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมคะ เป็นนามธรรม   โกรธเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น เราสามารถเข้าใจธรรมได้ ไม่ว่าในโลกนี้ ในเทวโลก ในพรหมโลก โลกไหนๆ ในจักรวาลไปจนถึงพระจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส ก็มีสภาพธรรมเพียง ๒ อย่าง คือ นามธรรม และรูปธรรม จะมีอย่างอื่นนอกจากนี้อีกไหมคะ ไม่มี แต่ความหลากหลาย ความละเอียดของรูปธรรมกับนามธรรมมากจริงๆ โดยที่สำหรับนามธรรมก็มี ๒ อย่าง ไม่ใช่มีอย่างเดียว นามธรรมอย่างหนึ่งคือจิต นามธรรมอีกอย่างหนึ่งคือเจตสิก ๒ อย่าง รูปธรรมไม่สามารถรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เสียง เมื่อล้านปีก่อนมีเสียงไหมคะ รูปในอดีตเป็นรูปตลอดคือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้น เสียงในอดีต เสียงในปัจจุบัน เสียงในอนาคตก็เป็นรูปธรรม แต่นามธาตุหรือนามธรรมก็คือ จิต ๑ เจตสิก ๑

ความต่างกันของ ๒ อย่าง ก็คือ จิต เคยได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหมคะ ขณะนี้มีจิตไหมคะ มีแน่นอน มีวิญญาณไหมคะ จิตกับวิญญาณต่างกันหรือเหมือนกัน คำตอบครั้งแรกที่ถูกคือมีจิต แล้วถามว่า มีวิญญาณไหมตอบว่ามี ก็ถูกอีก แต่พอถามว่า จิตกับวิญญาณเหมือนกันหรือต่างกัน ถ้าตอบว่า ต่างกัน ผิด เพราะเหตุว่าคำว่า “จิต” หรือคำว่า “วิญญาณ” คำว่า “มโน” คำว่า “มนัส” คำว่า “หทยะ” เป็นชื่อหลายๆ ชื่อของธาตุรู้หรือสภาพรู้นั่นเอง จะเรียกว่า “จิต” ก็ได้ เหมือนอย่างผู้หญิง เรียก นารีได้ไหมคะ เรียก สตรี ได้ไหมคะ เรียกกุมารีได้ไหมคะ จิตก็เหมือนกัน เรียกวิญญาณก็ได้ เรียกมโนก็ได้ เรียกมนัสก็ได้ หมายความถึงสภาพที่มีจริงๆ ในขณะนี้ก็มีจริงๆ ให้พิสูจน์ที่ทรงแสดงว่า ทรงตรัสรู้ความจริงว่า จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ นี่คือจิต เวลาที่ทุกคนพูดเรื่องจิต เหมือนรู้ เวลาที่ทุกคนใช้คำว่า “วิญญาณ” ก็เหมือนรู้ แต่ความจริงยังไม่ได้รู้ ถ้ายังไม่ได้ศึกษา แต่ถ้าศึกษาแล้วจะทราบว่า จิตมีจริง ขณะที่กำลังเห็นนี่เองกำลังเป็นจิตชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ลืมไม่ได้เลย สภาพธรรมใดๆ ที่เกิดมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดแล้วดับทันที ไม่มีสักอย่างเดียวซึ่งยั่งยืนถาวร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่