https://www.dhammahome.com/audio/topic/4669
อ. สุจินต์ : "สติปัฏฐานไม่ใช่ใครต้องการให้เกิด ก็จะเกิด หรือใครไม่รู้ก็จะเกิด แต่
สติปัฏฐานเกิดเพราะเข้าใจเบื้องต้นในเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง จนกระทั่งความจำที่มั่นคงมีเมื่อไร เมื่อนั้นเพราะสติเกิด กำลังระลึกลักษณะที่เป็นธรรม (หมายเหตุ : เหตุใกล้ให้สติปัฎฐานเกิด คือ ถิรสัญญา หมายถึง สัญญาความจำที่มั่นคง)
ที่จริงทุกอย่างเป็นธรรม แต่เวลาที่แข็งปรากฏ เป็นโต๊ะ เห็นมี แต่เป็นแก้วน้ำ เพราะฉะนั้น เราไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้อย่างนี้ โดยที่ยังไม่ไปนึกถึงอะไรเลย หรือแข็งที่กำลังปรากฏ
ยังไม่ทันนึกถึงว่าเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรืออะไรเลย มีแต่แข็งเท่านั้นที่ปรากฏ เริ่มใส่ใจในลักษณะที่แข็ง เพราะรู้ว่า เป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมแล้ว ขณะนั้นจะมีความคิดอื่น ขณะที่กำลังรู้ลักษณะของธรรมไม่ได้
เพราะฉะนั้น
ขณะใดที่มีลักษณะของธรรมหนึ่งธรรมใดกำลังปรากฏ โดยสติระลึกตรงลักษณะนั้น เรื่องราวความคิดนึกต่างๆ จะไม่มีอยู่ในที่นั้น คนก็ไม่มีในที่นั้น เพราะมีสภาพที่รู้และมีสภาพที่แข็ง ลักษณะที่แข็งไม่ใช่สภาพที่รู้แข็ง
นี่คือปัญญาตามที่เรียนมาทั้งหมดว่า จิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เป็นนามธรรม ส่วนรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทุกอย่างต้องตรงและสอดคล้องตั้งแต่เบื้องต้นจนที่สุด
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน จะมีคำอธิบายว่า ตามรู้ หมายความว่า มีลักษณะที่ปรากฏ และขณะนั้นสติสัมปชัญญะระลึก
คือตามรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่เป็นเรื่องราวต่างๆ แล้วก็จะเห็นว่า ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมทั้งหมด แต่เพียงฟังก่อน แล้วสติเริ่มระลึกบ้าง หรือหลงลืมบ้าง ก็จะเริ่มเห็นความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานเกิด กับขณะที่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เป็นแต่เพียงขณะที่กำลังฟังเรื่องธรรม ทั้งๆที่ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นธรรม มีลักษณะจริงๆปรากฏทั้งวัน
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไรก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ คนที่กำลังฟังพระธรรมเทศนาสามารถเป้นพระอริยบุคคล คือระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะที่ฟัง แล้วสามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดในลักษณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไปของสภาพธรรมนั้น ก็รู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงทุกอย่าง คำเทศนาหรือพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงทั้งหมดด้วยตนเองที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงนั้น นี่คือสติปัฏฐาน ก็เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงมากขึ้นตามลำดับ
จากขั้นที่เริ่มฟัง จากขั้นเข้าใจ แล้วถึงขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะว่าพระศาสนาต้องครบถ้วนทั้ง ๓ อย่าง ถ้ามีแต่เพียงการฟัง แต่ไม่มีใครสามารถประจักษ์จริงๆ อย่างนั้นได้ การฟังทั้งหมดของเราก็เป็นโมฆะ เหมือนกับฟังเรื่องที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ แต่ตามความเป็นจริงสิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริงพร้อมให้ผู้อบรมเจริญปัญญาสามารถประจักษ์ได้จริงๆ ก็
ต้องศึกษาตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นฟัง สุตตามยปัญญา ขั้นคิดพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟังแล้ว จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา คือการอบรมเจริญปัญญาที่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงในขณะนี้ได้ ซึ่งก็ต้องยากขึ้นตามลำดับ ทั้งๆที่สิ่งที่มีจริงยากที่จะรู้ เพราะเกิดแล้วดับแล้ว เร็วมาก แต่ก็มีสิ่งอื่นเกิดอีก ปรากฏอีก ให้เข้าใจได้อีก ไม่มีวันจบ สิ่งที่จะปรากฏให้ศึกษามีอยู่ทุกขณะ แม้ไม่มีหนังสือเลย เพียงขั้นฟังก็สามารถค่อยๆพิจารณาเข้าใจได้
สติปํฏฐานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
อ. สุจินต์ : "สติปัฏฐานไม่ใช่ใครต้องการให้เกิด ก็จะเกิด หรือใครไม่รู้ก็จะเกิด แต่สติปัฏฐานเกิดเพราะเข้าใจเบื้องต้นในเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง จนกระทั่งความจำที่มั่นคงมีเมื่อไร เมื่อนั้นเพราะสติเกิด กำลังระลึกลักษณะที่เป็นธรรม (หมายเหตุ : เหตุใกล้ให้สติปัฎฐานเกิด คือ ถิรสัญญา หมายถึง สัญญาความจำที่มั่นคง)
ที่จริงทุกอย่างเป็นธรรม แต่เวลาที่แข็งปรากฏ เป็นโต๊ะ เห็นมี แต่เป็นแก้วน้ำ เพราะฉะนั้น เราไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้อย่างนี้ โดยที่ยังไม่ไปนึกถึงอะไรเลย หรือแข็งที่กำลังปรากฏ ยังไม่ทันนึกถึงว่าเป็นโต๊ะ เก้าอี้ หรืออะไรเลย มีแต่แข็งเท่านั้นที่ปรากฏ เริ่มใส่ใจในลักษณะที่แข็ง เพราะรู้ว่า เป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมแล้ว ขณะนั้นจะมีความคิดอื่น ขณะที่กำลังรู้ลักษณะของธรรมไม่ได้
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่มีลักษณะของธรรมหนึ่งธรรมใดกำลังปรากฏ โดยสติระลึกตรงลักษณะนั้น เรื่องราวความคิดนึกต่างๆ จะไม่มีอยู่ในที่นั้น คนก็ไม่มีในที่นั้น เพราะมีสภาพที่รู้และมีสภาพที่แข็ง ลักษณะที่แข็งไม่ใช่สภาพที่รู้แข็ง
นี่คือปัญญาตามที่เรียนมาทั้งหมดว่า จิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เป็นนามธรรม ส่วนรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทุกอย่างต้องตรงและสอดคล้องตั้งแต่เบื้องต้นจนที่สุด
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน จะมีคำอธิบายว่า ตามรู้ หมายความว่า มีลักษณะที่ปรากฏ และขณะนั้นสติสัมปชัญญะระลึก คือตามรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่เป็นเรื่องราวต่างๆ แล้วก็จะเห็นว่า ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมทั้งหมด แต่เพียงฟังก่อน แล้วสติเริ่มระลึกบ้าง หรือหลงลืมบ้าง ก็จะเริ่มเห็นความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานเกิด กับขณะที่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เป็นแต่เพียงขณะที่กำลังฟังเรื่องธรรม ทั้งๆที่ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นธรรม มีลักษณะจริงๆปรากฏทั้งวัน
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไรก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ คนที่กำลังฟังพระธรรมเทศนาสามารถเป้นพระอริยบุคคล คือระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะที่ฟัง แล้วสามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดในลักษณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไปของสภาพธรรมนั้น ก็รู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงทุกอย่าง คำเทศนาหรือพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงทั้งหมดด้วยตนเองที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงนั้น นี่คือสติปัฏฐาน ก็เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงมากขึ้นตามลำดับ จากขั้นที่เริ่มฟัง จากขั้นเข้าใจ แล้วถึงขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะว่าพระศาสนาต้องครบถ้วนทั้ง ๓ อย่าง ถ้ามีแต่เพียงการฟัง แต่ไม่มีใครสามารถประจักษ์จริงๆ อย่างนั้นได้ การฟังทั้งหมดของเราก็เป็นโมฆะ เหมือนกับฟังเรื่องที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ แต่ตามความเป็นจริงสิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริงพร้อมให้ผู้อบรมเจริญปัญญาสามารถประจักษ์ได้จริงๆ ก็ต้องศึกษาตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นฟัง สุตตามยปัญญา ขั้นคิดพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟังแล้ว จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา คือการอบรมเจริญปัญญาที่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงในขณะนี้ได้ ซึ่งก็ต้องยากขึ้นตามลำดับ ทั้งๆที่สิ่งที่มีจริงยากที่จะรู้ เพราะเกิดแล้วดับแล้ว เร็วมาก แต่ก็มีสิ่งอื่นเกิดอีก ปรากฏอีก ให้เข้าใจได้อีก ไม่มีวันจบ สิ่งที่จะปรากฏให้ศึกษามีอยู่ทุกขณะ แม้ไม่มีหนังสือเลย เพียงขั้นฟังก็สามารถค่อยๆพิจารณาเข้าใจได้