ฟังคลิป
https://www.dhammahome.com/audio/topic/5413
อ. สุจินต์ : "มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งเป็นห่วงว่า การเจริญกุศลของท่านจะไม่ครบ เพราะเหตุว่าท่านมีศีลและท่านก็เจริญปัญญาคือเจริญสติปัฏฐาน ท่านเข้าใจว่าคงจะขาดสมาธิ ซึ่งแต่ก่อนที่จะได้ฟังสติปัฏฐาน ท่านก็เป็นผู้ที่เจริญสมาธิบ้าง เจริญสมาธิมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนจากการเจริญสมาธิ มาเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ท่านผู้นั้นก็เข้าใจว่า ท่านได้ขาดกุศลไปประเภทหนึ่ง คือท่านมีศีลแล้วก็มีปัญญาแต่ว่า ขาดสมาธิ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งท่านเสียดายการที่กุศลของท่านจะไม่ครบ เพราะฉะนั้นท่านก็ทำสมาธิสักครึ่งชั่วโมง แต่ขอให้ทราบว่า
ในมรรคมีองค์ ๘ นั้นมีสัมมาสมาธิที่เกิดพร้อมกับสัมมาสติและสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ว่าผู้เจริญสติปัฏฐานจะไม่มีสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะขาดคุณธรรมหรือว่าจะขาดกุศลไปขั้นหนึ่ง
ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ในขณะนั้นมีสัมมาสมาธิเกิดร่วมกับสติ เกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิ และที่ชื่อว่า
เป็นสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ นั้น เพราะเหตุว่าเกิดร่วมกับสัมมาสติและสัมมาทิฏฐิ ความต่างกันของสัมมาสมาธิที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ กับสมาธิอื่นๆ นั้นก็คือว่า
สมาธิอื่นๆ (สมาธินอกมรรคมีองค์ ๘) ไม่ละความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน แต่สัมมาสมาธิที่เกิดพร้อมกับสติที่รู้ลักษณะของนามและรูปในขณะนั้น เป็นสัมมาสมาธิที่ละการเห็นผิดจากการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้นในขณะใดที่ระลึกรู้ลักษณะของนาม ระลึกรู้ลักษณะของรูป
ในขณะนั้นมีสัมมาสมาธิที่ละการยึดถืองานรูปว่าเป็นตัวตน ต่างกับสมาธิอื่นๆ ที่ไม่ได้ละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่ว่าขาดสมาธิ ในขณะที่สติระลึกรู้นามใดรูปใด ในขณะนั้นก็มีสัมมาสมาธิเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ต้องไปเจริญสมาธิอีกต่างหาก ซึ่งตลอดเวลาที่ท่านผู้นั้นนั่งทำสมาธิครึ่งชั่วโมง แต่ไม่รู้ลักษณะของนามรูป
ที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย ซึ่งแทนที่ท่านจะใช้เวลาทำสมาธิให้จดจ้องเพื่อให้จิตสงบ สติก็อาจจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามที่กำลังปรากฏ รูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้มากมายหลายขณะ
ซึ่งจะอุปการะเกื้อกูลให้เกิดปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของนามรูปที่กำลังปรากฏมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะละคลายได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม ก็มีต่างกันตามระดับของความเข้าใจ ถ้าเข้าใจผิดนิดเดียว กลัวว่าจะขาดสมาธิ ก็ไปทำสมาธิซึ่งตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่ทำสมาธิ แต่ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเลย บางท่านเกรงว่าจะขาดสมาธิก็อุตส่าห์ไปทำสมาธิครึ่งชั่วโมง ก็น่าเสียดายใช่ไหม เพราะเหตุว่าความเข้าใจผิดนิดเดียวก็ทำให้เป็นตัวตนที่ต้องการ ไม่รู้ลักษณะของนามและรูป ซึ่งแต่ละขณะที่สติระลึกในลักษณะของนามและรูปนั้นเป็นประโยชน์มาก เพื่อการละคลายในภายหลัง
แต่ถ้าสติไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปเลย จะละคลายความยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น
แต่ละขณะที่สติระลึกได้ มีคุณมาก มีประโยชน์มาก และการระลึกก็ระลึกเป็นปกติ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นนามธรรม"
ผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐานจะไม่ขาดสัมมาสมาธิ
อ. สุจินต์ : "มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งเป็นห่วงว่า การเจริญกุศลของท่านจะไม่ครบ เพราะเหตุว่าท่านมีศีลและท่านก็เจริญปัญญาคือเจริญสติปัฏฐาน ท่านเข้าใจว่าคงจะขาดสมาธิ ซึ่งแต่ก่อนที่จะได้ฟังสติปัฏฐาน ท่านก็เป็นผู้ที่เจริญสมาธิบ้าง เจริญสมาธิมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนจากการเจริญสมาธิ มาเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ท่านผู้นั้นก็เข้าใจว่า ท่านได้ขาดกุศลไปประเภทหนึ่ง คือท่านมีศีลแล้วก็มีปัญญาแต่ว่า ขาดสมาธิ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งท่านเสียดายการที่กุศลของท่านจะไม่ครบ เพราะฉะนั้นท่านก็ทำสมาธิสักครึ่งชั่วโมง แต่ขอให้ทราบว่า ในมรรคมีองค์ ๘ นั้นมีสัมมาสมาธิที่เกิดพร้อมกับสัมมาสติและสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ว่าผู้เจริญสติปัฏฐานจะไม่มีสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะขาดคุณธรรมหรือว่าจะขาดกุศลไปขั้นหนึ่ง ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ในขณะนั้นมีสัมมาสมาธิเกิดร่วมกับสติ เกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิ และที่ชื่อว่า เป็นสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ นั้น เพราะเหตุว่าเกิดร่วมกับสัมมาสติและสัมมาทิฏฐิ ความต่างกันของสัมมาสมาธิที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ กับสมาธิอื่นๆ นั้นก็คือว่า สมาธิอื่นๆ (สมาธินอกมรรคมีองค์ ๘) ไม่ละความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน แต่สัมมาสมาธิที่เกิดพร้อมกับสติที่รู้ลักษณะของนามและรูปในขณะนั้น เป็นสัมมาสมาธิที่ละการเห็นผิดจากการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้นในขณะใดที่ระลึกรู้ลักษณะของนาม ระลึกรู้ลักษณะของรูป ในขณะนั้นมีสัมมาสมาธิที่ละการยึดถืองานรูปว่าเป็นตัวตน ต่างกับสมาธิอื่นๆ ที่ไม่ได้ละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่ว่าขาดสมาธิ ในขณะที่สติระลึกรู้นามใดรูปใด ในขณะนั้นก็มีสัมมาสมาธิเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ต้องไปเจริญสมาธิอีกต่างหาก ซึ่งตลอดเวลาที่ท่านผู้นั้นนั่งทำสมาธิครึ่งชั่วโมง แต่ไม่รู้ลักษณะของนามรูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย ซึ่งแทนที่ท่านจะใช้เวลาทำสมาธิให้จดจ้องเพื่อให้จิตสงบ สติก็อาจจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามที่กำลังปรากฏ รูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้มากมายหลายขณะ ซึ่งจะอุปการะเกื้อกูลให้เกิดปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของนามรูปที่กำลังปรากฏมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะละคลายได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม ก็มีต่างกันตามระดับของความเข้าใจ ถ้าเข้าใจผิดนิดเดียว กลัวว่าจะขาดสมาธิ ก็ไปทำสมาธิซึ่งตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่ทำสมาธิ แต่ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเลย บางท่านเกรงว่าจะขาดสมาธิก็อุตส่าห์ไปทำสมาธิครึ่งชั่วโมง ก็น่าเสียดายใช่ไหม เพราะเหตุว่าความเข้าใจผิดนิดเดียวก็ทำให้เป็นตัวตนที่ต้องการ ไม่รู้ลักษณะของนามและรูป ซึ่งแต่ละขณะที่สติระลึกในลักษณะของนามและรูปนั้นเป็นประโยชน์มาก เพื่อการละคลายในภายหลัง แต่ถ้าสติไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปเลย จะละคลายความยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละขณะที่สติระลึกได้ มีคุณมาก มีประโยชน์มาก และการระลึกก็ระลึกเป็นปกติ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นนามธรรม"