ฟังคลิป :
https://www.dhammahome.com/audio/topic/2565
******************************************
อ. สุจินต์ : "มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า จะต้องศึกษาปริยัติธรรมละเอียดสักแค่ไหนจึงจะปฏิบัติ ซึ่งขอเรียนถามให้ทราบว่า ที่ว่าเป็นปริยัติธรรมที่ละเอียดนั้น
ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่อยู่ที่ทุกท่านในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง เพียงแต่ว่าท่านจะ
เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏที่ตัวท่านแต่ละบุคคลละเอียดแค่ไหน โดยไม่ละเอียดก็ทราบว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นในขณะนี้เป็นนามธรรมบ้าง เป็นรูปธรรมบ้าง เช่นกำลังเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นนามธรรม เสียงเป็นรูปธรรม ได้ยินเป็นนามธรรม เป็นต้น นี่โดยความไม่ละเอียด แต่แม้กระนั้นก็ยังยึดถือเห็น ยึดถือได้ยิน ยึดถือสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหูว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นนามธรรม และรูปธรรม ก็ยังไม่พอ
เพราะฉะนั้น ที่จะปฏิบัติธรรมไม่ใช่รอให้จบ ให้เรียนจบ หรือให้ละเอียดถึงขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ขณะใดที่ศึกษาเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่เกิดขึ้นปรากฏ แล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกได้ ตามที่ได้เข้าใจแล้ว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างที่ไม่ใช่ตัวตนนั้น สภาพธรรมใดไม่ใช่ตัวตนเพราะเป็นนามธรรมชนิดใด สภาพธรรมใดเป็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าเป็นสภาพของรูปธรรมประเภทใด แต่แม้กระนั้นทุกท่านก็กล่าวว่า หลงลืมสติมากเหลือเกิน ก็เพราะเหตุว่าการฟังหรือเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมยังไม่ละเอียดพอ ยังไม่เป็นพหูสูตร ยังไม่เป็นปัจจัยให้ตรึกพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ยินได้ฟัง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้น ชัดเจนขึ้น เป็นสัญญาที่มั่นคง ทำให้ไม่หลงลืม และสติก็สามารถเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ถ้าตราบใดยังขาดการฟังหรือเข้าใจความละเอียดของสภาพธรรม แม้สติเกิดบ้าง ปัญญาก็ยังไม่คมที่จะละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
ทำอย่างไรปัญญาจึงจะคมขึ้น เพราะเหตุว่าสติก็ไม่มีปัจจัยจะเกิดบ่อยเท่ากับอวิชชาหรืออกุศลธรรม ซึ่งสะสมพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ทางเดียว คือ ฟังพระธรรมโดยละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเครื่องปรุงประกอบเป็นสังขารขันธ์ เวลาที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมใด รูปธรรมใด ความเข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาโดยละเอียดยิ่งขึ้นของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นจะเกื้อกูลทำให้ปัญญาคมขึ้น เพราะเหตุว่ารู้ว่า สภาพนั้นๆ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอย่างไร ตามที่ได้ยินได้ฟัง"
จะต้องศึกษาปริยัติธรรมละเอียดสักแค่ไหน?
******************************************
อ. สุจินต์ : "มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า จะต้องศึกษาปริยัติธรรมละเอียดสักแค่ไหนจึงจะปฏิบัติ ซึ่งขอเรียนถามให้ทราบว่า ที่ว่าเป็นปริยัติธรรมที่ละเอียดนั้น ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่อยู่ที่ทุกท่านในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง เพียงแต่ว่าท่านจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏที่ตัวท่านแต่ละบุคคลละเอียดแค่ไหน โดยไม่ละเอียดก็ทราบว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นในขณะนี้เป็นนามธรรมบ้าง เป็นรูปธรรมบ้าง เช่นกำลังเห็นเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นนามธรรม เสียงเป็นรูปธรรม ได้ยินเป็นนามธรรม เป็นต้น นี่โดยความไม่ละเอียด แต่แม้กระนั้นก็ยังยึดถือเห็น ยึดถือได้ยิน ยึดถือสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหูว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นนามธรรม และรูปธรรม ก็ยังไม่พอ
เพราะฉะนั้น ที่จะปฏิบัติธรรมไม่ใช่รอให้จบ ให้เรียนจบ หรือให้ละเอียดถึงขั้นนั้นขั้นนี้ แต่ขณะใดที่ศึกษาเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่เกิดขึ้นปรากฏ แล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกได้ ตามที่ได้เข้าใจแล้ว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างที่ไม่ใช่ตัวตนนั้น สภาพธรรมใดไม่ใช่ตัวตนเพราะเป็นนามธรรมชนิดใด สภาพธรรมใดเป็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าเป็นสภาพของรูปธรรมประเภทใด แต่แม้กระนั้นทุกท่านก็กล่าวว่า หลงลืมสติมากเหลือเกิน ก็เพราะเหตุว่าการฟังหรือเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมยังไม่ละเอียดพอ ยังไม่เป็นพหูสูตร ยังไม่เป็นปัจจัยให้ตรึกพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ยินได้ฟัง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่แจ่มแจ้งขึ้น ชัดเจนขึ้น เป็นสัญญาที่มั่นคง ทำให้ไม่หลงลืม และสติก็สามารถเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ถ้าตราบใดยังขาดการฟังหรือเข้าใจความละเอียดของสภาพธรรม แม้สติเกิดบ้าง ปัญญาก็ยังไม่คมที่จะละการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
ทำอย่างไรปัญญาจึงจะคมขึ้น เพราะเหตุว่าสติก็ไม่มีปัจจัยจะเกิดบ่อยเท่ากับอวิชชาหรืออกุศลธรรม ซึ่งสะสมพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ทางเดียว คือ ฟังพระธรรมโดยละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเครื่องปรุงประกอบเป็นสังขารขันธ์ เวลาที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมใด รูปธรรมใด ความเข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาโดยละเอียดยิ่งขึ้นของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นจะเกื้อกูลทำให้ปัญญาคมขึ้น เพราะเหตุว่ารู้ว่า สภาพนั้นๆ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลอย่างไร ตามที่ได้ยินได้ฟัง"