รูปธรรม+นามธรรม สิ่งที่ทรงตรัสรู้เพื่อการดับทุกข์ จากการอบรมบารมี 4 อสงไขย 1 แสนมหากัปป์



ส.     ธรรมะที่ทรงตรัสรู้ทรงจำแนกออกได้หลายนัยยะ ประการแรกก็คือธรรมะที่มีจริง ๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย  ทรงใช้คำว่า “รูปธรรม”  รู ปะ ธรรมะ หรือรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่แม้มีแต่ก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย  ไม่คิด ไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะไม่รู้อะไร ลักษณะที่แข็ง สภาพที่เป็นเพียงแข็ง  ปวดหรือเจ็บหรือเปล่า ไม่ปวด ไม่เจ็บ ใช่ไหมคะ  เสียงล่ะคะ รู้อะไรบ้างหรือเปล่า หรือเป็นแต่เพียงความตังที่เกิดจากของแข็งกระทบกัน เป็นปัจจัยให้เกิดเสียงขึ้น แล้วเสียงก็ดับไป  ไม่ได้รู้เลย ใครจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน  ไม่ใช่ว่าเสียงจะต้องไปรู้อะไรทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น รูปธรรมทั้งหมดไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย  ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ภาษาไทยใช้ภาษาบาลีโดยที่ใช้คำ แต่ว่าไม่ได้ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เช่น สมัยนี้จะนิยมใช้คำว่า รูปธรรม เวลาที่มีโครงการที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ก็จะใช้คำว่ารูปธรรม แต่ว่าจริง ๆ ถ้าศึกษา แล้วก็ รูป หมายความถึงสภาพธรรมะที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เป็นธรรมะชนิดหนึ่งซึ่งมีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้

    เพราะฉะนั้น วันนี้ เราก็พอที่จะรู้ได้ว่า ธรรมมี แล้วอะไรเป็นรูปธรรมบ้าง  ที่ตัวมีรูปธรรมไหมคะ มี ใช่ไหมคะ ถ้ากระทบสัมผัสตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เราทำรูปนี้ขึ้นมาหรือเปล่า ไม่มีตัวตนที่จะทำ แต่มีเหตุปัจจัยที่จะให้รูปเกิด มีสมุฏฐาน ๔ อย่างที่ทำให้รูปเกิด คือ กรรมก็เป็นสมุฏฐาน ๑ จิตก็เป็นสมุฏฐาน ๑ อุตุ ความเย็น ความร้อน ก็เป็นสมุฏฐาน ๑ อาหารที่เราบริโภคเข้าไปก็เป็นสมุฏฐาน ๑ ที่ทำให้เกิดรูป แต่ถ้ามีเพียงรูป ไม่มีนามธรรมเลย จะเดือดร้อนไหมคะ ภูเขาไฟจะระเบิด น้ำจะท่วม ฝนจะตก ข้าวไม่มี พืชผลไม่ได้ผลเลย ลมฟ้าอากาศจะแปรปรวนอย่างไร  จะมีใครเดือดร้อนไหมคะ  ถ้าไม่มีนามธรรมหรือสภาพรู้

    เพราะฉะนั้น ธรรมะอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็ไม่มีใครสามารถจะไปบันดาลไม่ให้เกิด แต่สภาพธรรมะนี้ต้องเกิดเหมือนกับรูปธรรมก็ต้องเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย นามธรรมก็ต้องเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น นามธรรมเป็นสภาพรู้  หรือธาตุรู้  ไม่มีรูปใด ๆ เจือปนในธาตุชนิดนั้นเลย เคยศึกษาเรื่องธาตุต่าง ๆ ชื่อต่าง ๆ เป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรมคะ ธาตุที่ได้ศึกษามาแล้ว โดยวิชาการต่าง ๆ เป็นรูปธรรมทั้งนั้น แต่ไม่ใช่นามธาตุหรือนามธรรม

    สำหรับรูปธรรมต้องมองเห็น หรือว่ามองไม่เห็นก็เป็นรูปธรรม กำลังมีค่ะ ถ้าฟังจริง ๆ ธรรมะมีอยู่  ตอนนี้ปรมัตถธรรมมี ๒ อย่าง คือ รูปธรรมอย่างหนึ่งกับนามธรรมอีกอย่างหนึ่ง แล้วก็รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น คำถามต่อไป  รูปจำเป็นต้องมองเห็นเท่านั้นหรือ หรือว่าสิ่งที่มองไม่เห็นก็เป็นรูปด้วย  สิ่งที่มองไม่เห็นก็เป็นรูปด้วย เพราะอะไรคะ คำจำกัดความมีแล้ว ลักษณะของสภาพธรรมเปลี่ยนไม่ได้ สิ่งใดก็ตามที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น เป็นรูปธรรมทั้งหมด แสงสว่างที่กำลังปรากฏ รูปพรรณสัณฐานต่าง ๆ แล้วก็เสียงต่าง ๆ กลิ่นต่าง ๆ รสต่าง ๆ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวที่สามารถจะกระทบทางกายได้ เป็นรูป ซึ่งปรากฏตลอดชีวิต รูปมีเยอะ ในทางพระพุทธศาสนาจากการตรัสรู้มีรูป ๒๘ รูป แต่รูปที่ปรากฏทุกวันไม่พ้น ๗ รูป ทางตา ๑ รูป ขณะนี้ไม่เรียกอะไรก็ได้ ใช่ไหมคะที่กำลังปรากฏให้เห็น นั่นค่ะรูป ๑ ทางหูกำลังฟัง รูปกำลังปรากฏอีกรูป ๑ ทางจมูกมีรูปปรากฏไหมคะ ไม่มีหรือคะ เดี๋ยวนี้ไม่มี แต่เคยมีไหมคะ ทางจมูกมีรูปปรากฏได้ไหมคะ กลิ่น ไม่ปรากฏทางตา ไม่ปรากฏทางกาย กลิ่นต้องปรากฏทางจมูกเท่านั้น เมื่อกี้นี้คงรับประทานรสหลากหลาย ถ้าไม่มีจิตที่ลิ้มรส  รสจะปรากฏไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพรู้  เป็นใหญ่ เป็นประธาน สามารถเห็น สามารถได้ยิน สามารถได้กลิ่น สามารถลิ้มรส  สามารถรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย สามารถคิดนึก จิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นนามธาตุ ไม่มีรูปธาตุใด ๆ เจือปนเลย ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ลองคิดถึงธาตุชนิดนี้ ธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ  เช่นทางตา จิตเห็น รูปไม่เห็นอะไรเลย แต่ขณะนี้ที่เห็นเคยเป็นเราเห็น แต่ความจริงเป็นธรรมะชนิดหนึ่งซึ่งเป็นธาตุรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะเหตุว่าต้องอาศัยตาอย่างเดียวจึงจะเห็นได้ อาศัยหูก็เห็นไม่ได้ อาศัยจมูกก็เห็นไม่ได้

    นี่เป็นธรรมะหรือเปล่า คะ เป็นหรือไม่เป็นธรรมะ เป็นอนัตตาหรือเปล่าคะ เกิดขึ้นแล้วดับไปหรือเปล่าคะ เคยได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตรงไหมคะ อนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงที่นี่คือเกิดแล้วดับ เป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าใครจะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วขณะที่แสนสั้น แล้วก็ดับไปเลย ไม่กลับมาอีก ไม่มีอะไรสักอย่างที่กลับมา  จิตขณะแรกที่เกิด ทุกคนต้องมีจิตขณะแรกที่เกิด  ถ้าไม่มีจิตขณะแรกที่เกิด ขณะนี้ก็ไม่มีจิต เพราะว่าจะต้องสืบต่อทีละ ๑ ขณะจากขณะแรกจนถึงขณะนี้ จิตขณะแรกก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย จิตเห็นเมื่อกี้นี้ก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย  จิตได้ยินขณะนี้ก็เกิด แล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย

     เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ นี่คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ที่ใช้คำว่า ไตรลักษณะ สภาพธรรมะใดก็ตามไม่ว่านามธรรมหรือรูปธรรมทั้งสิ้นเกิดแล้วต้องดับอย่างรวดเร็ว แต่ต้องอาศัยพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ จึงทรงแสดงความจริงโดยละเอียด นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีใครแสดงอย่างนี้ไหมคะ เคยได้ยิน ได้ฟังใครแสดงก่อนนี้หรือเปล่าคะ แล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ขณะนี้ความจริงกำลังเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่