JJNY : 5in1 ‘พิธา-วิโรจน์’ช่วยหาเสียง│สว.กลุ่มอิสระแฉ│‘ชวลิต’จี้รัฐ│'ดร.อนุสรณ์'ชี้ไทยต้องปฏิรูป│กลาโหมญี่ปุ่นจ่อทุ่มงบ

‘พิธา-วิโรจน์’ ช่วย ‘โฟล์ค-ณฐชนน’ พรรคประชาชน หาเสียง เลือกตั้งซ่อมสส.พิษณุโลก เขต1
https://www.matichon.co.th/politics/news_4767721

พิธา เดินทางมาช่วย โฟล์ค-ณฐชนน ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 หมายเลข 1 พรรคประชาชน มั่นใจประสบการณ์หากได้รับเลือกสามารถทำหน้าที่ได้ทันที

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ก.ย.2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีต ส.ส.พิษณุโลก นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.พรรคประชาชน เขต 9 กทม. น.ส.สิริลภัส กองตระการ ส.ส.พรรคประชาชน เขต 14 กทม. และนายกฤษฐ์หิรัญ เลิศอุฤทธิ์ภักดี ส.ส.พรรคประชาชน เขต 1 จ.นครสวรรค์

ได้เดินทางไปปราศรัยช่วยหาเสียงให้กับ นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ หรือโฟล์ค ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 หมายเลข 1 พรรคประชาชน ที่บริเวณลานหน้าร้านสะดวกซื้อตรงข้าม กับ อบต.บึงพระ อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดยมีแฟนคลับและประชาชนไปร่วมรับฟังกว่า 100 คน

โดยนายพิธาได้กล่าวฝากพี่น้องประชาชนพร้อมแนะตัว “โฟล์ค” ช่วยพรรคมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล จนถึงพรรคประชาชน โดยช่วยหมออ๋อง ปดิพัทธ์ และวิโรจน์ ที่เป็นคณะกรรมาธิการทหาร อีกทั้งยังดูแลตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคในทุกเรื่อง มีความเชี่ยวชาญในด้านการทำงานเป็นปากเสียงให้กับพี่น้องประชาชน คนพิษณุโลกเลือกหมออ๋องมาแล้ว 2 สมัย 

จึงอยากฝากให้ชาวพิษณุโลกเขต 1 เลือกโฟล์คเข้ามาเป็น ส.ส.ของพรรคประชาชน เลือกวันที่ 15 ก.ย. โฟล์คมีประสบการณ์การทำงาน ก็สามารถทำหน้าที่ได้ทันที ในวันที่ 16 ก.ย. เพราะทำงานให้กับทางพรรคมาตลอด จากนั้นนายพิธา พร้อมคณะได้แห่รถหาเสียงไปรอบเขตตำบลบึงพระ ก่อนเดินทางไปปราศรัยหาเสียงที่ตลาดนัดวัดบางทราย ต.วังน้ำคู้ อ.เมืองพิษณุโลก และเดินทางกลับ กทม.ในช่วงเย็นวันนี้.



สว.กลุ่มอิสระ ร้องเลือกประธาน กมธ. 21 คณะอย่างอิสระ แฉล็อกโหวตเก้าอี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4767935
  
สว.กลุ่มอิสระ ร้องเลือกประธาน กมธ. 21 คณะอย่างอิสระ แฉล็อกโหวตเก้าอี้
 
ส.ว.กลุ่มอิสระ ประสานเสียงเรียกร้องเลือกประธาน กมธ. 21 คณะอย่างอิสระ ตรงตามความรู้ความสามารถ แฉล็อกโหวตล็อกเก้าอี้กันได้ ชี้ยิ่งทำสภาสูงเสียหายเข้าไปใหญ่ ด้าน “อังคณา” ซัดปิดประตูตายไม่ให้ ส.ว.เสียงข้างน้อย แม้แต่คนเดียว
 
เมื่อวันที่ 1 กันยายน นางอังคณา นีละไพจิตร สว.กลุ่มอิสระ กล่าวถึงการเลือกประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญประจำวุฒิสภา 21 คณะว่า หลังจาก กมธ.วิสามัญฯ พิจารณาข้อบังคับเสร็จแล้ว จะต้องนำเข้าที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อรับรองข้อบังคับ จากนั้นรอ ส.ว.ที่แปรญัตติว่าจะออกมาอย่างไร ตนได้ยินมานานแล้วจะมีการล็อกประธาน กมธ. มีการพูดกันว่า จะไม่ให้ ส.ว.กลุ่มอิสระเป็นประธาน กมธ.เลย ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ ส.ว.มี 200 คน มีการถามว่าใครอยากอยู่ กมธ.ไหน ความเห็นส่วนตัวที่มาจาก ส.ว.กลุ่มวิชาชีพ ก็ต้องมาดูว่าใครมีความรู้ความสามารถ ใครอยู่กลุ่มไหน บางคนก็ไม่อยากอยู่กลุ่มอาชีพที่ตนเข้ามา เวลาเลือกตนเห็นว่า ควรดูตามความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ไม่เอาแล้วการจับฉลาก
 
ส.ว.กลุ่มอิสระเป็นเสียงที่น้อยไม่ถึง 1 ใน 3 ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรถ้าใช้มติเสียงข้างมากก็แพ้อยู่ดี แต่ถ้าจะให้ประชาชนได้ประโยชน์ ผลงานวุฒิสภาออกมาดีต้องพิจารณาเลือกคนจากความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ แต่ถ้าจะเอาแค่มาเอาตำแหน่งได้เกียรติยศ พวกดิฉันก็คงสู้ไม่ได้ แต่กลุ่มดิฉันยืนยันเคยทำงานด้านที่ต้องการมาก็อยากทำงานต่อ แต่ถ้าสู้ไม่ได้ก็ต้องให้ประชาชนได้จับตามอง” นางอังคณากล่าว
 
นางอังคณากล่าวถึงท่าทีของประธานวุฒิสภาว่า ดูเวลาโหวต ส.ว.เสียงข้างน้อยก็แพ้ตลอด คนเป็นประธาน กมธ.มีห้องทำงาน มีงบรับรอง ได้เครื่องราชฯทุกปี ใครก็อยากเป็น แต่อยากบอกว่า ถ้าเอาประโยชน์เป็นที่ตั้ง ต้องดูความสามารถเป็นหลัก คนที่จะมาเป็นประธาน กมธ.จะต้องดูตัวเองด้วย ไม่ใช่เหมือนที่ได้ยินมาว่า ผลัดกันเป็นคนละปี ได้ฟังแล้วเป็นการเสนอประโยชน์กันเลย ไม่เหมาะสมเป็นผู้ใหญ่กันแล้วไม่ควรเป็นแบบนี้ จึงต้องรอดูการประชุมในวันพรุ่งนี้ (2 กันยายน)
 
ดิฉันดูแล้วเป็นเสียงข้างน้อยตลอด ถ้าเขาเอาคนของกลุ่มใหญ่มารวมอยู่ในกลุ่มที่ต้องการ พอลงมติเสียงข้างน้อยก็แพ้อยู่ดี และได้ยินมาว่า จะไม่ให้ สว.เสียงข้างน้อยได้เป็นประธาน กมธ. เลยแม้แต่คณะเดียว ส.ว.กลุ่มเสียงข้างน้อยก็ต้องออกมาช่วยกันยืนยันว่า พวกเรามีความรู้ความสามารถ ถ้าไม่ให้เป็นประธาน กมธ.เลยขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยจับตามอง” นางอังคณากล่าว
 
ด้าน นางประทุม วงศ์สวัสดิ์ ส.ว. กล่าวว่า ได้ยินข่าวมาเหมือนกันว่าจะมีการล็อกประธาน กมธ. ได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ตนมองว่าเป็นธรรมชาติ ถ้าคุณเจ๋งจริงเราหมอบได้ ยอมให้ทำงานตามที่ต้องการ แต่ถ้าคุณเอาหมอฟันมาทำคลอดแบบนี้เราไม่ยอมถือว่าผิดฝาผิดตัว ตนเป็น ส.ว.มาจากภาคการท่องเที่ยว แต่ถ้าจะเอาคนมาเป็นประธาน กมธ.ท่องเที่ยวและกีฬา เอาตำรวจ หรือเอาคนหัวสี่เหลี่ยมมาเป็นตนก็ไม่ยอมเพราะงานจะไม่ไปถึงไหนวนอยู่ที่เดิม เอาคนเดิมความคิดแบบเดิมงานก็จะได้แบบเดิมๆ ตนไม่ยอม
 
นางประทุมกล่าวว่า คนที่จะมาทำงานจะต้องมีความรู้ความสามารถ ขอวิงวอนการเมืองละเอาไว้ก่อน เพราะการทำงานต้องจริงจัง ตนเคยบอกว่า กีฬากับการท่องเที่ยวต้องแยกคณะกรรมาธิการกัน แต่ในที่สุดก็ไม่แยกเอามารวมกันจะปิดฝาปิดตัว ตนก็ต้องแปรญัตติ แต่การเลือกประธาน กมธ. 21 คณะถ้าจะล็อกเอาไว้ทั้งหมด ก็ไม่แฟร์ พวกเราต้องส่งเสียงดังทำอะไรสักอย่าง คิดว่าพวกเขาต้องฟังแต่ทุกอย่างลงเอยที่การโหวต ส.ว.หลายคนเห็นด้วยกับแนวคิดตน แต่ก็ต้องดูว่าเขาจะมีอิสระในการลงมติแค่ไหน ก็หวังว่าในวันโหวต ส.ว.จะมีอิสระ อนาคตจะต้องทำงานร่วมกัน ถ้าเอาคนไม่รู้เรื่องมาทำงาน ก็จะเสียหาย คนเราต้องทำงานร่วมกัน 5 ปี จะมองหน้ากันไม่ติด
 
กมธ. 21 คณะ ทราบว่าเขาจะแบ่งประธาน กมธ.มาให้ ส.ว.กลุ่มอิสระบ้าง เช่น กมธ.ต่างประเทศ เขาบอกว่าเขาไม่เอาเพราะไม่มีคน หาคนมาเป็นประธาน กมธ.ไม่ได้ สำหรับตนมาจากกลุ่มท่องเที่ยว ถ้าเอาคนที่ไม่ผิดฝาผิดตัวมา คัดเลือกเป็นประธาน กมธ.ดิฉันก็รับได้ และดิฉันก็จะลงแข่งด้วยตามกติกา ไม่ใช่เอาคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถที่ไหนมาแข่งไม่รู้ ดิฉันเป็นประชาธิปไตยถ้าแข่งขันกันและมีการโหวตแพ้ก็ยอมรับได้ตามกติกาประชาธิปไตย” นางประทุมกล่าว
 
ขณะที่ นายชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ส.ว.กลุ่มผู้สูงอายุ กล่าวว่า ได้ยินมาเหมือนกันว่ามีการล็อกประธาน กมธ. ทั้งที่ตำแหน่งประธาน กมธ.ควรสรรหาคนที่เหมาะกับงาน เลือกคนมีศักยภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนมากที่สุด ดีกว่าเลือกใครพวกใคร สำหรับกระบวนการเลือกประธาน กมธ.ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติสามารถทำได้ ใครสนใจสมัคร คณะไหน คนที่อยู่ในกลุ่มก็จะรู้ว่าใครมีความสามารถ แต่เมื่อเรามาอยู่ในระบบแบบนี้กังวลไปก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะกลุ่มที่เขาเข้ามาเป็นกลุ่มเป็นก๊วน เขาก็มีวิธีการของเขา
 
ผมอยากให้คิดว่าได้เข้ามาเป็น ส.ว.กันแล้ว มามองประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลักดีกว่า พวกเราต้องกู้ชื่อเสียงที่คนมองว่า มีกลุ่มก๊วนเข้ามายึดสภาสูงจริงเท็จเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนเขามองกันแบบนั้น ผมขอให้ ส.ว.ทั้ง 200 คนได้พิจารณาเอาประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นที่ตั้งหาคนที่เหมาะสมในแต่ละ กมธ. ท้ายสุดประโยชน์จะย้อนกลับมาที่ ส.ว.เอง สำหรับผมเป็น ศ.ดร. ได้อุทิศตัวช่วยคนพิการมาตลอดชีวิต สนใจที่จะเป็นประธาน กมธ.ผู้สูงอายุและผู้พิการ ซึ่งได้รวมเด็กเยาวชนสตรีเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย อีกคณะหนึ่งที่สนใจในฐานะอดีตเคยเป็นคณบดีที่จุฬาฯ และอยู่ใน สถาบันอุดมศึกษามาหลายปี สนใจตำแหน่งประธาน กมธ.การอุดมศึกษา” นายชาญณรงค์กล่าว




‘ชวลิต’จี้รัฐปรับระบบอาหารปลอดภัย รับมือผัก-ผลไม้จากจีนทะลัก
https://www.dailynews.co.th/news/3814716/

'ชวลิต'รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยห่วงรัฐบาลปล่อยนำเข้าผัก-ผลไม้จากจีนมหาศาล หวั่นทำลายเกษตรกรไทย ชี้ช่องโหว่ระบบตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหาร เสี่ยงทำคนไทยตายผ่อนส่
 
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีร้ายแรงในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีรถไฟขนส่งสินค้าผักและผลไม้แบบตู้แช่เย็น ข้ามพรมแดนขบวนแรกจากมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน มายังเวียงจันทน์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากนั้นขนถ่ายสินค้าทางถนนไปยังกรุงเทพมหานคร ซึ่งคาดว่าเส้นทางนี้จะมีการขนส่งผัก-ผลไม้ มากกว่า 50,000 ตันต่อปี นอกเหนือจากด่านอื่นทั่วประเทศ ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ว่าไทยนำเข้าผักและผลไม้ ปีละนับล้านตัน ด่านสำคัญ คือด่านเชียงของ จ.เชียงราย

นายชวลิต กล่าวอีกว่า เมื่อย้อนไปในปี 2562 ขณะที่ตนเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ปัญหาสารเคมีภาคเกษตรดังกล่าว พบว่าตามด่านชายแดนดังกล่าวไม่มีห้องแล็บสำหรับสุ่มตรวจผักและผลไม้ว่ามีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานหรือไม่ จึงต้องส่งตัวอย่างมาตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งไม่ทันกับเหตุการณ์ คนไทยจึงสุ่มเสี่ยงต่อการสะสมสารเคมีในร่างกายจากการรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งเท่ากับเป็นการตายผ่อนส่ง” สอดคล้องกับสถิติที่คนไทยมีสาเหตุการตายด้วยโรคมะเร็ง ปีละ 67,000 คน ชั่วโมงละ 8 คน ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันมาหลายสิบปี จริงอยู่แม้สาเหตุการเป็นโรคมะเร็งจะมีหลายสาเหตุ แต่งานวิจัยก็พบว่า การรับประทานผัก-ผลไม้ ที่มีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานก็เป็นสาเหตุของการเป็นโรคมะเร็งด้วยสาเหตุหนึ่ง 

ดังนั้น หากประเทศไทยปล่อยให้มีการนำเข้าผักและผลไม้ด้วยวิธีการทุ่มตลาด ก็จะเกิดผลเสียหายกับคนไทยและประเทศไทย อย่างน้อย 2 ประการ ดังนี้

1. เกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จะค่อย ๆ ล้มหายตายจาก เพราะศักยภาพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการปลูก การผลิตผัก-ผลไม้ ตลอดจนพื้นที่การเพาะปลูก ฯลฯ เราไม่อาจเทียบประเทศใหญ่ ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาสินค้า หากมีการดัมพ์ราคา เกษตรกรไทยไม่อาจสู้ได้เลย 
 
2. การสุ่มตรวจผักและผลไม้นำเข้า ว่ามีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานหรือไม่ อย.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ต้องสุ่มตัวอย่างส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ซึ่งไม่ทันเหตุการณ์ ทำให้คนไทยตายผ่อนส่งจากการรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารเคมีปนเปื้อนสะสมทุกวัน ๆ 

นายชวลิต กล่าวว่า ตนได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาว่า เนื่องจากไทยมีข้อตกลงเอฟทีเอ อาเซียน-จีน ภาษีสินค้าเกษตร เป็นศูนย์ การแก้ปัญหาดังกล่าวจึงควรอาศัยช่องทางทางการทูตที่ควรร้องขอว่า ประเทศใหญ่จะเอื้อประเทศเล็กอย่างไรให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างพี่อย่างน้องเช่นในอดีตที่เคยปฏิบัติกันมา ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ต้องปฏิรูปงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างขนานใหญ่ ในการพัฒนาการผลิตที่มีคุณภาพ ทั้งการลดต้นทุน ที่สำคัญต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งผลิตเพื่อตรวจสอบควบคุมการใช้สารเคมีไม่ให้มีการปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน ที่สำคัญ รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้าง “ค่านิยมไทย” เช่น ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ หรือไทยปลูก ไทยกิน ไทยเจริญ เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่