JJNY : หนุ่มเมืองจันท์เปิด 6เรื่องเล่า│‘โรม’ชี้’ทักษิณ’ต้องอยู่ภายใต้กติกา│เตรียมอภิปรายงบเพิ่ม│อัฟกานิสถานเผชิญฝนตกหนัก

หนุ่มเมืองจันท์ เปิด 6 เรื่องเล่านักธุรกิจไทย สุดเศร้า ถาม เมืองไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
https://www.matichon.co.th/economy/news_4683066
 
 
หนุ่มเมืองจันท์ เปิด 6 เรื่องเล่านักธุรกิจไทย สุดเศร้า ถาม เมืองไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
 
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายสรกล อดุลยานนท์ คอลัมนิสต์ชื่อดัง หนุ่มเมืองจันท์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก “6 เรื่องเศร้าของเมืองไทย” โดยว่า

1. มีผู้บริหารหนุ่มคนหนึ่งไปร่วมประชุม Summer Davos Forum ที่เมืองต้าเหลียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนของผู้นำระดับสูงและหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก
เขาเล่าว่าผู้นำประเทศใหญ่ๆ และนักลงทุนก็จะมาพูดคุยกับตัวแทนของไทยเหมือนกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
แต่ที่ผิดปกติก็คือ…
เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนเราเป็นผู้หญิง หนุ่มๆ ก็มาคุยกับเราเหมือนคุยกับสาวเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฯลฯ
พูดคุยกันดีมาก
แต่ตอนจบ หนุ่มคนนี้ขอเบอร์ทุกคน
ยกเว้นเรา
 
2. ผู้ใหญ่ด้านการเงินคนหนึ่ง เล่าว่า ทุกปีเขาจะพาบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยที่อยู่ในตลาดหุ้นไปโรดโชว์คุยกับนักลงทุนใหญ่ของโลก
เพื่อดึงดูดให้เขามาลงทุนในหุ้นบริษัทตัวเอง
แต่ปีนี้เป็นปีแรก ที่โทรไปหานักลงทุนใหญ่ๆ แล้วไม่มีใครอยากนัดคุยกับเรา
เหมือนกับรู้สึกว่า …เสียเวลา
 
3. ผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินอีกคนหนึ่ง เล่าว่า เขาไปเปิดสาขาที่เวียดนาม เจอคนเวียดนามทำงานแล้วตกใจ
ทุกคนขยันมาก ทำงานดึกๆ แทบทุกวัน
เลิกงานแล้วไม่ยอมเลิก
หลังโควิด เรียกพนักงานที่ทำงาน work from home กลับเข้ามาทำงานที่สำนักงาน
ไม่มีใครบ่ายเบี่ยงเลย
เขาเปรียบเปรยเรื่อง “ความมุ่งมั่น“ ของคนเวียดนามว่าพนักงานส่วนใหญ่ขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงาน
“แต่ผมเห็นสายตาของเขาตอนมองรถยนต์วิ่งผ่าน เหมือนกับจะบอกตัวเองว่าวันหนึ่งกูจะขับรถยนต์บ้าง”
 
4. เจ้าของบริษัทวัสดุก่อสร้างใหญ่รายหนึ่ง เล่าว่า เขาเคยมีโรงงานไม้อัดของตัวเอง แต่หลายปีที่ผ่านมาเจอ “ไม้อัดจีน” ถล่มตลาด
ทนอยู่ได้พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจปิดโรงงานไม้อัดเพราะสู้จีนไม่ได้
ตอนแรกโกรธ เพราะเชื่อว่าจีนทุ่มตลาด ตัดราคา
ล่าสุดมีนักลงทุนจีนมาขอซื้อที่ดินของเขาไปสร้างโรงงานไม้อัด
ยอมจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางทุกอย่างจนต้นทุนในการก่อสร้างโรงงานของเขาสูงกว่าคนไทย
แต่พอเริ่มผลิตไม้อัด ปรากฏว่าไม้อัดที่โรงงานนี้ขายลูกค้า
ถูกกว่าที่ซื้อจากเมืองจีนอีก
เมื่อเข้าไปดูโรงงาน เขารู้เลยว่าที่ไทยสู้จีนไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องการทุ่มตลาด
แต่เป็นเรื่องประสิทธิภาพในการผลิต
 
5. เจ้าของโรงงานประกอบรถอีวีรายหนึ่ง เล่าว่า เขาเคยใช้คนงานไทยประกอบรถยนต์
ตัวเลขเป๊ะๆ จำไม่ได้
ประมาณว่าคนงานไทย 50 คน ประกอบรถอีวีได้เดือนละ 5 คัน
แต่ลองใช้คนจีนมาทำบ้าง
แรงงานจีน 10 คน ผลิตได้เดือนละ 6 คัน
 
6. น้องคนหนึ่งทำธุรกิจเอสเอ็มอี เคยลองทำโฟกัสกรุ๊ปนักศึกษาจีนที่มาเรียนในเมืองไทย
เขาถามว่าทำไมเรียนจบแล้วอยากทำงานที่บ้านเรา
เธอตอบว่าข้อแรก เพราะเมืองไทยน่าอยู่
..ฟังแล้วปลื้ม
ข้อที่สอง ทำงานในเมืองไทย เธอได้เปรียบเพราะพูดภาษาจีนได้ บริษัทส่วนใหญ่ต้องการ
..มีเหตุผล
ข้อที่สาม ทำงานที่จีนการแข่งขันสูงมาก เธอสู้ไม่ได้ ถ้าทำงานที่จีนเธออยู่ระดับกลางถึงล่าง โอกาสที่จะขึ้นมาอยู่ระดับบนๆ ยาก
…น่าสงสาร
ข้อที่สี่ อยู่เมืองไทย ทำงานแข่งกับคนไทย
“สบายมาก”
เพราะเธอขยันกว่า
 
…เจ็บปวดมาก
ขอยืนยันว่าทุก “เรื่องเล่า” ได้ฟังมาจริงๆ
และเจ้าของเรื่องเล่าแต่ละคน เอ่ยชื่อแล้วคนส่วนใหญ่รู้จัก
ขอย้ำว่าทุกคนไม่ได้สนุกกับ ”เรื่องเล่า“ ของตัวเองเลย
แต่เล่าด้วย “ความเจ็บปวด”
เมืองไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?

https://www.facebook.com/boycitychanFC/posts/1059424735543990



‘โรม’ชี้’ทักษิณ’หวนคืนการเมืองต้องอยู่ภายใต้กติกา
https://www.dailynews.co.th/news/3646992/
 
‘โรม’ชี้’ทักษิณ’หวนคืนการเมืองต้องอยู่ภายใต้กติกา ลั่น’ก้าวไกล’พร้อมตรวจสอบ ย้ำใครคือนายกฯ กันแน่ 
 
เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์​ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมตัวเข้ามาทำงานในช่วงเดือนส.ค.หลังจากการพ้นโทษอย่างเป็นทางการ ว่า เป็นสิทธิของนายทักษิณที่ทำได้ หากเป็นไปตามมกฎหมาย ทั้งนี้การตั้งดังกล่าวหากเป็นจริงต้องไม่ขัดกับกฎหมาย แต่ตนไม่ทราบรายละเอียดต้องไปพิจารณาอีกครั้งว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ดีในทางการเมืองมีฝ่ายที่คัดค้านกับบทบาทของนายทักษิณ แต่หากนายทักษิณมีความรับผิดชอบบางอย่างอย่างเป็นทางการและตามกฎหมาย พรรคก้าวไกลฐานะฝ่ายตรวจสอบพร้อมจะตรวจสอบอำนาจ การใช้งบประมาณว่าถูกต้องหรือไม่
 
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ในมุมมองของตน มองว่าบทบาทของนายทักษิณที่ลงพื้นที่และมีรัฐมนตรีเดินตาม ทำให้เกิดคำถามว่า ใครคือนายกฯ ตัวจริง เพราะเมื่อมีรัฐมนตรีเดินตามนายทักษิณ ไม่ส่งผลดีต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ แน่นอน
 
เมื่อถามว่าการเดินสายของนายทักษิณ มีมิติที่ส่งสัญญาณใดๆ ในทางการเมืองหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คนที่เฝ้ามองการเมืองยอมรับว่าคงคิดมาก แต่ปฏิเสธวาระเชื่อมโยงทางการเมืองไม่ได้ ทั้งนี้ฐานะที่ตนเป็น สส.​ทำงานในสภา ให้ความสำคัญกับประเด็นการทำงาน หากต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือดำเนินนโบายบางอย่างเพื่อประโยชน์ประเทศ ประชาชน ต้องคุยกับใคร 
 
เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ หากมีลักษณะ ที่มีนายกฯ สองคน จะมีปัญหาต่อกรบริหารราชการรแน่นอน เช่น สมัยก่อนที่เมียนมา พบว่ามีอองซาน ซูจี เป็นผู้ที่มีบทบาท แต่เป็นนายกฯไม่ได้ ซึ่งเป็นภาวะที่ดูไม่ปกติ ผมไม่รู้ว่า คุณทักษิณคิดโมเดลแบบนี้หรือไม่ แต่หากไม่ว่าจะใช้โมเดลไหน ประเทศมีปัญหาแน่นอน” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวของนายทักษิณมองว่า ส่งผลถึงพรรคก้าวไกลหรือไม่ทั้งในการเมืองท้องถิ่นหรือระดับชาติ  นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การเมืองท้องถิ่น หรือระดับชาติต้องว่าตามมกติกา โดยในยุคนี้ประชาชนอยากเห็นการเมืองมีสถียรภาพ การเมืองที่ไม่ได้เล่นละคร ต้องตรงไปตรงมา ซึ่งจุดขายของพรรคก้าวไกล คือ ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ซึ่งได้รับการตอบสนองที่ดีจากประชาชน คนอยากเห็นการเมืองลักษณะแบบนี้ หากเป็นผู้ใช้อำนาจต้องใช้อำนาจอย่างตรงไปตรงมา หากเป็นการเมืองแบบชักใย มีคนที่ใช้อำนาจ แต่อีกคนที่รับผิดชอบทำให้การบริหารราชการมีปัญหา ตนเชื่อว่าประชาชนไม่อยากเห็นการเมืองแบบนี้ หากนายทักษิณมีตำแหน่ง ทางการเมือง ซึ่งไม่แน่ใจว่าแบบไหน นายทักษิณต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบ ทั้งนี้ตนมองว่าวันนี้สังคมรู้สึกว่า ระหว่างนายเศรษฐา กับ นายทักษิณ ใครมีอำนาจมากกว่ากัน
 
เมื่อถามย้ำว่ามีคนมองว่าการเดินสายของนายทักษิณคือการช่วงชิงมวลชนจากก้าวไกล นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การแข่งขันเพื่อชิงมวลชน หรือ นโยบายเป็นเรื่องต้องแข่งกันทั้งสองพรรค  และเป็นธรรมดาของการเมือง อย่างไรก็ดีการทำแบบนั้นต้องว่าไปตามกติกา ยืนยันว่าในมมุมมองของตนต้องการเห็นประเทศเดินหน้า พัฒนา ฐานะฝ่ายค้าน มีบทบาทตรวจสอบ เสนอแนะ รัฐบาลทำหรือไม่ บังคับไม่ได้ อยู่ที่รัฐบาลพิจารณา และสังคมส่งเสียง หากนายทักษิณ ประสงค์ใช้อำนาจต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของฝ่ายค้านเช่นเดียวกัน.



ฝ่ายค้านเตรียมอย่างน้อย 14 สส. อภิปรายงบเพิ่มดิจิทัลวอลเล็ต
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_746804/

ประธานวิปฝ่ายค้าน จัดอย่างน้อย 14 สส.อภิปรายงบฯเพิ่มดิจิทัลวอลเล็ต มุ่งชี้ให้ห็น ความคุ้มค่า ข้อกังวัลเกี่ยวกับโครงการนี้ ยันฝ่ายค้านไม่เคยคิดยื่นศาลปกครอง
  
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการประชุมวิปฝ่ายค้านวันนี้ ว่ามีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 2567 ที่จะเข้าสภาผู้แทนราษฎร ในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ค.)
 
ซึ่งร่างดังกล่าวเสนอเข้ามาเพื่อจะนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตล้วนๆ ซึ่งเราได้มีการเชิญหน่วยงานต่างๆ มาสอบถามในรายละเอียดว่าแต่ละหน่วยงานมีความเห็นอย่างไร มีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง สำหรับคนอภิปรายของพรรคก้าวไกลมีรายชื่อออกมาแล้วประมาณ 10-11 คน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์แจ้งมา3 คน แต่คาดว่าจะมีเพิ่ม และพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นๆ ก็มีการร่วมอภิปรายด้วยเช่นกัน
  
โดยเนื้อหาการอภิปรายจะเกี่ยวข้องกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่น่าจะมีหลายแง่มุม ทั้งข้อกฎหมาย การจัดสรรงบประมาณและความคุ้มค่า งบประมาณและข้อกังวลต่างๆเกี่ยวกับโครงการนี้ ซึ่งข้อกังวลจะมีความหลากหลาย ทั้งการใช้งบประมาณ ที่รัฐบาลพยายามเบ่ง งบที่ขาดดุลมากที่สุด ทำให้เสียโอกาสโครงการอื่นที่อาจจะไม่ สามารถทำได้ เพราะงบประมาณถูกใช้ไปเต็มกรอบวงเงินแล้ว
 
ซึ่งเราได้มีการสอบถาม นายกรัฐมนตรีไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า งบกลางของ ปี 67 มีการเบิกใช้ไปค่อนข้างน้อย ซึ่งเราได้ตั้งข้อสันนิษฐานไปว่ารัฐบาลพยายามกั๊ก หรือบริหารจัดการ ไม่ยอมใช้งบกลางในเรื่องอื่นๆ เพื่อให้มีงบประมาณมาทำโครงการนี้ให้ได้ ถ้าเราเสียโอกาสในการแก้ปัญหาในโครงการอื่นๆ
 
แล้ววัดดวงกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้นโยบายเงินโอน แบบนี้สร้างตัวคูณ ทางการคลังน้อยมาก และคาดว่าล่าสุดรัฐบาลก็ทราบแล้ว ที่ออกมายอมรับว่าตัวคูณทางการคลัง จะถึง 0.5 ด้วยซ้ำ ซึ่งตนก็ไม่มั่นใจว่าจะคุ้มค่ากับการที่ยอมเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำโครงการนี้หรือไม่
 
หลายคนอาจมองว่าเป็นการทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ แต่ตนอยากให้มองว่าเวลาพูดถึงนโยบายที่หาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายที่ใช้งบประมาณอยากให้มองเป็น 3 ส่วน คืองบประมาณเอามาจากไหน เอาไปทำอะไร และผลจะเกิดขึ้นคืออะไร
 
หากย้อนกลับไปตอนที่พรรคเพื่อไทยเลือกตั้ง บอกว่านโยบายนี้จะไม่กู้ ไม่แบ่งงบประมาณขนาดนี้ด้วยซ้ำ โดยบอกว่าจะมีการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น ลดงบประมาณที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งที่มาของงบประมาณก็ถูกเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือเค้าเดิม เหลือแค่อย่างเดียว คือการแจกเงิน 10,000 บาท ไม่ถ้วนหน้าด้วยซ้ำ นโยบายก่อนเลือกตั้งหาเสียงไว้สวยหรู
 
แต่ถ้ามองความจริงนโยบายที่หาเสียงไว้ กับนโยบายที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่นโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้เลย เพราะเป็นคนละนโยบาย จึงอยากชวนประชาชนจับตาถ้าทำโครงการนี้จริง ค่าเสียผลประโยชน์ของประเทศมีอะไรบ้าง ผลลัพธ์สุดท้าย ดีตามที่หาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้งหรือไม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่