โฆษกรัฐบาล โต้ข่าวโรงงานปิดเพิ่มขึ้น กางตัวเลขยันยืนเปิดกิจการและจ้างงานใหม่สูงกว่าจำนวนที่ปิดตัว 73.77% แนะกิจการต้องปรับตัวตามกระแสโลก
วันที่ 12 กรกฎาคม 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการปิดกิจการโรงงานที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ว่า ข้อเท็จจริงคือเป็นธรรมดาที่ในแต่ละปี ย่อมมีทั้งกิจการโรงงานที่ต้องปิดตัวลงและเลิกจ้างงาน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน ขณะเดียวกันก็มีกิจการโรงงานใหม่ ๆ มาทดแทน พร้อมกับการจ้างงานใหม่ที่เกิดขึ้น.
ขณะเดียวกัน มีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน อัตราส่วนจำนวนโรงงานเปิดใหม่ สูงกว่าปิดกิจการถึง 73.77%
โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงระยะเวลาตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 2567 มีมูลค่าการลงทุนของการเปิดโรงงานใหม่ในประเทศไทยถึง 149,889 ล้านบาท ส่วนโรงงานเดิมที่มีการขยายกิจการมีการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,748 ล้านบาท
ในขณะที่การปิดกิจการ คิดเป็นมูลค่า 14,042 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่ามีเงินลงทุนมากกว่าปิดกิจการกว่า 10 เท่า นอกจากนี้ ในด้านการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การเปิดโรงงานใหม่มีการจ้างงานถึง 33,787 คน ส่วนการปิดกิจการมีการเลิกจ้างงาน 12,551 คน แสดงให้เห็นว่าการจ้างงานมีมากกว่าการเลิกจ้างงานจากการปิดกิจการคิดเป็น 169%
นายชัยกล่าวย้ำว่า รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้วางนโยบายเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
โดยในระยะสั้น ได้แก่ การกระตุ้นตลาดในประเทศ ออกมาตรการกระตุ้นการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ พัฒนาสมรรถนะแรงงานด้านเทคโนโลยีการผลิตในประเทศ สนับสนุนเงินทุนเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง เชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต และส่งเสริมการลงทุน
รวมทั้งมาตรการระยะยาว ได้แก่ มุ่งปรับอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ต้องการของโลก พัฒนาปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่โลกต้องการ และส่งเสริม Green Productivity เพิ่มผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม สร้างความเข้มแข็งควบคู่ไปกับความยั่งยืน
“นายกรัฐมนตรีมุ่งขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เติบโต และเมื่อพิจารณาจากตัวเลขของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตัวเลขการเปิดตัวของโรงงานยังเป็นไปด้วยดี และดีกว่าตัวเลขในสองปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งตัวเลขการจ้างงานยังมีสูงกว่าการเลิกจ้างมาก แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญกับความอยู่รอดของผู้ประกอบการ การดำรงชีวิต วิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน
พร้อมส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศด้วยมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมอนาคต ทั้งนี้ ขอชี้แจงด้วยหลักฐานและเหตุผล การดำเนินกิจการต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกธุรกิจเป็นธรรมดา ซึ่งรัฐบาลได้วางแนวทางให้การช่วยเหลือประชาชนให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” นายชัยกล่าว
ที่มา :
https://www.prachachat.net/politics/news-1605792
รัฐบาล กางตัวเลขโต้ข่าว “โรงงานแห่ปิด” ยันธุรกิจ-การจ้างงานสูงขึ้น
วันที่ 12 กรกฎาคม 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการปิดกิจการโรงงานที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ว่า ข้อเท็จจริงคือเป็นธรรมดาที่ในแต่ละปี ย่อมมีทั้งกิจการโรงงานที่ต้องปิดตัวลงและเลิกจ้างงาน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน ขณะเดียวกันก็มีกิจการโรงงานใหม่ ๆ มาทดแทน พร้อมกับการจ้างงานใหม่ที่เกิดขึ้น.
ขณะเดียวกัน มีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน อัตราส่วนจำนวนโรงงานเปิดใหม่ สูงกว่าปิดกิจการถึง 73.77%
โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงระยะเวลาตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 2567 มีมูลค่าการลงทุนของการเปิดโรงงานใหม่ในประเทศไทยถึง 149,889 ล้านบาท ส่วนโรงงานเดิมที่มีการขยายกิจการมีการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,748 ล้านบาท
ในขณะที่การปิดกิจการ คิดเป็นมูลค่า 14,042 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่ามีเงินลงทุนมากกว่าปิดกิจการกว่า 10 เท่า นอกจากนี้ ในด้านการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การเปิดโรงงานใหม่มีการจ้างงานถึง 33,787 คน ส่วนการปิดกิจการมีการเลิกจ้างงาน 12,551 คน แสดงให้เห็นว่าการจ้างงานมีมากกว่าการเลิกจ้างงานจากการปิดกิจการคิดเป็น 169%
นายชัยกล่าวย้ำว่า รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้วางนโยบายเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
โดยในระยะสั้น ได้แก่ การกระตุ้นตลาดในประเทศ ออกมาตรการกระตุ้นการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศ พัฒนาสมรรถนะแรงงานด้านเทคโนโลยีการผลิตในประเทศ สนับสนุนเงินทุนเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง เชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต และส่งเสริมการลงทุน
รวมทั้งมาตรการระยะยาว ได้แก่ มุ่งปรับอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ต้องการของโลก พัฒนาปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่โลกต้องการ และส่งเสริม Green Productivity เพิ่มผลิตภาพของภาคอุตสาหกรรม สร้างความเข้มแข็งควบคู่ไปกับความยั่งยืน
“นายกรัฐมนตรีมุ่งขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เติบโต และเมื่อพิจารณาจากตัวเลขของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ตัวเลขการเปิดตัวของโรงงานยังเป็นไปด้วยดี และดีกว่าตัวเลขในสองปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งตัวเลขการจ้างงานยังมีสูงกว่าการเลิกจ้างมาก แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญกับความอยู่รอดของผู้ประกอบการ การดำรงชีวิต วิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน
พร้อมส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศด้วยมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมอนาคต ทั้งนี้ ขอชี้แจงด้วยหลักฐานและเหตุผล การดำเนินกิจการต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกธุรกิจเป็นธรรมดา ซึ่งรัฐบาลได้วางแนวทางให้การช่วยเหลือประชาชนให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” นายชัยกล่าว
ที่มา :https://www.prachachat.net/politics/news-1605792