NIDA โพลมองปี68 การเมืองวุ่นศก.แย่เชื่อรบ.อิ๊งค์อยู่ยาวมีปรับครม.
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_824571/
“นิด้าโพล”มองการเมือง68 วุ่นวายเหมือนเดิม แต่ 51.22% เชื่อ รบ.แพทองธารอยู่ยาวตลอดปี มีปรับ ครม. ในขณะเศรษฐกิจ-คุณภาพชีวิตประชาชนแย่
“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “
การเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต ในปี 2568” โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง
ซึ่งจากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไป ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ร้อยละ 50.61 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 39.92 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 7.33 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายน้อยลง และร้อยละ 2.14 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะไม่วุ่นวายเลย
ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในปี 2568 พบว่า ร้อยละ 51.22 ระบุว่า นายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 15.34 ระบุว่า จะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 15.04 ระบุว่า จะเกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล และทำให้รัฐบาลล่ม
ร้อยละ 5.88 ระบุว่า นายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร จะลาออก ร้อยละ 5.73 ระบุว่า นายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร จะโดนชุมนุมขับไล่ ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 3.05 ระบุว่า จะโดนรัฐประหาร ร้อยละ 2.82 ระบุว่า นายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร จะโดนคดีความทางการเมืองจนต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 1.76 ระบุว่า นายกรัฐมนตรี
แพทองธาร ชินวัตร จะเปิดทางให้นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 32.82 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่ลง ร้อยละ 21.99 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น และร้อยละ 10.84 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีเหมือนเดิม
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปในสังคมไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.43 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 33.20 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่ลง ร้อยละ 20.46 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทยจะดีขึ้น และร้อยละ 11.91 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีเหมือนเดิม
โชห่วยโอด กำลังซื้อซบเซา คนไม่เชื่อมั่น ใช้จ่ายน้อย ห่วงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4984761
โชห่วยโอด กำลังซื้อซบเซา คนไม่เชื่อมั่น ใช้จ่ายน้อย ห่วงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด
เมื่อวันที่ 4 มกราคม นาย
สมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า กำลังซื้อโดยรวมในปัจจุบันยังคงซบเซาต่อเนื่องมาจากปี 2567 ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค ไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้น คงต้องรอรัฐบาลเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ แต่ก็เป็นการกระตุ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับเฟสแรก
ส่วนมาตรการอีซี่ อี-รีซีท ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาทนั้น ทางผู้ประกอบการค้าปลีกรายเล็กไม่ได้อานิสงส์ แต่ถ้าหากเป็นโครงการคนละครึ่งเหมือนที่ผ่านมาก็น่าจะตอบโจทย์มากกว่า เนื่องจากเข้าถึงกลุ่มรากหญ้า
“
ทั้งนี้ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากนัก ทำให้คนไม่ค่อยมีความมั่นใจ ด้านรายได้ จะไม่กล้าใช้เงิน ซื้อเท่าที่จำเป็น เป็นของกิน ของใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงอาจจะทำให้เห็นการเริ่มเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในบางครอบครัวได้” นาย
สมชายกล่าว
อสังหายื่น อิ๊งค์-ธปท. โด๊ปกำลังซื้อ ต่ออายุมาตรการลดค่าโอน หั่นภาษีที่ดิน เลิก LTV
https://www.matichon.co.th/economy/news_4984754
อสังหายื่น อิ๊งค์-ธปท. โด๊ปกำลังซื้อ ต่ออายุมาตรการลดค่าโอน หั่นภาษีที่ดิน เลิก LTV
เมื่อวันที่ 4 มกราคม นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงประเมินยาก เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นปี อย่างไรก็ดีจากมาตรการต่างๆที่รัฐบาลกำลังจะเริ่มคิกออฟ เช่น แจกเงิน 10,000 เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ โครงการอีซี่ อีรี-ซีท ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท รวมถึงมาตรการแก้หนี้”คุณสู้เราช่วย”ที่กำลังเปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ หรือบ้านเพื่อคนไทย ไม่มีเงินดาวน์ ผ่อนเดือนละ 4,000 บาท ครบ 30 ปี ได้สิทธิเช่ายาว 99 ปี ถือว่าเป็นมาตรการที่ดี แต่บางมาตรการอาจต้องใช้เวลา คงไม่ได้เห็นผลเร็วมากนัก เช่น มาตรการแก้หนี้ และในบางมาตรการอาจจะต้องมีมาตรการอื่นมาสนับสนุนร่วมกันด้วย เช่น บ้านเพื่อคนไทยก็ต้องมีเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายมาร่วมด้วย เป็นต้น
“
ภาคเอกชนเอง อยากให้ทุกมาตรการที่รัฐประกาศออกมานั้นสามารถดำเนินการได้สำเร็จ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยได้รับการขับเคลื่อนไปข้างหน้าและมีการขยายตัวได้มากขึ้น ทั้งในส่วนของธุรกิจอสังหาฯถือเป็นส่วนหนึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะเกี่ยวเนื่องกับหลายธุรกิจ เช่น การก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ”นายอิสระกล่าว
นาย
อิสระกล่าวว่า เพื่อให้ตลาดอสังหาฯได้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ประมาณกลางเดือนมกราคม 2568 ทั้ง 7 องค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย คณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย จะทำหนังสือถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้พิจารณาต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก
ประกอบด้วย ลดค่าธรรมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสอง ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท, การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)และธนาคารออมสิน, ลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหลือ 50% เป็นระยะเวลา 1 ปี, ขอให้ประสานกระทรวงมหาดไทย เพื่อติดตามการพิจารณาลดขนาดที่ดินในโครงการจัดสรร ได้แก่ บ้านเดี่ยว จากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวา(ตร.ว.) เป็นไม่ต่ำกว่า 35 ตร.ว. บ้านแฝดจากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 35 ตร.ว. เป็นเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 28 ตร.ว. บ้านแถวหรืออาคารพาณิชย์ จากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 16 ตร.ว. เป็นเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 14 ตร.ว. เพื่อให้สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม โดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองที่ราคาที่ดินสูง
“
ส่วนเรื่องขยายระยะเวลาการเช่าจาก 30 ปี เป็น 99 ปี และกำหนดให้การเช่าเป็นทรัพยสิทธินั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจยังต้องใช้เวลา หากสามารถดำเนินการได้ ถือว่าเป็นการวางโครงสร้างการอยู่อาศัยและการใช้ที่ดินในระยะยาวของประเทศ เพราะประเทศไทยมีการส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยว ความต้องการความมั่นคงเรื่องที่สิทธิการเช่าจึงต้องตามมาด้วย รวมถึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้ประกอบการและแลนด์ลอร์ดที่ไม่ต้องการขายที่ดิน” นาย
อิสระกล่าว
นาย
อิสระกล่าวว่า นอกจากนี้จะทำหนังสือถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณาผ่อนคลายมาตรการLTV ชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี ให้สามารถกู้ได้ 100% สำหรับการซื้อบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 ซึ่งเป็นอีกมาตรการที่มาสนับสนุนมาตรการคลัง เช่น ลดค่าโอนและค่าจดจำนอง และช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมคึกคักขึ้น
“
ถ้าหากภาครัฐและธปท.ไม่มีการพิจารณาต่ออายุมาตรการกระตุ้น และผ่อนคลายมาตรการLTV จะมีผลทำให้ตลาดอสังหาฯและธุรกิจเกี่ยวเนื่องชะลอตัวมากขึ้นและอาจแย่กว่าปี 2567 อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากมีการอนุมัติมาตรการ จะช่วยให้ตลาดไม่แย่กว่าเดิมและพลิกเป็นบวกได้เล็กน้อย ทั้งนี้จากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวแข็งแรง อยากให้ต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เชื่อว่ารัฐบาลคงจะพิจารณาเพื่อให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้เดินหน้าต่อไป”นาย
อิสระกล่าว
นาย
สุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ภาพรวมยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2567 ติดลบเป็นเลขสองหลัก แต่ยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมทั่วประเทศตลอดปี 2567 จากสถิติของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ติดลบ 4% เนื่องจากมีการโอนฯบ้านมือสองที่เติบโตขึ้นมาช่วยไว้ได้ เมื่อรวมกับยอดติดลบอย่างหนักของบ้านมือหนึ่งแล้ว จึงทำให้ช่วยพยุงตลาดโดยรวมติดลบประมาณ 4%
“ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการปรับฐานของอสังหาริมทรัพย์ คือ เป็นอีกปีที่ต้องมีการระบายสต๊อกเดิม ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่ยังมีไม่มาก เนื่องจากกำลังซื้อยังเปราะบาง จึงจำเป็นต้องอาศัยมาตรการของรัฐในการกระตุ้น ตามที่ 7 องค์กรด้านอสังหาฯ ร่วมกันทำหนังสือจะเสนอต่อนายกรัฐมนตรีสาระสำคัญ คือ การลดค่าโอน ค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% ขอให้ธปท. ผ่อนคลายมาตรการLTV เพื่อให้กลุ่มผู้มีกำลังซื้อหรือ กลุ่มKขาบน ส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ สามารถซื้ออสังหาฯเพิ่มได้มากกว่า 2-3 ยูนิต เป็นเวลาประมาณ 2 ปี เพื่อเป็นการพยุงภาวะตลาดไม่ให้ตกต่ำลงมากกว่านี้” นาย
สุนทรกล่าว
นาย
อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงโอกาสของประเทศไทยในปี 2568 ว่า เป็นเรื่องการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆจากต่างประเทศที่จะเข้ามามากขึ้น เนื่องจากศักยภาพของประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค เช่น ย่านอีอีซี ที่มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนและไต้หวันเข้ามา เช่น รถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ดาต้าเซ็นเตอร์ การผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เป็นต้น ซึ่งภาครัฐก็พยายามออกมาตรการสนับสนุน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ด้านต่างๆ ทั้งอาหารและวัฒนธรรม รวมถึงผลักดันการลงทุนด้านเวลเนส การแพทย์ รวมถึงเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และโครงการแลนด์บริดจ์
“
ทุกอย่างล้วนเป็นโอกาสหมดก็ต้องหาจุดเด่นและเร่งดำเนินการ ให้สอดรับกับเทรนด์และการเปลี่ยนแปลงของโลก เมื่อเรามีโอกาสก็ต้องคว้าไว้ ไม่ว่าการลงทุนพลังงานสะอาด เอไอไม่ว่ายังไงก็ต้องมา” นาย
อุทัยกล่าว
JJNY : ปี68 การเมืองวุ่นศก.แย่│โชห่วยโอด กำลังซื้อซบเซา│ อสังหายื่นโด๊ปกำลังซื้อ│ออสเตรียยึดแบรนด์เนมปลอม ต้นทางจากไทย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_824571/
“นิด้าโพล”มองการเมือง68 วุ่นวายเหมือนเดิม แต่ 51.22% เชื่อ รบ.แพทองธารอยู่ยาวตลอดปี มีปรับ ครม. ในขณะเศรษฐกิจ-คุณภาพชีวิตประชาชนแย่
“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “การเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต ในปี 2568” โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง
ซึ่งจากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไป ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ร้อยละ 50.61 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 39.92 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 7.33 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายน้อยลง และร้อยละ 2.14 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะไม่วุ่นวายเลย
ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในปี 2568 พบว่า ร้อยละ 51.22 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 15.34 ระบุว่า จะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 15.04 ระบุว่า จะเกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล และทำให้รัฐบาลล่ม
ร้อยละ 5.88 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะลาออก ร้อยละ 5.73 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนชุมนุมขับไล่ ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 3.05 ระบุว่า จะโดนรัฐประหาร ร้อยละ 2.82 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนคดีความทางการเมืองจนต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 1.76 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะเปิดทางให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 32.82 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่ลง ร้อยละ 21.99 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น และร้อยละ 10.84 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีเหมือนเดิม
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปในสังคมไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.43 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 33.20 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่ลง ร้อยละ 20.46 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทยจะดีขึ้น และร้อยละ 11.91 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีเหมือนเดิม
โชห่วยโอด กำลังซื้อซบเซา คนไม่เชื่อมั่น ใช้จ่ายน้อย ห่วงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4984761
โชห่วยโอด กำลังซื้อซบเซา คนไม่เชื่อมั่น ใช้จ่ายน้อย ห่วงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด
เมื่อวันที่ 4 มกราคม นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า กำลังซื้อโดยรวมในปัจจุบันยังคงซบเซาต่อเนื่องมาจากปี 2567 ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค ไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่มากระตุ้น คงต้องรอรัฐบาลเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ แต่ก็เป็นการกระตุ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับเฟสแรก
ส่วนมาตรการอีซี่ อี-รีซีท ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาทนั้น ทางผู้ประกอบการค้าปลีกรายเล็กไม่ได้อานิสงส์ แต่ถ้าหากเป็นโครงการคนละครึ่งเหมือนที่ผ่านมาก็น่าจะตอบโจทย์มากกว่า เนื่องจากเข้าถึงกลุ่มรากหญ้า
“ ทั้งนี้ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดีมากนัก ทำให้คนไม่ค่อยมีความมั่นใจ ด้านรายได้ จะไม่กล้าใช้เงิน ซื้อเท่าที่จำเป็น เป็นของกิน ของใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงอาจจะทำให้เห็นการเริ่มเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในบางครอบครัวได้” นายสมชายกล่าว
อสังหายื่น อิ๊งค์-ธปท. โด๊ปกำลังซื้อ ต่ออายุมาตรการลดค่าโอน หั่นภาษีที่ดิน เลิก LTV
https://www.matichon.co.th/economy/news_4984754
อสังหายื่น อิ๊งค์-ธปท. โด๊ปกำลังซื้อ ต่ออายุมาตรการลดค่าโอน หั่นภาษีที่ดิน เลิก LTV
เมื่อวันที่ 4 มกราคม นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงประเมินยาก เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นปี อย่างไรก็ดีจากมาตรการต่างๆที่รัฐบาลกำลังจะเริ่มคิกออฟ เช่น แจกเงิน 10,000 เฟส 2 สำหรับผู้สูงอายุ โครงการอีซี่ อีรี-ซีท ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท รวมถึงมาตรการแก้หนี้”คุณสู้เราช่วย”ที่กำลังเปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ หรือบ้านเพื่อคนไทย ไม่มีเงินดาวน์ ผ่อนเดือนละ 4,000 บาท ครบ 30 ปี ได้สิทธิเช่ายาว 99 ปี ถือว่าเป็นมาตรการที่ดี แต่บางมาตรการอาจต้องใช้เวลา คงไม่ได้เห็นผลเร็วมากนัก เช่น มาตรการแก้หนี้ และในบางมาตรการอาจจะต้องมีมาตรการอื่นมาสนับสนุนร่วมกันด้วย เช่น บ้านเพื่อคนไทยก็ต้องมีเรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายมาร่วมด้วย เป็นต้น
“ภาคเอกชนเอง อยากให้ทุกมาตรการที่รัฐประกาศออกมานั้นสามารถดำเนินการได้สำเร็จ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยได้รับการขับเคลื่อนไปข้างหน้าและมีการขยายตัวได้มากขึ้น ทั้งในส่วนของธุรกิจอสังหาฯถือเป็นส่วนหนึ่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะเกี่ยวเนื่องกับหลายธุรกิจ เช่น การก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ”นายอิสระกล่าว
นายอิสระกล่าวว่า เพื่อให้ตลาดอสังหาฯได้มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ประมาณกลางเดือนมกราคม 2568 ทั้ง 7 องค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย คณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ไทย จะทำหนังสือถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รวมถึงกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้พิจารณาต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก
ประกอบด้วย ลดค่าธรรมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสอง ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท, การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)และธนาคารออมสิน, ลดหย่อนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหลือ 50% เป็นระยะเวลา 1 ปี, ขอให้ประสานกระทรวงมหาดไทย เพื่อติดตามการพิจารณาลดขนาดที่ดินในโครงการจัดสรร ได้แก่ บ้านเดี่ยว จากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวา(ตร.ว.) เป็นไม่ต่ำกว่า 35 ตร.ว. บ้านแฝดจากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 35 ตร.ว. เป็นเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 28 ตร.ว. บ้านแถวหรืออาคารพาณิชย์ จากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 16 ตร.ว. เป็นเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 14 ตร.ว. เพื่อให้สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม โดยเฉพาะพื้นที่ในเมืองที่ราคาที่ดินสูง
“ส่วนเรื่องขยายระยะเวลาการเช่าจาก 30 ปี เป็น 99 ปี และกำหนดให้การเช่าเป็นทรัพยสิทธินั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจยังต้องใช้เวลา หากสามารถดำเนินการได้ ถือว่าเป็นการวางโครงสร้างการอยู่อาศัยและการใช้ที่ดินในระยะยาวของประเทศ เพราะประเทศไทยมีการส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยว ความต้องการความมั่นคงเรื่องที่สิทธิการเช่าจึงต้องตามมาด้วย รวมถึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้ประกอบการและแลนด์ลอร์ดที่ไม่ต้องการขายที่ดิน” นายอิสระกล่าว
นายอิสระกล่าวว่า นอกจากนี้จะทำหนังสือถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณาผ่อนคลายมาตรการLTV ชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 ปี ให้สามารถกู้ได้ 100% สำหรับการซื้อบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 ซึ่งเป็นอีกมาตรการที่มาสนับสนุนมาตรการคลัง เช่น ลดค่าโอนและค่าจดจำนอง และช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมคึกคักขึ้น
“ถ้าหากภาครัฐและธปท.ไม่มีการพิจารณาต่ออายุมาตรการกระตุ้น และผ่อนคลายมาตรการLTV จะมีผลทำให้ตลาดอสังหาฯและธุรกิจเกี่ยวเนื่องชะลอตัวมากขึ้นและอาจแย่กว่าปี 2567 อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากมีการอนุมัติมาตรการ จะช่วยให้ตลาดไม่แย่กว่าเดิมและพลิกเป็นบวกได้เล็กน้อย ทั้งนี้จากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวแข็งแรง อยากให้ต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เชื่อว่ารัฐบาลคงจะพิจารณาเพื่อให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้เดินหน้าต่อไป”นายอิสระกล่าว
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ภาพรวมยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2567 ติดลบเป็นเลขสองหลัก แต่ยอดโอนกรรมสิทธิ์รวมทั่วประเทศตลอดปี 2567 จากสถิติของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ติดลบ 4% เนื่องจากมีการโอนฯบ้านมือสองที่เติบโตขึ้นมาช่วยไว้ได้ เมื่อรวมกับยอดติดลบอย่างหนักของบ้านมือหนึ่งแล้ว จึงทำให้ช่วยพยุงตลาดโดยรวมติดลบประมาณ 4%
“ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการปรับฐานของอสังหาริมทรัพย์ คือ เป็นอีกปีที่ต้องมีการระบายสต๊อกเดิม ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่ยังมีไม่มาก เนื่องจากกำลังซื้อยังเปราะบาง จึงจำเป็นต้องอาศัยมาตรการของรัฐในการกระตุ้น ตามที่ 7 องค์กรด้านอสังหาฯ ร่วมกันทำหนังสือจะเสนอต่อนายกรัฐมนตรีสาระสำคัญ คือ การลดค่าโอน ค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% ขอให้ธปท. ผ่อนคลายมาตรการLTV เพื่อให้กลุ่มผู้มีกำลังซื้อหรือ กลุ่มKขาบน ส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ สามารถซื้ออสังหาฯเพิ่มได้มากกว่า 2-3 ยูนิต เป็นเวลาประมาณ 2 ปี เพื่อเป็นการพยุงภาวะตลาดไม่ให้ตกต่ำลงมากกว่านี้” นายสุนทรกล่าว
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงโอกาสของประเทศไทยในปี 2568 ว่า เป็นเรื่องการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆจากต่างประเทศที่จะเข้ามามากขึ้น เนื่องจากศักยภาพของประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค เช่น ย่านอีอีซี ที่มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนและไต้หวันเข้ามา เช่น รถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ดาต้าเซ็นเตอร์ การผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เป็นต้น ซึ่งภาครัฐก็พยายามออกมาตรการสนับสนุน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ด้านต่างๆ ทั้งอาหารและวัฒนธรรม รวมถึงผลักดันการลงทุนด้านเวลเนส การแพทย์ รวมถึงเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และโครงการแลนด์บริดจ์
“ทุกอย่างล้วนเป็นโอกาสหมดก็ต้องหาจุดเด่นและเร่งดำเนินการ ให้สอดรับกับเทรนด์และการเปลี่ยนแปลงของโลก เมื่อเรามีโอกาสก็ต้องคว้าไว้ ไม่ว่าการลงทุนพลังงานสะอาด เอไอไม่ว่ายังไงก็ต้องมา” นายอุทัยกล่าว