รัฐจ่ายแล้วหมื่นล้าน อุดหนุนใช้รถ EV 8.62 หมื่นคัน ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์

นโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% หรือประมาณ 725,000 คัน ของการผลิตยานยนต์ประเภทรถยนต์นั่ง และรถกระบะทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) และรถจักรยานยนต์ประมาณ 675,000 คัน


ทั้งนี้ถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนประเทศไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ.2065 รวมถึงการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ที่มุ่งให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก

ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือบอร์ดอีวี ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้สรุปถึงสถานการณ์การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าว่า จากที่ภาครัฐได้ออกมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ทั้งด้านการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและขึ้นส่วนสำคัญ การติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าและสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ รวมทั้งการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและสร้างตลาดในประเทศนั้น

ปัจจุบันทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ สามารถให้การส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท (รถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารถสามล้อไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า เรือไฟฟ้า รถจักรยานไฟฟ้า)

แบ่งเป็นการส่งเสริมผลิตรถยนต์ BEV จำนวน 21 โครงการ จาก 21 บริษัท เงินลงทุนรวม 40,099 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 411,550 คันต่อปี การผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จำนวน 3 โครงการจาก 3 บริษัท เงินลงทุนรวม 2,206 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 4,835 คันต่อปี

รวมทั้งส่งเสริมการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จำนวน 13 โครงการ จาก 13 บริษัทเงินลงทุนรวม 922 ล้านบาท กำลังการผลิตรวม 552,240 คันต่อปี โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 10 บริษัท อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแล้ว 9 บริษัท และจัดตั้งบริษัท/ทำการตลาดในประเทศไทยแล้ว 6 บริษัท

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่ จำนวน 47 โครงการ จาก 40 บริษัท เงินลงทุนรวม 27,226 ล้านบาทประกอบด้วย แบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า จำนวน 27 โครงการ เงินลงทุนรวม 13,941.7 ล้านบาท และแบตเตอรี่ความจุสูงสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวน 20โครงการ เงินลงทุนรวม 13,284.8 ล้านบาท

อีกทั้ง ส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ เช่น Traction Motor, BMS, DCU, On-board Charger เป็นต้น จำนวน 31 โครงการ จาก 29 บริษัท เงินลงทุนรวม 6,048 ล้านบาท และยังส่งเสริมการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า จำนวน 23 โครงการ จาก 21 บริษัท เงินลงทุนรวม 4,752 ล้านบาท ซึ่งจะติดตั้งหัวจ่ายไฟฟ้าจำนวน 19,012 หัวจ่าย โดยเป็นหัวจ่ายแบบ Quick Charge จำนวน 6,347 หัวจ่าย

กิจการสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ จำนวน 2 โครงการ จาก 2 บริษัท เงินลงทุนรวม 473 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสถานีสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ 1 โครงการ จำนวน 405 สถานี และสถานีสำหรับรถเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ 1 โครงการ จำนวน 1 สถานี
ขณะที่มาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและสร้างตลาดในประเทศ โดยให้เงินอุดหนุนการลดอัตราอากรขาเข้ารถยนต์นั่งไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ไม่เกิน 40 % และการลดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ไฟฟ้า จาก 8 % เหลือ 2 % หรือมาตรการ EV3 และมาตรการ EV3.5 นั้น ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 ทั้งสิ้น 26 บริษัท

ประกอบด้วย ผู้ผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า 15 บริษัท และผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 12 บริษัท และผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3.5 ทั้งสิ้น 10 บริษัท โดยเป็นผู้ประกอบการเข้าร่วมมาตรการ EV3 อยู่แล้วและเป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งทั้งหมด ถึงเดือนกันยายน 2567 มียอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ/รุ่นที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 รวม 133,774 คัน แบ่งเป็นประเภทรถยนต์ 112,938 คัน และประเภทรถจักรยานยนต์ 20,836 คัน

จากมาตรการส่งเสริมจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ยานยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว ถึงเดือนพฤศจิกายน 2567 กรมสรรพสามิตได้เบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ได้รับสิทธิที่ยื่นแบบคำขอรับเงินอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV3 จำนวน 10 ครั้ง เป็นจำนวน 86,250 คัน เป็นเงินงบประมาณ 10,715.5 ล้านบาท
ส่วนมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ (รถโดยสารและรถบรรทุก) ผ่านมาตรการของกรมสรรพากร ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานว่า ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 มียานยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV จดทะเบียนสะสม ทั้งสิ้น 220,439คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่ก่อน 82.61 % เป็นรถยนต์นั่ง 151,092 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน 89.32 % เป็นรถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คนมีจำนวน 2,282 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน 372.46% เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่