สามสิบกว่าปีที่ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะ “ประเทศกำลังพัฒนา” หลังจากธนาคารโลกจัดอันดับให้ไทยอยู่ในระดับการพัฒนานี้มาตั้งแต่ปี 2531 เพราะรายได้ประชาชาติต่อหัวต่อปี (GDP per Capita) ของไทยอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 6,900 ดอลลาร์ (2.3 แสนบาทต่อปีหรือราวๆ 2 หมื่นบาทต่อเดือน)
หากย้อนกลับไปมองที่ “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” (ปี 2561-2580) ซึ่งร่างขึ้นในช่วงของการยึดอำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้ก่อการรัฐประหารและอดีตนายกรัฐมนตรี กำหนดเป้าหมายไว้ว่า ประเทศไทยต้องพ้นจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาไปเป็นอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูงที่ประชาชนมีรายได้ต่อหัวต่อปีมากกว่า 1.5 หมื่นดอลลาร์ (5 แสนบาทต่อปีหรือ 4.15 หมื่นบาทต่อเดือน)
หากรัฐบาลต้องการยกระดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วและประชาชนมีรายได้ในระดับสูง รัฐบาลต้องเพิ่มรายได้ประชาชาติต่อหัวจากระดับปัจจุบันไปเป็น 1.5 หมื่นดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ (ทว่าในไตรมาส 1
ยังโตรั้งท้ายอาเซียนอยู่ที่ 1.5%)
ประเทศไทยไม่มีโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างแน่นอน
เพราะทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศยังใช้เงินจำนวนมากในการ
ทำนโยบายลดภาษีและแจกเงินเพื่อลดจำนวนครัวเรือนที่ยากจนให้อยู่ในระดับต่ำแทนการดำเนินนโยบายในระยะกลางหรือระยะยาวเพื่อช่วยครัวเรือนเหล่านั้นให้สามารถหารายได้ได้เองอย่างแท้จริง
รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกรัฐบาลต้องดำเนินนโยบายแบบขาดดุลทางการคลังเนื่องจากพวกเขาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเพราะเป็นวิธีในการเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีอย่างรวดเร็วและชัดเจนที่สุดที่สามารถทำได้ภายใต้กรอบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลกระทบจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทำให้รายได้สุทธิของรัฐบาลในปี 2566 ที่ผ่านมา ครอบคลุมเพียงค่าใช้จ่ายประจำ และการชำระหนี้เท่านั้น ทว่าไม่เพียงพอต่อการลงทุน
ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานธุรกิจสภาตลาดทุน เปิดเผยว่า หนึ่งในนโยบายระยะสั้นที่ทำร้ายเศรษฐกิจไทยมากที่สุดและทำให้ภาพความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยบิดเบือนไปจากความเป็นจริงคือการแจกเงินให้ประชาชนเพื่อลดจำนวนคนยากจนในระบบ
ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ฯ มักเปิดเผยว่า สามารถจัดการความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้จำนวนครัวเรือนที่ยากจนในระบบนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเทรนด์ของดัชนีที่ใช้วัดความเหลื่อมล้ำอย่างสัมประสิทธิจีนี (GINI Coefficient) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากประมาณ 0.5 ในปี 2550 มาอยู่ที่ต่ำกว่า 0.45 ในปี 2564
ทั้งนี้ ตัวเลขจากรัฐบาลระบุว่า จำนวนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านครัวเรือนในปี 2550 มาอยู่ที่ต่ำกว่า 1.5 ล้านครัวเรือนในปี 2565 แต่ในความเป็นจริง หากหักเงินช่วยเหลือของรัฐบาลออกไป จำนวนครัวเรือนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนในปี 2564 กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับ 4 ล้านครัวเรือน
โดยจากงานวิจัยดังกล่าวพบว่า ตัวเลขส่วนต่าง 2.5 – 3 ล้านครัวเรือนนั้นเป็นครอบครัวที่แทบจะไม่มีรายได้จากทางอื่นนอกจากเงินช่วยเหลือของรัฐบาล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือในบรรดาครัวเรือนเหล่านั้น
เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดของครัวเรือนพวกเขา
ท้ายที่สุด ดร.กอบศักดิ์ประเมินว่า หากรัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายทางการคลังแบบไม่มีวินัยเช่นนี้สถานะทางการคลังของประเทศไทยจะปรับตัวแย่ลงไปอีกและเมื่อเวลาผ่านไปภาครัฐอาจต้องใช้เงินมากขึ้นในการ
“ปั้นตัวเลข” ครัวเรือนที่ยากจนให้อยู่ภายใต้ระดับที่พวกเขาพอใจ
รัฐแจกเงิน 'ปั้นตัวเลขคนจน' ให้ต่ำ กดดันการคลังระยะยาว
หากย้อนกลับไปมองที่ “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” (ปี 2561-2580) ซึ่งร่างขึ้นในช่วงของการยึดอำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้ก่อการรัฐประหารและอดีตนายกรัฐมนตรี กำหนดเป้าหมายไว้ว่า ประเทศไทยต้องพ้นจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาไปเป็นอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูงที่ประชาชนมีรายได้ต่อหัวต่อปีมากกว่า 1.5 หมื่นดอลลาร์ (5 แสนบาทต่อปีหรือ 4.15 หมื่นบาทต่อเดือน)
หากรัฐบาลต้องการยกระดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วและประชาชนมีรายได้ในระดับสูง รัฐบาลต้องเพิ่มรายได้ประชาชาติต่อหัวจากระดับปัจจุบันไปเป็น 1.5 หมื่นดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ (ทว่าในไตรมาส 1 ยังโตรั้งท้ายอาเซียนอยู่ที่ 1.5%)
ประเทศไทยไม่มีโอกาสก้าวขึ้นไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างแน่นอน
เพราะทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศยังใช้เงินจำนวนมากในการทำนโยบายลดภาษีและแจกเงินเพื่อลดจำนวนครัวเรือนที่ยากจนให้อยู่ในระดับต่ำแทนการดำเนินนโยบายในระยะกลางหรือระยะยาวเพื่อช่วยครัวเรือนเหล่านั้นให้สามารถหารายได้ได้เองอย่างแท้จริง
รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกรัฐบาลต้องดำเนินนโยบายแบบขาดดุลทางการคลังเนื่องจากพวกเขาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเพราะเป็นวิธีในการเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีอย่างรวดเร็วและชัดเจนที่สุดที่สามารถทำได้ภายใต้กรอบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลกระทบจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทำให้รายได้สุทธิของรัฐบาลในปี 2566 ที่ผ่านมา ครอบคลุมเพียงค่าใช้จ่ายประจำ และการชำระหนี้เท่านั้น ทว่าไม่เพียงพอต่อการลงทุน
ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานธุรกิจสภาตลาดทุน เปิดเผยว่า หนึ่งในนโยบายระยะสั้นที่ทำร้ายเศรษฐกิจไทยมากที่สุดและทำให้ภาพความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยบิดเบือนไปจากความเป็นจริงคือการแจกเงินให้ประชาชนเพื่อลดจำนวนคนยากจนในระบบ
ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ฯ มักเปิดเผยว่า สามารถจัดการความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้จำนวนครัวเรือนที่ยากจนในระบบนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเทรนด์ของดัชนีที่ใช้วัดความเหลื่อมล้ำอย่างสัมประสิทธิจีนี (GINI Coefficient) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากประมาณ 0.5 ในปี 2550 มาอยู่ที่ต่ำกว่า 0.45 ในปี 2564
ทั้งนี้ ตัวเลขจากรัฐบาลระบุว่า จำนวนครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านครัวเรือนในปี 2550 มาอยู่ที่ต่ำกว่า 1.5 ล้านครัวเรือนในปี 2565 แต่ในความเป็นจริง หากหักเงินช่วยเหลือของรัฐบาลออกไป จำนวนครัวเรือนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนในปี 2564 กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าระดับ 4 ล้านครัวเรือน
โดยจากงานวิจัยดังกล่าวพบว่า ตัวเลขส่วนต่าง 2.5 – 3 ล้านครัวเรือนนั้นเป็นครอบครัวที่แทบจะไม่มีรายได้จากทางอื่นนอกจากเงินช่วยเหลือของรัฐบาล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือในบรรดาครัวเรือนเหล่านั้น เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดของครัวเรือนพวกเขา
ท้ายที่สุด ดร.กอบศักดิ์ประเมินว่า หากรัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายทางการคลังแบบไม่มีวินัยเช่นนี้สถานะทางการคลังของประเทศไทยจะปรับตัวแย่ลงไปอีกและเมื่อเวลาผ่านไปภาครัฐอาจต้องใช้เงินมากขึ้นในการ “ปั้นตัวเลข” ครัวเรือนที่ยากจนให้อยู่ภายใต้ระดับที่พวกเขาพอใจ