JJNY : แผนแก้ฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ ส่อล่าช้า│พบ PM2.5 มีผลทำกำเดาไหล│ทีมกม.ก้าวไกลสู้เต็มที่│ฝ่ายค้านรัสเซียถูกลอบทำร้าย

แผนแก้ฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ ส่อล่าช้า หลังคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ยื่นอุทธรณ์ 'คดีฝุ่นภาคเหนือ'
https://prachatai.com/journal/2024/03/108407

“คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ” ยื่นอุทธรณ์คดีฝุ่นภาคเหนือ หลังศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาให้ประชาชนที่ฟ้องนายก รัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ชนะคดีเมื่อวันที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมา การอุทธรณ์ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติครั้งนี้จะทำให้การทำแผนแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือให้เสร็จใน 90 วันตามที่ศาลปกครองมีคำสั่งล่าช้ายิ่งขึ้นไปอีก ขณะที่สถานการณ์ฝุ่นภาคเหนือในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีค่าฝุ่น PM2.5 สูงติดอันดับหนึ่งของโลกหลายวัน
 
13 มี.ค. 2567 กรีนพีซ ประเทศไทย อัพเดทความคืบหน้าคดีฝุ่นภาคเหนือเมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาให้ประชาชนชนะคดีที่ร่วมกันยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จากเหตุไม่ใช้อำนาจทางกฎหมายแก้ไขวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ
 
ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษาว่า รัฐผิดจริงกรณีแก้ฝุ่นล่าช้า โดยสั่งการให้ดำเนินการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กำหนดมาตรการหรือจัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนภายใน 90 วัน

ทางเครือข่ายประชาชนผู้ฟ้องวอนรัฐขอไม่อุทธรณ์คดี ซึ่งจะเป็นการยืดระยะเวลาแก้ปัญหาออกไปอีก ผลปรากฏว่ารัฐไม่ได้เดินหน้าจริงจังในการแก้ไขปัญหา PM2.5 แต่กลับอุทธรณ์คำพิพากษานี้ จนกระทั่งในสัปดาห์นี้ภาคเหนือต้องคลุกฝุ่นอย่างรุนแรงติดอันดับหนึ่งของโลกมาหลายวัน
  
กรีนพีซ ระบุว่า การยื่นอุทธรณ์ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้นแสดงถึงความไม่จริงใจต่อการแก้ปัญหาฝุ่นพิษที่คุกคามสุขภาพของคนเหนืออย่างรุนแรง

การแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษจะต้องเป็นการลงมือดำเนินการที่ต้นเหตุของแหล่งกำเนิด PM2.5 ซึ่งจะต้องอาศัยเจตจำนงของภาครัฐในการกำหนดนโยบาย งบประมาณ และยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติฯ ที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและมีประสิทธิภาพ โดยที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการจัดการไฟ พืชเศรษฐกิจ และการส่งเสริมอาชีพที่ตรงกับความหลากหลายของชุมชน รวมถึงคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเหนือกลุ่มทุนอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นการเคารพสิทธิมนุษยชนพื้นฐานตามกฎหมายทั้งต่อการเข้าถึงอากาศสะอาดและสิทธิในการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี

กรณีนี้เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2566 ประชาชนภาคเหนือรวมตัวกันที่ศาลปกครองเชียงใหม่ เพื่อยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ต่อมาศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และคณะกรรมการกำกับตลาดทุน
 
ต่อมาวันที่ 19 ม.ค. 2567 ศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษาว่านายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และ 2 ละเลยและปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าจริง แม้จะมีการปรับปรุงค่ามาตรฐานฝุ่นละออง PM 2.5 ใหม่ เฉลี่ย 24 ชั่วโมง จากเดิม 50 ไมโครกรัมเป็น 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และมีแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ แต่ค่าฝุ่นภาคเหนือยังคงเกินมาตรฐานในช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายนของทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่ภาคประชาชนเริ่มยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ โดยที่มีข้อมูลจากคณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงพยาบาลมหาราช นครเชียงใหม่ และหลักประกันสุขภาพ ระบุว่ามีข้อมูลผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ปี 2561-2566 ศาลจึงตัดสินว่าเป็นการปฏิบัติงานล่าช้า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงภัย
 
เพื่อป้องกันเหตุดังกล่าวศาลจึงให้ความเห็นว่า มีเหตุผลเพียงพอที่จะพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีใช้อำนาจที่มีควบคุมบังคับใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2535 กำหนดมาตรการหรือจัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้หน่วยงานรัฐปฏิบัติการจัดทำแผนแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนเพื่อระงับ และบรรเทาฝุ่น PM2.5 ให้ทันท่วงที ทั้งนี้ให้ทำแผนภายใน 90 วัน
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=798823828959056&set=a.632113198963454


 
มช.เผยผลวิจัย พบ PM 2.5 มีผลทำให้เลือดกำเดาไหล
https://www.innnews.co.th/news/local/news_689017/

ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. เผยผลการวิจัย ชี้ชัด PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้ป่วยเลือดกำเดาไหลมีนัยสำคัญ
 
รศ.พญ.กรรณิการ์ รุ่งโรจน์วัฒนศิริ หัวหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนก.พ.–เม.ย. ของทุกปี ภาคเหนือตอนบนจะเจอกับปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว อาการที่มักจะพบบ่อยคือ ตาแดง ผื่นขึ้นตามส่วนต่างๆของร่างกาย เยื่อบุจมูกอักเสบ และเลือดกำเดาไหล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาการที่ผู้ปกครองมักพาบุตรหลานมาพบแพทย์บ่อยที่สุด
 
ส่วนสาเหตุที่เด็กมีเลือดกำเดาไหลในช่วงที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงนั้น ทางภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้ทำการศึกษาร่วมกับนักศึกษาแพทย์ หาความสัมพันธ์ระหว่างอุบัติการณ์ของการเกิดเลือดกำเดาไหลในผู้ป่วยนอกเเละห้องฉุกเฉินของ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กับค่าฝุ่นที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน ในช่วงที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 พบว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลด้วยอาการเลือดกำเดาไหลอย่างมีนัยสาคัญ ซึ่งปกติแล้วบริเวณเยื่อบุในจมูกคนเราจะมีเลือดมาเลี้ยงเยอะอยู่แล้ว หากสูดเอาฝุ่น PM2.5 เข้าไป จะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุในช่องจมูก และไปกระตุ้นทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีโอกาสเลือดกำเดาไหลง่ายกว่าผู้ใหญ่ เมื่อพบว่ามีเลือดกำเดาไหล ให้ก้มหน้าลงแล้วใช้มือบีบบริเวณปีกจมูกทั้งสองข้างเข้าหากัน ค้างไว้ประมาณ 5 นาที อาจช่วยในการห้ามเลือดเบื้องต้นได้
 
หากมีเลือดไหลลงคอให้บ้วนออกมา จะช่วยให้เลือดไม่อุดทางเดินหายใจและยังช่วยประเมินปริมาณเลือดที่ออกด้วย แต่หากกดปีกจมูกแล้วหลังจากที่ปล่อยยังมีเลือดไหลออกมาปริมาณมาก หรือเลือดกำเดาไหลข้างเดียว ร่วมกับมีอาการปวด คัดจมูกในข้างนั้น อาจสงสัยภาวะก้อนในโพรงจมูก ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
 
นอกจากนี้ยังพบว่า ในช่วงที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน ผู้ป่วยที่เป็นจมูกอักเสบภูมิแพ้ มักจะมีอาการแย่ลง ดังนั้นในช่วงที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูง ควรใส่หน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ , หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงที่มีฝุ่นเยอะ และควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพราะจะช่วยล้างเศษฝุ่นละออง สะเก็ด หรือน้ำมูกออกมาได้



ทีมกฎหมายก้าวไกลสู้เต็มที่ รับมือทุกฉากทัศน์ หลังมติกกต.ส่งศาลยุบพรรค
https://www.matichon.co.th/politics/news_4468989

ทีมกฎหมายก้าวไกลสู้เต็มที่ รับมือทุกฉากทัศน์ หลังมติ กกต.ส่งศาลยุบพรรค
 
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่เอกสารข่าว เมื่อวันที่ 12 มีนาคมว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และพรรค ก.ก.ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … กฎหมายอาญา มาตรา 112 ใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่
 
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ สำนักงาน กกต.ได้เสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์คำวินิจฉัยต่อ กกต.โดยเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ากระทำการล้มล้างการปกครอง ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 กกต.จึงมีมติโดยเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคก้าวไกล มอบหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องและดำเนินคดีแทน กกต.ตามมาตรา 93 วรรคสอง
 
รายงานข่าวแจ้งว่า กระบวนการหลังจากนี้ ทางสำนักกฎหมายและคดีของสำนักงาน กกต. จะต้องดำเนินการยกร่างคำร้องเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมแนบหลักฐานโดยเฉพาะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อเป็นเอกสารประกอบคำร้อง ทั้งนี้ ตามมาตรา 93 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการไว้ แต่เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอเรื่องพร้อมความเห็นและที่ประชุม กกต.มีมติเรียบร้อยแล้วนั้น ตามกระบวนการต้องดำเนินการโดยเร็ว อีกทั้งคดีนี้ไม่มีข้อกฎหมายซับซ้อน เมื่อยกร่างคำร้องเสร็จสิ้นก็สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ทันที คาดว่าเร็วสุดจะใช้เวลายกร่างคำร้องไม่เกิน 2 วัน แต่โดยทั่วไปกระบวนการจะไม่ช้าไปกว่าหนึ่งสัปดาห์
 
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า พรรค ก.ก.และทีมกฎหมายได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว ซึ่งมีประเด็นสำคัญคือ ไม่อยากให้ด่วนสรุปว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทีมกฎหมายจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องไม่ให้เกิดการยุบพรรค และการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ประเด็นนี้ไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ชะตากรรมและอนาคตของพรรค ก.ก.เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพยายามพิสูจน์ว่าสิ่งที่พรรคทำไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากทำได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องสำหรับการเมืองไทยในอนาคต
 
เมื่อถามว่า มีการสร้างพรรคสำรองไว้หรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า มีการรับมือและวางแผนทุกฉากทัศน์อยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งด่วนพูดถึงสิ่งที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ทำเต็มที่ พิสูจน์ความจริงเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันที่จะเกิดการวินิจฉัยคำตัดสินออกมา ส.ส.และทีมงานของพรรคยังทำงานเต็มที่ การผลักดันกฎหมายความเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกสภา แต่ผู้บริหารพรรคได้เตรียมการรับมือทุกสถานการณ์หรือไม่นั้น ก็ต้องตอบว่ามีแน่นอน เรามีการวางแผนทุกฉากทัศน์ ตนยืนยันเหมือนที่ได้ยืนยันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกความคิด ทุกนโยบาย ที่เราพยายามจะผลักดัน อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องมียานพาหนะที่ขับเคลื่อนชุดความคิดต่อไปในการเมืองไทยแน่นอน
 
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าลูกพรรคจะเสียขวัญเพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์ยุบพรรคมีสถานการณ์ผึ้งแตกรัง นายพริษฐ์กล่าวว่า สิ่งที่กังวลมากกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อค่านิยมของการเมืองไทย ถ้าพูดถึงขวัญกำลังใจ หรือความทุ่มเทของสมาชิกพรรค คิดว่าเดินหน้าต่อเต็มที่อยู่แล้ว เมื่อถามว่า ช่วงที่มีความอ่อนไหวจะมี ส.ส.ย้ายพรรคหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า มั่นใจว่าทุกคนที่มาสมัครเข้าพรรคถูกกลั่นกรองโดยคณะกรรมการสรรหา มีชุดความคิดตรงกัน และมีเอกภาพในการขับเคลื่อนชุดความคิดให้เป็นจริง ตัวอย่าง เมื่อถามว่า คดียุบพรรคจะทำให้เสียสมาธิในการตรวจสอบรัฐบาลหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า ไม่เสียสมาธิแน่นอน ตั้งแต่เริ่มทำงานสภาชุดนี้ พรรคก้าวไกลเดินคู่ขนานอยู่แล้ว ทีมกฎหมายก็ทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ส่วน ส.ส.ก็ทำงานในสภา โดยเดินหน้าต่ออย่างไม่เสียสมาธิ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่