ฝ่ายค้านเอาจริง! เปิดเวทีซักฟอกรัฐบาล ม.152 ต้นเดือนเม.ย. ยันไม่มีเกี้ยเซียะ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_8126232
ฝ่ายค้าน เคาะเปิดเวทีซักฟอกรัฐบาล ตามมาตรา 152 ช่วง 3-5 เม.ย. ซัดบริหาร 6 เดือน ไม่ทำตามสัญญาประชาชน ‘ชัยธวัช’ ลั่นงานนี้ไม่มีเกี้ยเซียะ ปชป.การันตีมีถล่มปม‘ทักษิณ’
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มี.ค. 2567 ที่รัฐสภา นาย
ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงหลังประชุมฝ่ายค้านว่า ที่ประชุมมีมติยื่นญัตติขอยื่นเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เพื่อซักถามการทำงานของรัฐบาลในสัปดาห์หน้า เบื้องต้นเห็นว่าวัน เวลาที่จะอภิปรายอย่างน้อย 2 วัน
เมื่อดูปฏิทินวาระของการทำงานในสภาแล้ว คิดว่าเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นหลังจากที่มีการอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในวาระ 2-3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นทราบว่างบประมาณจะเข้าวาระที่ 2 ในวันที่ 27-28 มี.ค. ดังนั้น คิดว่าเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นสัปดาห์ถัดไปในช่วงวันที่ 3-5 เม.ย. ก่อนจะปิดสมัยประชุม
นาย
ชัยธวัชกล่าวว่า เบื้องต้นเราได้รวบรวมความคิดเห็นข้อมูลที่แต่ละพรรคได้ทำการบ้านมาบ้างแล้ว โดยสรุปเห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารเกือบครึ่งปีแล้ว แต่พบว่าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และเพิกเฉยต่อคำแถลงนโยบายของตนเอง ไม่มีการขับเคลื่อนนโยบายและการแก้ปัญหาของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ปล่อยปละละเลยให้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพล ทั้งในและนอกประเทศ เอารัดเอาเปรียบประชาชน ปล่อยให้ข้าราชการเรียกรับผลประโยชน์รีดไถประชาชน หลักนิติธรรมถูกทำลายด้วยการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม บริหารประเทศอย่างไร้จริยธรรมไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถและไร้วุฒิภาวะ
เมื่อถามว่าการอภิปรายครั้งนี้จะมีหลักฐาน หรือใบเสร็จ ที่เอาผิดกับรัฐบาลได้เลยหรือไม่ นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ คือไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า ส่วนที่ทำนั้นก็มีปัญหา
ดังนั้น การอภิปรายตามมาตรา 152 ต้องยอมรับว่า แตกต่างกับมาตรา 151 เนื่องจากความเป็นจริง การบริหารโดยใช้จ่ายงบประมาณก็ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะพ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ยังไม่ผ่าน การใช้จ่ายงบประมาณที่จะนำไปสู่การทุจริตหรือคอร์รัปชั่น ยังต้องใช้เวลาตรวจสอบ แต่แน่นอนว่า ประเด็นที่อภิปราย ไม่ใช่การอภิปรายแบบเลื่อนลอย แต่ต้องมีหลักฐาน ข้อมูล ข้อเท็จจริงเป็นรูปธรรมในการอภิปรายแน่นอน
ส่วนประเด็นกระบวนการยุติธรรม นอกจากเรื่องนาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะมีประเด็นอะไรบ้าง นาย
ชัยธวัช กล่าวว่า ประเด็นหลักมีหลายเรื่อง เรื่องหลักนิติรัฐนิติธรรมเป็นแค่ส่วนหนึ่ง และในหัวข้อนี้ คงไม่ได้มีเพียงกรณีนาย
ทักษิณ อย่างเดียว
“
แต่ประเด็นหลัก คือการเพิกเฉยต่อการดำเนินนโยบายตามที่ตัวเองได้เสนอไว้ต่อรัฐสภา รวมถึงการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ไร้จริยธรรม ไร้ประสิทธิภาพ ไร้วุฒิภาวะ ไร้ผลงาน ที่จับต้องได้” นาย
ชัยธวัช กล่าว
นาย
ชัยธวัช กล่าวต่อว่า ในแต่ละหัวข้อ ก็จะมีการอภิปรายที่เป็นรูปธรรมหลายเรื่อง หลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะประสานกับทุกพรรค เพื่อรวบรวมประเด็นและจัดกลุ่มอภิปราย รวมถึงการจัดสรรเวลาที่เหมาะสมร่วมกัน ซึ่งจะเรียงตามประเด็นที่ใกล้เคียงกัน ยืนยันว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่มีการเกี้ยเซียะ ยึดการกระทำเป็นข้อพิสูจน์
ด้านนาย
ชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมยื่นขอเปิดอภิปรายมาตรา 152 ร่วมกับพรรคก้าวไกล โดยพรรคได้เตรียมเนื้อหาการอภิปรายมาระยะหนึ่งแล้วจึงขอยืนยันว่าส.ส.พรรคทั้ง 25 คนพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการอภิปรายครั้งนี้ ส่วนประเด็นของนายทักษิณ จะนำมาอภิปรายด้วยแน่นอน ในเรื่องของกระบวนการทั้งหมดที่ทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม
“
ไม่ว่าเรื่องของนายทักษิณ หรือเรื่องอื่นๆที่เราดูแล้วมันสองมาตรฐาน เราต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้ว ผมคิดว่าวันนี้ต้องทำในรูปแบบมิติใหม่ อย่าเล่นการเมืองเพื่อสร้างวาทกรรม ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูดกับสังคมให้รับทราบ และวิจารณ์ให้สังคมได้รับรู้ ว่า 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำอะไรบ้าง” นาย
ชัยชนะ กล่าว
ขณะที่นาย
ฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้นำฝ่ายค้าน พรรคไทยสร้างไทยพร้อมสนับสนุนการอภิปรายครั้งนี้
ด้านนาย
กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า เราพร้อมเปิดอภิปรายรัฐบาลตั้งแต่วันแรกที่เป็นฝ่ายค้าน ฉะนั้น การดำเนินงาน 6 เดือนของรัฐบาลที่ผ่านเรามีข้อมูลเต็มที่ในการเปิดอภิปรายครั้งนี้
ก้าวไกล ชี้เป้า 5 จุดยาเสพติดระบาดหนักใน กทม. จี้หน่วยงานเข้าดูแล
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4457370
ส.ส.ก้าวไกล ชี้เป้า 5 จุดยาเสพติดระบาดหนักใน กทม. จี้หน่วยงานเข้าดูแลอย่างเคร่งครัด
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 มีนาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นาย
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ได้เปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือนร้องต่างๆ
โดย นาย
ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล หารือว่า ปัญหายาเสพติดระบาดในเขตเลือกตั้งของตน หลังจากประกาศใช้นโยบายยาบ้า 5 เม็ด นโยบายดังกล่าวสร้างความสับสนให้ประชาชนอย่างเห็นได้ชัด แต่จะไม่วิจารณ์นโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ความจริงปัญหายาเสพติดระบาดไปทั่วและประชาชนร้องเรียนมาจำนวนมาก
“
วันนี้ผมจึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.บ้านมนัง ถนนวัดสุคัน 2.ชุมชนวัดญวณ คลองลำปัก 3.ท่าน้ำราชวงศ์มังราย ตลาดเช้ามืด 4.จอมสมบูรณ์ และ 5.ตรอกขุนนาวา” นาย
ปารเมศกล่าว
ภาคเอกชน วอนรัฐต่ออายุมาตรการตรึงราคาดีเซล ใกล้สิ้นสุด 19 มี.ค.นี้
https://www.dailynews.co.th/news/3235188/
กกร.คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.8-3.3% วอนหากเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรที่จะสิ้นสุด 19 มี.ค.นี้
วันที่ 6 มี.ค. นาย
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน
(กกร.) ในวันนี้ว่า กกร.ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยปีนี้ที่ 2.8-3.3% แต่เศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะจากการส่งออกที่ฟื้นตัวช้า โดยคาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 2-3% การท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้าสู่ระดับเดิม ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศยังถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดอยู่ที่ 0.7-1.2%
อย่างไรก็ตาม หากจะให้การส่งออกขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 2-3% ภาคการส่งออกจะต้องเร่งการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยในแต่ละเดือนที่เหลือจะต้องมีมูลค่าการส่งออกไม่น้อยกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์ โดยภาคการส่งออกจะต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ หาตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อหนุนการส่งออก
“
แม้ภาคการส่งออกมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ แต่คาดว่าทั้งปีมูลค่าการส่งออกยังเติบโตอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ สำหรับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 เนื่องจากชาวจีนหันไปท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก แต่หลังจากที่มีมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว 34-35 ล้านคนได้ ด้านหนี้ครัวเรือนปัจจุบันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงขอให้ภาครัฐบาลเร่งหามาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนมากขึ้น”
ด้านการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/67 จากปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ปรับเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยประคองเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง และหนุนการลงทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในระยะข้างหน้า
สำหรับมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 19 มี.ค. นี้ มองว่า หากมีความเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลต่อมาตรการดังกล่าวออกไป แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของภาครัฐ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวยอมรับเป็นการสร้างภาระ และส่งผลต่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ดังนั้นต้องให้ภาครัฐพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ การจัดสรรเงิน
“
ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากมาตรการภาครัฐที่มาพยุง แต่สร้างภาระ แต่มาตรการนี้มีเวลา หวังว่าภาครัฐจะต้องมีการพิจารณา เพราะต้องดูจากสภาพเศรษฐกิจ ที่ความเปราะบาง กำลังซื้อยังแย่ หนี้ภาคครัวเรือนที่แตะ 90.9% แม้ภาครัฐจะเข้ามาแก้ แต่ก็ยังเพิ่งเริ่ม ดังนั้นภาคเอกชน มองว่า ภาครัฐคงต้องมีมาตรการในการช่วยเหลือผู้เปราะบางโดยเฉพาะเอสเอ็มอี เครดิตบูโรที่รายงานการผิดนัดชำระหนี้ สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ การเข้าถึงสินเชื่อมีความเข้มงวดและระมัดระวัง เป็นสิ่งที่รัฐจะต้องช่วย ทำอย่างไรให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน ต่อไปในอนาคต ภาครัฐควรนำไปพิจารณาต่อ”
ขณะเดียวกัน กกร.ยังมีข้อเสนอแนะในการประชุมครั้งนี้ โดยได้เสนอแนะให้จัดทำร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เนื่องจากปัจจุบันปัญหามลพิษทางอากาศมีความรุนแรง จึงเสนอให้มีผู้แทนภาคเอกชน 4 ท่านเท่ากับภาคประชาชนเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการขับเคลื่อน 3 คณะ ภายใต้ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด ประกอบด้วย คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด และคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้จะต้องบูรณาการการกำกับดูแล ด้านมาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด ดัชนีคุณภาพอากาศและมาตรการควบคุมต่างๆ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน ทบทวนการวางหลักประกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในการขออนุญาตประกอบกิจการ โดยควรนำเอาระบบการซื้อประกันภัยมาใช้ทดแทนในกรณีที่เกิดความเสียหาย รวมถึงปรับบทลงโทษผู้กระทำความผิดให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม และต้องทบทวนการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดการใช้เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถนำงบประมาณมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และศึกษาความเหมาะสมและรายละเอียดในร่างพ.ร.บ.โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
นาย
เกรียงไกร กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. ยังมีความกังวลถึงเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของผักและผลไม้ที่นำเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศ โดยในเดือนม.ค. ที่ผ่านมา มีการนำเข้าสินค้ามาอยู่ที่ 13,275 ล้านบาท ขยายตัว 8.45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการที่ผักและผลไม้นำเข้าเพิ่ม ส่งผลให้ภาครัฐต้องเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบคุณภาพเพิ่มขึ้น จึงอยากเสนอให้ภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัดกุมในการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าผักและผลไม้ รวมถึงเพิ่มกำลังคนและเครื่องมืออุปกรณ์ในการตรวจสอบ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคภายในประเทศ
JJNY : เปิดเวทีซักฟอกรบ.ม.152 ต้นเม.ย.│ก้าวไกลชี้เป้า 5 จุดยาเสพติด│เอกชนวอนรัฐต่ออายุตรึงดีเซล│ปากีสถานเจออากาศสุดจัด
https://www.khaosod.co.th/politics/news_8126232
ฝ่ายค้าน เคาะเปิดเวทีซักฟอกรัฐบาล ตามมาตรา 152 ช่วง 3-5 เม.ย. ซัดบริหาร 6 เดือน ไม่ทำตามสัญญาประชาชน ‘ชัยธวัช’ ลั่นงานนี้ไม่มีเกี้ยเซียะ ปชป.การันตีมีถล่มปม‘ทักษิณ’
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มี.ค. 2567 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงหลังประชุมฝ่ายค้านว่า ที่ประชุมมีมติยื่นญัตติขอยื่นเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เพื่อซักถามการทำงานของรัฐบาลในสัปดาห์หน้า เบื้องต้นเห็นว่าวัน เวลาที่จะอภิปรายอย่างน้อย 2 วัน
เมื่อดูปฏิทินวาระของการทำงานในสภาแล้ว คิดว่าเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นหลังจากที่มีการอภิปรายพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ในวาระ 2-3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นทราบว่างบประมาณจะเข้าวาระที่ 2 ในวันที่ 27-28 มี.ค. ดังนั้น คิดว่าเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นสัปดาห์ถัดไปในช่วงวันที่ 3-5 เม.ย. ก่อนจะปิดสมัยประชุม
นายชัยธวัชกล่าวว่า เบื้องต้นเราได้รวบรวมความคิดเห็นข้อมูลที่แต่ละพรรคได้ทำการบ้านมาบ้างแล้ว โดยสรุปเห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารเกือบครึ่งปีแล้ว แต่พบว่าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และเพิกเฉยต่อคำแถลงนโยบายของตนเอง ไม่มีการขับเคลื่อนนโยบายและการแก้ปัญหาของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ปล่อยปละละเลยให้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพล ทั้งในและนอกประเทศ เอารัดเอาเปรียบประชาชน ปล่อยให้ข้าราชการเรียกรับผลประโยชน์รีดไถประชาชน หลักนิติธรรมถูกทำลายด้วยการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม บริหารประเทศอย่างไร้จริยธรรมไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถและไร้วุฒิภาวะ
เมื่อถามว่าการอภิปรายครั้งนี้จะมีหลักฐาน หรือใบเสร็จ ที่เอาผิดกับรัฐบาลได้เลยหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ คือไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า ส่วนที่ทำนั้นก็มีปัญหา
ดังนั้น การอภิปรายตามมาตรา 152 ต้องยอมรับว่า แตกต่างกับมาตรา 151 เนื่องจากความเป็นจริง การบริหารโดยใช้จ่ายงบประมาณก็ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะพ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ยังไม่ผ่าน การใช้จ่ายงบประมาณที่จะนำไปสู่การทุจริตหรือคอร์รัปชั่น ยังต้องใช้เวลาตรวจสอบ แต่แน่นอนว่า ประเด็นที่อภิปราย ไม่ใช่การอภิปรายแบบเลื่อนลอย แต่ต้องมีหลักฐาน ข้อมูล ข้อเท็จจริงเป็นรูปธรรมในการอภิปรายแน่นอน
ส่วนประเด็นกระบวนการยุติธรรม นอกจากเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะมีประเด็นอะไรบ้าง นายชัยธวัช กล่าวว่า ประเด็นหลักมีหลายเรื่อง เรื่องหลักนิติรัฐนิติธรรมเป็นแค่ส่วนหนึ่ง และในหัวข้อนี้ คงไม่ได้มีเพียงกรณีนายทักษิณ อย่างเดียว
“แต่ประเด็นหลัก คือการเพิกเฉยต่อการดำเนินนโยบายตามที่ตัวเองได้เสนอไว้ต่อรัฐสภา รวมถึงการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ไร้จริยธรรม ไร้ประสิทธิภาพ ไร้วุฒิภาวะ ไร้ผลงาน ที่จับต้องได้” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ในแต่ละหัวข้อ ก็จะมีการอภิปรายที่เป็นรูปธรรมหลายเรื่อง หลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะประสานกับทุกพรรค เพื่อรวบรวมประเด็นและจัดกลุ่มอภิปราย รวมถึงการจัดสรรเวลาที่เหมาะสมร่วมกัน ซึ่งจะเรียงตามประเด็นที่ใกล้เคียงกัน ยืนยันว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่มีการเกี้ยเซียะ ยึดการกระทำเป็นข้อพิสูจน์
ด้านนายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมยื่นขอเปิดอภิปรายมาตรา 152 ร่วมกับพรรคก้าวไกล โดยพรรคได้เตรียมเนื้อหาการอภิปรายมาระยะหนึ่งแล้วจึงขอยืนยันว่าส.ส.พรรคทั้ง 25 คนพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการอภิปรายครั้งนี้ ส่วนประเด็นของนายทักษิณ จะนำมาอภิปรายด้วยแน่นอน ในเรื่องของกระบวนการทั้งหมดที่ทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม
“ไม่ว่าเรื่องของนายทักษิณ หรือเรื่องอื่นๆที่เราดูแล้วมันสองมาตรฐาน เราต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้ว ผมคิดว่าวันนี้ต้องทำในรูปแบบมิติใหม่ อย่าเล่นการเมืองเพื่อสร้างวาทกรรม ต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูดกับสังคมให้รับทราบ และวิจารณ์ให้สังคมได้รับรู้ ว่า 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำอะไรบ้าง” นายชัยชนะ กล่าว
ขณะที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้นำฝ่ายค้าน พรรคไทยสร้างไทยพร้อมสนับสนุนการอภิปรายครั้งนี้
ด้านนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า เราพร้อมเปิดอภิปรายรัฐบาลตั้งแต่วันแรกที่เป็นฝ่ายค้าน ฉะนั้น การดำเนินงาน 6 เดือนของรัฐบาลที่ผ่านเรามีข้อมูลเต็มที่ในการเปิดอภิปรายครั้งนี้
ก้าวไกล ชี้เป้า 5 จุดยาเสพติดระบาดหนักใน กทม. จี้หน่วยงานเข้าดูแล
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4457370
ส.ส.ก้าวไกล ชี้เป้า 5 จุดยาเสพติดระบาดหนักใน กทม. จี้หน่วยงานเข้าดูแลอย่างเคร่งครัด
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 มีนาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ได้เปิดให้สมาชิกหารือปัญหาความเดือนร้องต่างๆ
โดย นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล หารือว่า ปัญหายาเสพติดระบาดในเขตเลือกตั้งของตน หลังจากประกาศใช้นโยบายยาบ้า 5 เม็ด นโยบายดังกล่าวสร้างความสับสนให้ประชาชนอย่างเห็นได้ชัด แต่จะไม่วิจารณ์นโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ความจริงปัญหายาเสพติดระบาดไปทั่วและประชาชนร้องเรียนมาจำนวนมาก
“วันนี้ผมจึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1.บ้านมนัง ถนนวัดสุคัน 2.ชุมชนวัดญวณ คลองลำปัก 3.ท่าน้ำราชวงศ์มังราย ตลาดเช้ามืด 4.จอมสมบูรณ์ และ 5.ตรอกขุนนาวา” นายปารเมศกล่าว
ภาคเอกชน วอนรัฐต่ออายุมาตรการตรึงราคาดีเซล ใกล้สิ้นสุด 19 มี.ค.นี้
https://www.dailynews.co.th/news/3235188/
กกร.คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 2.8-3.3% วอนหากเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลต่ออายุมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรที่จะสิ้นสุด 19 มี.ค.นี้
วันที่ 6 มี.ค. นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน
(กกร.) ในวันนี้ว่า กกร.ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยปีนี้ที่ 2.8-3.3% แต่เศรษฐกิจไทยยังอ่อนแอจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะจากการส่งออกที่ฟื้นตัวช้า โดยคาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 2-3% การท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้าสู่ระดับเดิม ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศยังถูกกดดันจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดอยู่ที่ 0.7-1.2%
อย่างไรก็ตาม หากจะให้การส่งออกขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 2-3% ภาคการส่งออกจะต้องเร่งการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยในแต่ละเดือนที่เหลือจะต้องมีมูลค่าการส่งออกไม่น้อยกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์ โดยภาคการส่งออกจะต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ หาตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อหนุนการส่งออก
“แม้ภาคการส่งออกมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ แต่คาดว่าทั้งปีมูลค่าการส่งออกยังเติบโตอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ สำหรับการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 เนื่องจากชาวจีนหันไปท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก แต่หลังจากที่มีมาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยว 34-35 ล้านคนได้ ด้านหนี้ครัวเรือนปัจจุบันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงขอให้ภาครัฐบาลเร่งหามาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนมากขึ้น”
ด้านการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/67 จากปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ปรับเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยประคองเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง และหนุนการลงทุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในระยะข้างหน้า
สำหรับมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 19 มี.ค. นี้ มองว่า หากมีความเป็นไปได้อยากให้รัฐบาลต่อมาตรการดังกล่าวออกไป แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของภาครัฐ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวยอมรับเป็นการสร้างภาระ และส่งผลต่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ดังนั้นต้องให้ภาครัฐพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ การจัดสรรเงิน
“ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง ส่วนหนึ่งจากมาตรการภาครัฐที่มาพยุง แต่สร้างภาระ แต่มาตรการนี้มีเวลา หวังว่าภาครัฐจะต้องมีการพิจารณา เพราะต้องดูจากสภาพเศรษฐกิจ ที่ความเปราะบาง กำลังซื้อยังแย่ หนี้ภาคครัวเรือนที่แตะ 90.9% แม้ภาครัฐจะเข้ามาแก้ แต่ก็ยังเพิ่งเริ่ม ดังนั้นภาคเอกชน มองว่า ภาครัฐคงต้องมีมาตรการในการช่วยเหลือผู้เปราะบางโดยเฉพาะเอสเอ็มอี เครดิตบูโรที่รายงานการผิดนัดชำระหนี้ สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ การเข้าถึงสินเชื่อมีความเข้มงวดและระมัดระวัง เป็นสิ่งที่รัฐจะต้องช่วย ทำอย่างไรให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน ต่อไปในอนาคต ภาครัฐควรนำไปพิจารณาต่อ”
ขณะเดียวกัน กกร.ยังมีข้อเสนอแนะในการประชุมครั้งนี้ โดยได้เสนอแนะให้จัดทำร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เนื่องจากปัจจุบันปัญหามลพิษทางอากาศมีความรุนแรง จึงเสนอให้มีผู้แทนภาคเอกชน 4 ท่านเท่ากับภาคประชาชนเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการขับเคลื่อน 3 คณะ ภายใต้ร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด ประกอบด้วย คณะกรรมการนโยบายอากาศสะอาด คณะกรรมการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด และคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้จะต้องบูรณาการการกำกับดูแล ด้านมาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด ดัชนีคุณภาพอากาศและมาตรการควบคุมต่างๆ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน ทบทวนการวางหลักประกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในการขออนุญาตประกอบกิจการ โดยควรนำเอาระบบการซื้อประกันภัยมาใช้ทดแทนในกรณีที่เกิดความเสียหาย รวมถึงปรับบทลงโทษผู้กระทำความผิดให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม และต้องทบทวนการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดการใช้เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถนำงบประมาณมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และศึกษาความเหมาะสมและรายละเอียดในร่างพ.ร.บ.โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. ยังมีความกังวลถึงเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของผักและผลไม้ที่นำเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศ โดยในเดือนม.ค. ที่ผ่านมา มีการนำเข้าสินค้ามาอยู่ที่ 13,275 ล้านบาท ขยายตัว 8.45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการที่ผักและผลไม้นำเข้าเพิ่ม ส่งผลให้ภาครัฐต้องเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบคุณภาพเพิ่มขึ้น จึงอยากเสนอให้ภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัดกุมในการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าผักและผลไม้ รวมถึงเพิ่มกำลังคนและเครื่องมืออุปกรณ์ในการตรวจสอบ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคภายในประเทศ