สส.ฟิลิปปินส์ประท้วง รบ.สิงคโปร์ มีดีลพิเศษ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ผูกขาดจัดคอนเสิร์ต
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2767375
สส.ฟิลิปปินส์ ประท้วง รบ.สิงคโปร์ ทำข้อตกลงพิเศษกับ 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ป๊อปสตาร์อเมริกัน ไม่ให้จัดคอนเสิร์ต 'Eras Tour' ในประเทศอื่นๆ ในแถบอาเซียน ชี้เพื่อนบ้านที่ดีไม่ควรทำ
เดอะ สเตรทไทม์ สื่อภาษาอังกฤษในสิงคโปร์และสื่อต่างประเทศหลายแห่งรายงาน
โจอี้ ซัลเซดา สส. ฟิลิปปินส์ ออกมาวิจารณ์รัฐบาลสิงคโปร์ กรณีที่มีการบรรลุข้อตกลงพิเศษกับ
เทย์เลอร์ สวิฟต์ ป๊อปสตาร์สาวชาวอเมริกัน วัย 34 ปี ให้จัดแสดงคอนเสิร์ตเฉพาะสิงคโปร์ประเทศเดียวเท่านั้น โดยไม่ให้
เทย์เลอร์ สวิฟต์ จัดคอนเสิร์ต “The Eras World Tour” ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)
สส.
ซัลเซดา กล่าวเมื่อ 28 ก.พ.2567 ว่า เขาได้ร้องเรียนไปยังกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลสิงคโปร์ที่มีการทำข้อตกลงพิเศษกับ
เทย์เลอร์ สวิฟต์ ป๊อปสตาร์อเมริกัน ในการจัดแสดงคอนเสิร์ตเฉพาะในสิงคโปร์ประเทศเดียวเท่านั้น โดย สส.
ซัลเซดา ยังชี้ว่าการดำเนินการของสิงคโปร์ในเรื่องนี้เป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลฟิลิปปินส์
‘
นี่ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้านที่ดีที่ควรจะทำกัน’ นายซัลเซดา ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ และเป็น สส.ของจังหวัดอัลเบย์ กล่าว อีกทั้งยังบอกด้วยว่า ‘
ประเทศต่างๆ ในอาเซียนของเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการกระทำเช่นนั้นจึงทำให้เจ็บปวด’
ในขณะที่ เดอะ สตาร์ สื่อภาษาอังกฤษในฟิลิปปินส์ ชี้ว่า แฟนเพลงของ
เทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่เรียกกันว่า สวิฟตีส์ บางคนรู้สึกไม่พอใจ หลังจาก นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า Anschutz Entertainment Group โปรโมเตอร์ผู้จัดคอนเสิร์ต บอกเขาว่ารัฐบาลสิงคโปร์ได้เสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์) สำหรับแต่ละคอนเสิร์ตของ
เทย์เลอร์ สวิฟต์ เพื่อไม่ให้จัดคอนเสิร์ตในประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คอนเสิร์ต The Eras Tour ของเ
ทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่สิงคโปร์ จัด 6 รอบ เริ่มวันที่ 2 มีนาคม นี้จากนั้นคือวันที่ 3,4,7,8 และ 9 มีนาคม 2567 หลังจากก่อนหน้านี้ เ
ทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้จัดแสดงคอนเสิร์ต ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
กูรูชี้ ทองคำขาขึ้นเต็มตัว ทุบสถิตินิวไฮไม่หยุด ลุ้นแตะ 38,000 บาท
https://www.matichon.co.th/economy/news_4451439
กูรูชี้ทองคำกลับหัววิ่งขาขึ้นเต็มตัว หลังราคากระโดดทุบสถิติใหม่ไม่หยุด ลุ้นแตะ 38,000 บาท
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม นาย
พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 600 บาท ภายใน 2 วันทำการ โดยล่าสุดทองคำแท่งราคารับซื้ออยู่ที่ 35,100.00 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,200.00 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณราคารับซื้ออยู่ที่ 34,473.84 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,700.00 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ราคาที่ปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงขณะนี้ ถือว่าทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งความจริงวกกลับมาเป็นขึ้นตั้งแต่ช่วงราคาแตะ 34,400 บาทต่อบาททองคำแล้ว ขณะนี้ถือเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือออลไทม์ไฮ โดยเป้าหมายราคาในระยะยาวช่วง 1-2 ปีนี้ ที่ระดับราคา 38,000 บาทต่อบาททองคำ ถือว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนในช่วงสั้นๆ นี้ คาดว่าราคาจะปรับขึ้นไปที่ 36,000 บาทต่อบาททองคำได้
“
ทองคำกลับหัวเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ทำลายสถิติสูงสุดที่เคยขี้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จากการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ที่ออกมาน้อยกว่าคาดไว้ ประมาณ 2% กว่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องการควบคุมให้อยู่ระดับประมาณนี้อยู่แล้ว จึงเป็นความหวังให้เฟดถึงเวลาปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว บวกกับเงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ถึงแม้ช่วงวันที่ผ่านมาจะแข็งค่าขึ้นบ้าง เพราะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เข้ามา แต่ก็ยังอ่อนค่าอยู่ ถือเป็นแรงสนับสนุนราคาทองคำได้อย่างต่อเนื่อง” นาย
พิบูลย์ฤทธิ์ กล่าว
นาย
พิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวว่า ราคาทองคำสปอต อยู่ประมาณ 2,080 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าจะวิ่งขึ้นไปที่เดิมระดับ 2,140 เหรียญสหรัฐต่อบาททองคำ ซึ่งหากปรับขึ้นไปแล้ว จะมีแรงซื้อเข้ามาจากกลุ่มซื้อเทคนิคเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ราคาทองคำจะยิ่งถูกดันสูงขึ้นไปอีก ไม่แตกต่างจากทองคำไทย ที่นักลงทุนมีความเก่งมาก สะท้อนจากตอนนี้ที่แม้มีการปรับขึ้นกว่า 600 บาทต่อบาททองคำแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแรงขายออกมากนัก โดยในช่วงต่อจากนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณลบของราคาทองคำเข้ามาด้วย เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สงครามต่างๆ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทองคำจึงถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความต้องการสูง เป็นหลุมหลบภัยชั้นดี และหากเฟดประกาศลดดอกเบี้ยลงแล้ว จะถือว่าของแสลงของทองคำหมดลง ปัจจัยลบที่มีผลกระทบหนักสุดจะหายไป เป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะถัดไปด้วย
เอกชนกังวลหนัก! สินค้าราคาถูกไร้คุณภาพเข้าไทย มีข้อเสนอแนะแก้ปัญหา
https://www.dailynews.co.th/news/3223652/
ส.อ.ท. กังวลสินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทย ผลสำรวจผู้ประกอบการภาคเอกชนและข้อเสนอแนะแก้ปัญหาอย่างไร พร้อมมีทางออกให้ภาครัฐเร่งจัดการ
นาย
มนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ภายใต้หัวข้อ “
สินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทย ภาคอุตสาหกรรมรับมืออย่างไร” จากความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและสินค้าไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย มากถึง 65.8% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายสินค้าของไทย ลดลงตั้งแต่ 10% จนถึง มากกว่า 30% ในบางอุตสาหกรรม
ซึ่งประเด็นดังกล่าว ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศ เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในประเทศได้ รวมทั้งมีความกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพและไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
จากผลกระทบดังกล่าว ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานและใช้การสําแดงเท็จนำเข้าผ่านด่านศุลกากร ควบคู่ไปกับการตรวจสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดทั้ง มอก. และ อย. รวมทั้ง จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาผ่านช่องทางออนไลน์ E Commerce platform โดยการพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท และออกมาตรการป้องกันการสําแดงราคาเท็จ ตลอดจนทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone Warehouse) เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมในการขายสินค้าในประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงสถานการณ์การแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดอาเซียน ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ต้นทุนการผลิตของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นมากทั้งจากค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าไทยในปัจจุบัน เริ่มที่จะแข่งขันได้ยากยิ่งขึ้นในตลาดอาเซียน ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าไปอาเซียน ปี 2566 ที่ลดลงกว่า 7.12% เมื่อเทียบกับปี 2565
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 234 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทยระดับใด
อันดับที่ 1 : ยอดขายลดลง 10% 20.9%
อันดับที่ 2 : ยอดขายลดลง 20% 19.7%
อันดับที่ 3 : ยอดขายลดลง มากกว่า 30% 17.9%
อันดับที่ 4 : ยอดขายลดลง 30% 7.3%
อันดับที่ 5 : ไม่ได้รับผลกระทบ 34.2%
2. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานในเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : อุตสาหกรรมภายในประเทศสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน 81.2%
อันดับที่ 2 : ความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ 74.4% และไม่มีมาตรฐาน
อันดับที่ 3 : การจัดการขยะที่มาจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า 44.0%
อันดับที่ 4 : การลักลอบนำเข้าสินค้ามาสวมสิทธิของไทยในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ 42.3%
3. ภาคอุตสาหกรรรมีแนวทางการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในตลาดอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้รับรองมาตรฐาน เช่น มอก., อย. 65.8%
อันดับที่ 2 : สร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับ และพัฒนาบริการหลังการขาย 58.1%
อันดับที่ 3 : พัฒนากระบวนการผลิตและสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 49.1%
อันดับที่ 4 : ปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อเจาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ 46.6%
4. ภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าไม่มีมาตรฐานและสําแดงเท็จ 78.2%
อันดับที่ 2 : ทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ 66.2%
อันดับที่ 3 : ทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร 54.7%
อันดับที่ 4 : การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด 48.3%
5. กลุ่มสินค้าใดที่ภาครัฐควรเร่งเข้ามาช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐาน (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : เครื่องใช้ไฟฟ้า 70.1%
อันดับที่ 2 : อาหาร และเครื่องสำอาง 55.6%
อันดับที่ 3 : สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าแฟชั่น 49.6%
อันดับที่ 4 : วัสดุก่อสร้าง 42.7%
อันดับที่ 5 : เครื่องจักรกล 30.3%
6. ภาคอุตสาหกรรมมีมุมมองต่อการแข่งขันกับสินค้าที่ทะลักเข้ามาในตลาดอาเซียนอย่างไร
อันดับที่ 1 : สินค้าไทยแข่งขันได้ยาก เนื่องจากต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง 57.7%
อันดับที่ 2 : สินค้าไทยถูกแยกส่วนแบ่งทางการตลาดบางส่วน แต่ยังสามารถรักษาตลาดไว้ได้ 31.2%
อันดับที่ 3 : สินค้าไทยยังคงเป็นที่นิยมและสามารถแข่งขันได้ 11.1%
JJNY : สส.ฟิลิปปินส์ประท้วง│กูรูชี้ทองคำขาขึ้นเต็มตัว│สินค้าถูกไร้คุณภาพเข้าไทย│ฝังแล้ว!ร่าง‘นาวัลนี’ แห่ด่า‘ปูตินฆาตกร’
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2767375
สส.ฟิลิปปินส์ ประท้วง รบ.สิงคโปร์ ทำข้อตกลงพิเศษกับ 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ป๊อปสตาร์อเมริกัน ไม่ให้จัดคอนเสิร์ต 'Eras Tour' ในประเทศอื่นๆ ในแถบอาเซียน ชี้เพื่อนบ้านที่ดีไม่ควรทำ
เดอะ สเตรทไทม์ สื่อภาษาอังกฤษในสิงคโปร์และสื่อต่างประเทศหลายแห่งรายงาน โจอี้ ซัลเซดา สส. ฟิลิปปินส์ ออกมาวิจารณ์รัฐบาลสิงคโปร์ กรณีที่มีการบรรลุข้อตกลงพิเศษกับเทย์เลอร์ สวิฟต์ ป๊อปสตาร์สาวชาวอเมริกัน วัย 34 ปี ให้จัดแสดงคอนเสิร์ตเฉพาะสิงคโปร์ประเทศเดียวเท่านั้น โดยไม่ให้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ จัดคอนเสิร์ต “The Eras World Tour” ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)
สส.ซัลเซดา กล่าวเมื่อ 28 ก.พ.2567 ว่า เขาได้ร้องเรียนไปยังกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลสิงคโปร์ที่มีการทำข้อตกลงพิเศษกับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ป๊อปสตาร์อเมริกัน ในการจัดแสดงคอนเสิร์ตเฉพาะในสิงคโปร์ประเทศเดียวเท่านั้น โดย สส.ซัลเซดา ยังชี้ว่าการดำเนินการของสิงคโปร์ในเรื่องนี้เป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลฟิลิปปินส์
‘นี่ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้านที่ดีที่ควรจะทำกัน’ นายซัลเซดา ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ และเป็น สส.ของจังหวัดอัลเบย์ กล่าว อีกทั้งยังบอกด้วยว่า ‘ประเทศต่างๆ ในอาเซียนของเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการกระทำเช่นนั้นจึงทำให้เจ็บปวด’
ในขณะที่ เดอะ สตาร์ สื่อภาษาอังกฤษในฟิลิปปินส์ ชี้ว่า แฟนเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่เรียกกันว่า สวิฟตีส์ บางคนรู้สึกไม่พอใจ หลังจาก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า Anschutz Entertainment Group โปรโมเตอร์ผู้จัดคอนเสิร์ต บอกเขาว่ารัฐบาลสิงคโปร์ได้เสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์) สำหรับแต่ละคอนเสิร์ตของเทย์เลอร์ สวิฟต์ เพื่อไม่ให้จัดคอนเสิร์ตในประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คอนเสิร์ต The Eras Tour ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่สิงคโปร์ จัด 6 รอบ เริ่มวันที่ 2 มีนาคม นี้จากนั้นคือวันที่ 3,4,7,8 และ 9 มีนาคม 2567 หลังจากก่อนหน้านี้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้จัดแสดงคอนเสิร์ต ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
กูรูชี้ ทองคำขาขึ้นเต็มตัว ทุบสถิตินิวไฮไม่หยุด ลุ้นแตะ 38,000 บาท
https://www.matichon.co.th/economy/news_4451439
กูรูชี้ทองคำกลับหัววิ่งขาขึ้นเต็มตัว หลังราคากระโดดทุบสถิติใหม่ไม่หยุด ลุ้นแตะ 38,000 บาท
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 600 บาท ภายใน 2 วันทำการ โดยล่าสุดทองคำแท่งราคารับซื้ออยู่ที่ 35,100.00 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,200.00 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณราคารับซื้ออยู่ที่ 34,473.84 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,700.00 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ราคาที่ปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงขณะนี้ ถือว่าทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งความจริงวกกลับมาเป็นขึ้นตั้งแต่ช่วงราคาแตะ 34,400 บาทต่อบาททองคำแล้ว ขณะนี้ถือเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือออลไทม์ไฮ โดยเป้าหมายราคาในระยะยาวช่วง 1-2 ปีนี้ ที่ระดับราคา 38,000 บาทต่อบาททองคำ ถือว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนในช่วงสั้นๆ นี้ คาดว่าราคาจะปรับขึ้นไปที่ 36,000 บาทต่อบาททองคำได้
“ทองคำกลับหัวเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ทำลายสถิติสูงสุดที่เคยขี้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จากการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ที่ออกมาน้อยกว่าคาดไว้ ประมาณ 2% กว่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องการควบคุมให้อยู่ระดับประมาณนี้อยู่แล้ว จึงเป็นความหวังให้เฟดถึงเวลาปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว บวกกับเงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ถึงแม้ช่วงวันที่ผ่านมาจะแข็งค่าขึ้นบ้าง เพราะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เข้ามา แต่ก็ยังอ่อนค่าอยู่ ถือเป็นแรงสนับสนุนราคาทองคำได้อย่างต่อเนื่อง” นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าว
นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวว่า ราคาทองคำสปอต อยู่ประมาณ 2,080 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าจะวิ่งขึ้นไปที่เดิมระดับ 2,140 เหรียญสหรัฐต่อบาททองคำ ซึ่งหากปรับขึ้นไปแล้ว จะมีแรงซื้อเข้ามาจากกลุ่มซื้อเทคนิคเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ราคาทองคำจะยิ่งถูกดันสูงขึ้นไปอีก ไม่แตกต่างจากทองคำไทย ที่นักลงทุนมีความเก่งมาก สะท้อนจากตอนนี้ที่แม้มีการปรับขึ้นกว่า 600 บาทต่อบาททองคำแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแรงขายออกมากนัก โดยในช่วงต่อจากนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณลบของราคาทองคำเข้ามาด้วย เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สงครามต่างๆ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทองคำจึงถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความต้องการสูง เป็นหลุมหลบภัยชั้นดี และหากเฟดประกาศลดดอกเบี้ยลงแล้ว จะถือว่าของแสลงของทองคำหมดลง ปัจจัยลบที่มีผลกระทบหนักสุดจะหายไป เป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะถัดไปด้วย
เอกชนกังวลหนัก! สินค้าราคาถูกไร้คุณภาพเข้าไทย มีข้อเสนอแนะแก้ปัญหา
https://www.dailynews.co.th/news/3223652/
ส.อ.ท. กังวลสินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทย ผลสำรวจผู้ประกอบการภาคเอกชนและข้อเสนอแนะแก้ปัญหาอย่างไร พร้อมมีทางออกให้ภาครัฐเร่งจัดการ
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ภายใต้หัวข้อ “สินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพบุกตลาดไทย ภาคอุตสาหกรรมรับมืออย่างไร” จากความเห็นของผู้บริหาร ส.อ.ท. พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและสินค้าไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย มากถึง 65.8% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายสินค้าของไทย ลดลงตั้งแต่ 10% จนถึง มากกว่า 30% ในบางอุตสาหกรรม
ซึ่งประเด็นดังกล่าว ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมภายในประเทศ เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในประเทศได้ รวมทั้งมีความกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพและไม่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม สินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
จากผลกระทบดังกล่าว ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานและใช้การสําแดงเท็จนำเข้าผ่านด่านศุลกากร ควบคู่ไปกับการตรวจสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดทั้ง มอก. และ อย. รวมทั้ง จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาผ่านช่องทางออนไลน์ E Commerce platform โดยการพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท และออกมาตรการป้องกันการสําแดงราคาเท็จ ตลอดจนทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร (Free Zone Warehouse) เพื่อทำให้เกิดความเท่าเทียมในการขายสินค้าในประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงสถานการณ์การแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดอาเซียน ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ต้นทุนการผลิตของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้นมากทั้งจากค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้สินค้าไทยในปัจจุบัน เริ่มที่จะแข่งขันได้ยากยิ่งขึ้นในตลาดอาเซียน ซึ่งจะเห็นได้จากมูลค่าการส่งออกสินค้าไปอาเซียน ปี 2566 ที่ลดลงกว่า 7.12% เมื่อเทียบกับปี 2565
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 234 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 38 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทยระดับใด
อันดับที่ 1 : ยอดขายลดลง 10% 20.9%
อันดับที่ 2 : ยอดขายลดลง 20% 19.7%
อันดับที่ 3 : ยอดขายลดลง มากกว่า 30% 17.9%
อันดับที่ 4 : ยอดขายลดลง 30% 7.3%
อันดับที่ 5 : ไม่ได้รับผลกระทบ 34.2%
2. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานในเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : อุตสาหกรรมภายในประเทศสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน 81.2%
อันดับที่ 2 : ความปลอดภัยของผู้บริโภคในการเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ 74.4% และไม่มีมาตรฐาน
อันดับที่ 3 : การจัดการขยะที่มาจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า 44.0%
อันดับที่ 4 : การลักลอบนำเข้าสินค้ามาสวมสิทธิของไทยในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ 42.3%
3. ภาคอุตสาหกรรรมีแนวทางการปรับตัวเพื่อแข่งขันกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาในตลาดอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้รับรองมาตรฐาน เช่น มอก., อย. 65.8%
อันดับที่ 2 : สร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับ และพัฒนาบริการหลังการขาย 58.1%
อันดับที่ 3 : พัฒนากระบวนการผลิตและสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 49.1%
อันดับที่ 4 : ปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อเจาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ 46.6%
4. ภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐานอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าไม่มีมาตรฐานและสําแดงเท็จ 78.2%
อันดับที่ 2 : ทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ 66.2%
อันดับที่ 3 : ทบทวนเงื่อนไขการใช้ประโยชน์จากคลังสินค้าในเขตปลอดอากร 54.7%
อันดับที่ 4 : การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด 48.3%
5. กลุ่มสินค้าใดที่ภาครัฐควรเร่งเข้ามาช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบจากสินค้าราคาถูกและไม่มีมาตรฐาน (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : เครื่องใช้ไฟฟ้า 70.1%
อันดับที่ 2 : อาหาร และเครื่องสำอาง 55.6%
อันดับที่ 3 : สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และสินค้าแฟชั่น 49.6%
อันดับที่ 4 : วัสดุก่อสร้าง 42.7%
อันดับที่ 5 : เครื่องจักรกล 30.3%
6. ภาคอุตสาหกรรมมีมุมมองต่อการแข่งขันกับสินค้าที่ทะลักเข้ามาในตลาดอาเซียนอย่างไร
อันดับที่ 1 : สินค้าไทยแข่งขันได้ยาก เนื่องจากต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง 57.7%
อันดับที่ 2 : สินค้าไทยถูกแยกส่วนแบ่งทางการตลาดบางส่วน แต่ยังสามารถรักษาตลาดไว้ได้ 31.2%
อันดับที่ 3 : สินค้าไทยยังคงเป็นที่นิยมและสามารถแข่งขันได้ 11.1%