"นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นวิปัสสนาญาณ ขั้นที่ ๑ ที่เป็นปัญญาที่สมบูรณ์ ที่รู้ตามความเป็นจริงของนามธรรมและรูปธรรม
ที่แยกขาดจากกันอย่างชัดเจน เพราะ ปัญญาคมกล้า ในขณะนั้น
โดยไม่ใช่เพียงการรู้ลักษณะของรูปเท่านั้น เพราะถ้ารู้แต่เพียงลักษณะของรูป แต่นามไม่ปรากฏให้รู้ ก็ไม่สามารถรู้ความแตกต่าง เพราะ ไม่รู้ลักษณะของนาม แต่ต้องประจักษ์ตัวนามธรรมด้วย และ ปัญญาถึงพร้อม เห็นถึงความแตกต่าง
แยกขาดจากกันของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งเกิดทางมโนทวาร ทางใจที่สามารถรู้นามธรรมได้ ซึ่งขณะนั้น โลกสมมติ อัตตา ความเป็นสัตว์ บุคคล ไม่ปรากฏ ปรากฏแต่สภาพธรรม แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตที่เป็นวิปัสสนาญาณเกิด"
ตั้งแต่เกิดมา เราเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา พอเห็นปุ๊บ ก็คิดเป็นเรื่องเป็นราวว่า
- นั่นโต๊ะ นั่นคน นั่นสัตว์เลี้ยง
- อ้าวนั่นพ่อเราจะเดินไปไหน
- อ้าวแม่ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้
- อ้าวไอ้ตูบกำลังกระดิกหางริกๆ อยู่ คงจะกำลังหิวแหละ
- เอ๊ อะไรหว่า ขาวแว่บๆๆ อ้อ แม่สาวน้อยข้างบ้านนั่นเองออกมานั่งซักผ้าหลังบ้าน แหม้ ได้เป็นอาหารตาตรูล่ะ วันนี้
แต่การรับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาจนสามารถรู้ได้ว่าเป็นอะไร จะต้องมีอย่างน้อย 3 สิ่งที่มากระทบกัน คือ 1. รูป(สีสันวรรณะหรือแสง)ที่ปรากฏทางตา 2. จักขุปสาทะ (หรือตา ที่ก็ยังถือว่าเป็นรูป) และ 3. จักขุวิญญาณ หรือธาตุรู้ หรือลักษณะการรับรู้ที่เกิดขึ้นทางตา (นาม)
แต่ว่าตลอดชีวิต เราใส่ใจฝักใฝ่แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายที่กระทบสัมผัส
แต่เราเคยรับรู้หรือแยกออกหรือเปล่าในขณะนั้นว่า จักขุวิญญาณ หรือนาม เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะที่รูปกระทบตา
แค่เพียงการที่สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นระลึกรู้รูปที่กระทบตาให้ตรงและทันท่วงทีกับลักษณะความเป็นจริงของมัน (คือเป็นเพียงแค่สีสันวรรณะที่เกิดแล้วดับๆๆๆๆๆ) ก็ยากแสนยากแล้ว เพราะว่าในแต่ละครั้งที่เห็นสิ่งที่กระทบตา พอเห็นปุ๊บ ก็กลายเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคนสัตว์บุคคลตัวตนมากมาย
แต่ถึงแม้จะรับรู้ลักษณะที่แท้จริงของรูปได้ตรงกับลักษณะจริงๆ แต่การที่สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นระลึกรู้นาม คือ การเห็น ให้แยกขาดจากสิ่งที่ถูกเห็น (รูป) ก็เป็นเรื่องที่ยากและละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ฉะนั้น การที่จะได้วิปัสสนาญาณ ขั้นที่ ๑ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และไม่ใช่การนึกเอาเองว่า ตัวเองได้ญาณขั้นที่ 1 แล้วอย่างที่หลายคนมโนและคิดไปเอง
และกว่าจะบรรลุโสดาบัน ยังมีวิปัสสนาญาณอีกตั้ง 16 ขั้นที่ต้องบรรลุให้จบภายในรวดเดียว (ครบรอบ) แล้วเป็นไปได้หรือที่สมัยนี้มีผู้อ้างตัวโดยออกคลิปยูทูปกันมากมายอ้างว่า บรรลุธรรมโน่นนี่นั่น
บางคนก็บรรลุธรรมแบบเบลอๆ งงๆ มึนๆ แล้วก็ยังมานั่งสงสัยว่า ตัวเองบรรลุธรรมแล้วหรือยังเนี่ย ต้องไปเที่ยวถามคนอื่นว่าตัวเองบรรลุธรรมหรือยัง แต่ในพระไตรปิฎก บุคคลใดบรรลุโสดาบัน บุคคลนั้นรู้ตัวเองทันทีโดยไม่ต้องมีใครบอก เช่นนางขุชชุตรา กลับจากซื้อดอกไม้ แวะฟังธรรมที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรม แล้วจึงบรรลุโสดาบันทันที ไม่ต้องอาศัยใครบอก ไม่ใช่บรรลุโสดาบันแบบมึนๆ งงๆ เบลอๆ แต่รู้แน่ใจของตนเองว่า ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว
อย่างคลิปนี้ ผู้บรรยายเสื้อขาว ก็อ้างว่าบรรลุโสดาบันแล้ว มาบรรยายเป็นตุเป็นตะ มีธาตุรู้ 1 ธาตุรู้ 2 ด้วย เออแปลกดี ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่สร้างคำสอนใหม่ขึ้นมาเองเป็นตุเป็นตะ แถมยังบอกว่า ธาตุรู้ 2 เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นอัตตา (คือตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย)
มีใครสามารถแยกการเห็น (นาม) ออกจากสิ่งที่ถูกเห็น (รูป) ได้มั้ยครับ
ตั้งแต่เกิดมา เราเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา พอเห็นปุ๊บ ก็คิดเป็นเรื่องเป็นราวว่า
- นั่นโต๊ะ นั่นคน นั่นสัตว์เลี้ยง
- อ้าวนั่นพ่อเราจะเดินไปไหน
- อ้าวแม่ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้
- อ้าวไอ้ตูบกำลังกระดิกหางริกๆ อยู่ คงจะกำลังหิวแหละ
- เอ๊ อะไรหว่า ขาวแว่บๆๆ อ้อ แม่สาวน้อยข้างบ้านนั่นเองออกมานั่งซักผ้าหลังบ้าน แหม้ ได้เป็นอาหารตาตรูล่ะ วันนี้
แต่การรับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาจนสามารถรู้ได้ว่าเป็นอะไร จะต้องมีอย่างน้อย 3 สิ่งที่มากระทบกัน คือ 1. รูป(สีสันวรรณะหรือแสง)ที่ปรากฏทางตา 2. จักขุปสาทะ (หรือตา ที่ก็ยังถือว่าเป็นรูป) และ 3. จักขุวิญญาณ หรือธาตุรู้ หรือลักษณะการรับรู้ที่เกิดขึ้นทางตา (นาม)
แต่ว่าตลอดชีวิต เราใส่ใจฝักใฝ่แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายที่กระทบสัมผัส
แต่เราเคยรับรู้หรือแยกออกหรือเปล่าในขณะนั้นว่า จักขุวิญญาณ หรือนาม เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะที่รูปกระทบตา
แค่เพียงการที่สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นระลึกรู้รูปที่กระทบตาให้ตรงและทันท่วงทีกับลักษณะความเป็นจริงของมัน (คือเป็นเพียงแค่สีสันวรรณะที่เกิดแล้วดับๆๆๆๆๆ) ก็ยากแสนยากแล้ว เพราะว่าในแต่ละครั้งที่เห็นสิ่งที่กระทบตา พอเห็นปุ๊บ ก็กลายเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคนสัตว์บุคคลตัวตนมากมาย
แต่ถึงแม้จะรับรู้ลักษณะที่แท้จริงของรูปได้ตรงกับลักษณะจริงๆ แต่การที่สติปัฏฐานจะเกิดขึ้นระลึกรู้นาม คือ การเห็น ให้แยกขาดจากสิ่งที่ถูกเห็น (รูป) ก็เป็นเรื่องที่ยากและละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ฉะนั้น การที่จะได้วิปัสสนาญาณ ขั้นที่ ๑ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และไม่ใช่การนึกเอาเองว่า ตัวเองได้ญาณขั้นที่ 1 แล้วอย่างที่หลายคนมโนและคิดไปเอง
และกว่าจะบรรลุโสดาบัน ยังมีวิปัสสนาญาณอีกตั้ง 16 ขั้นที่ต้องบรรลุให้จบภายในรวดเดียว (ครบรอบ) แล้วเป็นไปได้หรือที่สมัยนี้มีผู้อ้างตัวโดยออกคลิปยูทูปกันมากมายอ้างว่า บรรลุธรรมโน่นนี่นั่น
บางคนก็บรรลุธรรมแบบเบลอๆ งงๆ มึนๆ แล้วก็ยังมานั่งสงสัยว่า ตัวเองบรรลุธรรมแล้วหรือยังเนี่ย ต้องไปเที่ยวถามคนอื่นว่าตัวเองบรรลุธรรมหรือยัง แต่ในพระไตรปิฎก บุคคลใดบรรลุโสดาบัน บุคคลนั้นรู้ตัวเองทันทีโดยไม่ต้องมีใครบอก เช่นนางขุชชุตรา กลับจากซื้อดอกไม้ แวะฟังธรรมที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรม แล้วจึงบรรลุโสดาบันทันที ไม่ต้องอาศัยใครบอก ไม่ใช่บรรลุโสดาบันแบบมึนๆ งงๆ เบลอๆ แต่รู้แน่ใจของตนเองว่า ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว
อย่างคลิปนี้ ผู้บรรยายเสื้อขาว ก็อ้างว่าบรรลุโสดาบันแล้ว มาบรรยายเป็นตุเป็นตะ มีธาตุรู้ 1 ธาตุรู้ 2 ด้วย เออแปลกดี ไม่มีในพระไตรปิฎก แต่สร้างคำสอนใหม่ขึ้นมาเองเป็นตุเป็นตะ แถมยังบอกว่า ธาตุรู้ 2 เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นอัตตา (คือตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย)