Budo Madai หรือ Sakura Sea Bream (กะพงแดง)
เกิดจากการประมงหมู่เกาะคุจูคุชิมะ หรือหมู่เกาะ 99 เกาะ (99 个岛屿)
ที่อยู่ในอ่าวซาเซโบะ เมืองซาเซโบะ จังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากเปิดเรื่องของภาพยนต์เรื่อง The Last Samurai
เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมที่สำคัญแห่งหนึ่ง มี "อามะ" 海女 หญิงดำน้ำต้วเปล่าเก็บหอย
อาชีพที่สืบทอดมาสองพันปี จึงทำให้มีสินค้าขึ้นชื่อ คือ หอยนางรม และไข่มุก
ฟาร์มเลี้ยงปลา Madai ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่และพิถีพิถัน ในทะเลทางตะวันตกของญี่ปุ่น
โดยอาหารที่ใช้เลี้ยงปลา เป็นอาหารที่ฟาร์มผลิตขึ้นเอง โดยเฉพาะองุ่นที่อุดมไปด้วยโพลีฟีนอล
ซึ่งได้ทำการวิจัยร่วมกับผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำของจังหวัด
เอกลักษณ์ของ Budou Madai จะมีลำตัวเป็นสีแดง ก่อนที่จะวางไข่ในต้นฤดูใบไม้ผลิ
ใกล้กับการบานของดอกซากุระ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "Sakura Sea Bream"
“Budou Madai" นั้นเป็นยี่ห้อ Red Sea Bream ที่ผสมพันธุ์ขึ้นมา และเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ดั้งเดิม
ที่มี polyphenols ในเมล็ดองุ่น หลังจากการวิจัยซ้ำกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ มันถูกเลี้ยงด้วยอาหาร
ที่มีแอสตาแซนธินมากกว่าอาหารมาตรฐาน เพื่อให้มีสีแดงอมชมพูสดใส
ไม่มีการเติมสารเร่งโต และยังรักษาสุขภาพของปลาให้ดี โดยการควบคุมปริมาณปลาในกระชังที่มีขนาดใหญ่
เพื่อไม่ให้ปลาเกิดความเครียดในขณะที่กำลังเจริญเติบโต จึงได้ปลาที่เนื้อแน่นและมีรสหวาน"
(ภาพจากเฟซบุ๊กของทางร้าน)
ข้อความข้างต้น คือ ข้อความที่เพื่อนผู้ชำนาญในวัตถุดิบและอาหารญี่ปุ่น
ได้โพสภาพปลาชนิดนี้ที่สั่งมากินที่บ้านเอาไว้ในเฟซบุ๊ก ดูแล้วอยากกินบ้าง
สอบถามได้ความว่าซื้อมาจากบริษัทนำเข้าวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่น ในซอยสุขุมวิท 49/1
บริษัทนี้เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Sushi Katsu ที่ไอค่อนสยามด้วย
ลองติดต่อไปทางไลน์ของบริษัท @uokatsu.japan.th
ได้ความว่าต้องสั่งปลาล่วงหน้าในวันพุธ เพื่อรับวันศุกร์ และ สั่งวันอาทิตย์เพื่อรับวันอังคาร
โดยจะไปรับที่หน้าร้านของบริษัท หรือให้ไรเดอร์มาส่งคิดตามระยะทางก็ได้
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ ไม่สั่งกุหลาบ แต่สั่งปลาสีซากุระ Sakura Sea Bream
เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งตรุษจีน กินปลาแล้ว “年年有余”
“เหนียนเหนียนโหย่วอวี๋” มีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้ทุกปี กินปลาดีกว่า
วันศุกร์ที่ 16 ได้ปลาน้ำหนัก 1.38 กิโลฯ ๆ ละ 680 บาท เป็นเงิน 938.40 บาท ค่าส่ง 80 บาท
ถ้าสั่งถึงสามพันบาทส่งฟรี ให้มาส่งประมาณสี่โมงเย็น เพราะเป็นเวลาที่กลับถึงบ้านจากที่ทำงาน
ทางร้านทำปลาและทำความสะอาดปลา แล่และห่อแต่ละชิ้นด้วยกระดาษซับเลือดปลาใส่กล่องโฟมมาส่ง
ได้เนื้อปลาแล่เป็นชิ้นใหญ่ตามความยาวลำตัว (Filet) 2 ชิ้น
เนื้อปลาชิ้นเล็ก 2 ชิ้น
หัวปลาผ่ากลาง 2 ชิ้น
และกระดูกปลาติดเนื้อ 1 ชิ้น
มีอุปกรณ์การกินทั้งวาซาบิและโชยุให้สองชุด
Budo Madai กินอร่อยทั้งดิบ และสุก (ต้ม หรือย่าง)
แต่กินดิบไม่ลอกหนังปลาออก หนังปลาจะเหนียวมาก ต้องลนไฟจึงจะอร่อย
ลงทุนสั่งหัวไฟฟู่และแก๊สกระป๋องเพื่อเผา (Burn) เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ไม่เคยใช้อุปกรณ์แบบนี้ หวั่น ๆ อยู่ว่าจะกลายเป็นปลาเผา
กินอาหารญี่ปุ่นต้องดื่มเครื่องดื่มญี่ปุ่น แถวบ้านไม่มีสาเก มีแต่เบียร์กระป๋อง
ทางร้านไม่ได้ดึงก้างปลาออกให้ ถึงจะมีก้างปลาไม่มาก
แต่ไม่มีแหนบดึงออกยาก จึงหั่นเนื้อปลาตรงส่วนใกล้พุงติดก้างปลาออกไว้ต้ม
แบ่งเนื้อปลาชิ้นใหญหนึ่งชิ้นหั่นตามยาวเป็นสองชิ้น
หั่นกินดิบทั้งหนังบางส่วน ที่เหลือใช้ที่พ่นไฟเผาหนังปลา
จากนั้นแล่เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เนื่องจากไม่มีมีดแล่ปลาราคาแพง จึงแล่ออกมาไม่ค่อยงามนัก
ลองกินดิบทั้งหนังปลา หนังปลาเหนียวมาก จึงต้องพ่นไฟอีกครั้ง
ไฟแรงไปหน่อย เนื้อปลาเริ่มสุกกึ่งดิบ แต่ไม่กลายเป็นปลาเผาอย่างที่กลัว
หนังปลาสุกกินง่าย เนื้อปลาสดเพิ่งลงจากเครื่องตอนเช้ากินเย็น เนื้อหวานมาก
เนื้อปลาที่เหลือแช่ในช่องใต้ช่องแช่แข็ง (Chill) ไว้ทำกินอีกวัน
วันเสาร์ที่ 17-2-24 อยู่บ้านกันสองคน
เช้าเก็บตะลิงปลงได้ 2.4 กิโลฯ ทำแช่อิ่มอบแห้ง
เนื้อปลาที่เหลือจะทำสองอย่าง
หัวและกระดูกปลาและเศษปลาทำน้ำแกง เดิมต้งใจจะทำชาบู หรือไม่ก็นาเบะ
แต่เนื้อปลาไม่พอจึงเปลี่ยนเป็นข้าวต้ม เนื้อชิ้นใหญ่อีกชิ้นทำปลาย่าง
แบ่งรากเอี่ยซิม (เอี่ยซิมชิว/American Ginseng Root)
ที่ซื้อไว้หนึ่งห่อ 150 บาท จากตลาดเหล่งบ๊วยเอี๊ย (เยาวราช 6/เจริญกรุง 16)
เอามาใส่ในน้ำต้มกระดูกเป็ดย่าง เพื่อต้มหัวและกระดูกปลาสำหรับทำข้าวต้ม
เจียวกระเทียมสำหรับโรยข้าวต้ม เก็บน้ำมันติดกระทะไว้ย่างปลา
ต้มน้ำแกงกระดูกเป็ดย่าง ใส่รากผักชีและเอี่ยซิมชิว
แล่เศษปลาติดพุงสองชิ้นเล็กเตรียมไว้
พอน้ำแกงเดือดใส่หัวปลาและกระดูกปลาลงไปต้มจนสุก
หั่นขิงแก่ลงไป 5 ชิ้นพอดับกลิ่นคาวปลาที่อาจมีจากเลือดปลาตกค้าง
แต่ไม่ใส่มากจนน้ำแกงมีรสเผ็ดกลบความหวานของน้ำแกง
จากนั้นใส่เนื้อปลาที่เหลือลงไปต้มพอสุก
แค่เนื้อปลาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นคงความนุ่มของเนื้อปลา
เนื้อปลาชิ้นใหญ่นำมาบั้ง โรยเกลือและพริกไทยบาง ๆ
นำไปย่างด้วยกระทะโดยเอาด้านหนังปลาลงก่อน
โรยเกลือและพริกไทยบาง ๆ บนเนื้อปลา
พอหนังปลาเริ่มเกรียมได้ที่ พลิกย่างด้านเนื้อจนสุก
ตักใส่จาน
เตรียมผักสลัดทั้งกรีนโอ๊คและผักคอส
ไม่มีครีมซ้อสจิ้มปลา แทนด้วยน้ำสลัดงาคั่วรสเผ็ด
แต่งจานปลาให้มีสีสันด้วยมะเขือเทศและแตงร้าน
มีซาชิมิถ้วยน้ำจิ้มไม่สวยเหลืออยู่ในตู้เย็นเอามากินต่อให้หมด
อุ่นข้าวสวยที่หุงด้วยข้าวผกาอำปึล ปกติไม่หุงข้าวแข็ง จึงไม่ต้องต้มซ้ำกับน้ำแกง
จากนั้นตักน้ำแกง หัวปลา เนื้อปลาตามลงไป โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชีและกระเทียมเจียว
ขาดอะไรอีกนะ
ขาดของหวาน
Gingko แปะก๊วยต้มน้ำตาลทรายแดง
ข้าวต้มอร่อย เนื้อปลารัดตัวแน่นหวาน
น้ำแกงหวานธรรมชาติ จากน้ำต้มกระดูกเป็ดย่าง กระดูกปลา และเอี่ยซิมชิว
เนื้อติดกระดูกใช้ส้อมเลาะกินจนหมด
หนังปลาย่างกรอบไม่เหนียว
เนื้อปลาแน่นเป็นลิ่มหวาน
ห่อเป็นตำราดด้วยน้ำสลัดงาคั่ว
สั่งปลามาทำหินเอง ถูกกว่าไปกินที่ร้านกว่า 3 เท่าตัว
ถ้าทำกินกันเองบ่อย คงต้องหาซื้อมีดทำปลาดี ๆ คม ๆ มาใช้สักเล่ม
ปลาญี่ปุ่นสดใหม่อร่อย กินกับเบียร์ญี่ปุ่นเย็น ๆ
ปิดท้ายมื้ออร่อยกับปลาดี ๆ ด้วยส้มจุกญี่ปุ่นเดโกปอง
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ได้ที่เพจ "เที่ยวไปกินไป by laser"
https://th-th.facebook.com/เที่ยวไปกินไป-by-laser-458383970993701
ที่เอาไว้รวบรวมเรื่องเที่ยวเรื่องกิน ที่สั้นเกินกว่าจะนำมาลงเป็นบทความ
หรือ อยู่ระหว่างรวบรวมเป็นบทความที่สมบูรณ์ ที่อาจใช้เวลาหลายปี
#กินตามอาสาม #อร่อยกับอาสาม #ตามรอยอาสาม #เที่ยวกับอาสาม
[CR] ทำกินกันเอง by laser : Budou Madai
เกิดจากการประมงหมู่เกาะคุจูคุชิมะ หรือหมู่เกาะ 99 เกาะ (99 个岛屿)
ที่อยู่ในอ่าวซาเซโบะ เมืองซาเซโบะ จังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากเปิดเรื่องของภาพยนต์เรื่อง The Last Samurai
เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมที่สำคัญแห่งหนึ่ง มี "อามะ" 海女 หญิงดำน้ำต้วเปล่าเก็บหอย
อาชีพที่สืบทอดมาสองพันปี จึงทำให้มีสินค้าขึ้นชื่อ คือ หอยนางรม และไข่มุก
ฟาร์มเลี้ยงปลา Madai ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่และพิถีพิถัน ในทะเลทางตะวันตกของญี่ปุ่น
โดยอาหารที่ใช้เลี้ยงปลา เป็นอาหารที่ฟาร์มผลิตขึ้นเอง โดยเฉพาะองุ่นที่อุดมไปด้วยโพลีฟีนอล
ซึ่งได้ทำการวิจัยร่วมกับผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำของจังหวัด
เอกลักษณ์ของ Budou Madai จะมีลำตัวเป็นสีแดง ก่อนที่จะวางไข่ในต้นฤดูใบไม้ผลิ
ใกล้กับการบานของดอกซากุระ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "Sakura Sea Bream"
“Budou Madai" นั้นเป็นยี่ห้อ Red Sea Bream ที่ผสมพันธุ์ขึ้นมา และเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ดั้งเดิม
ที่มี polyphenols ในเมล็ดองุ่น หลังจากการวิจัยซ้ำกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ มันถูกเลี้ยงด้วยอาหาร
ที่มีแอสตาแซนธินมากกว่าอาหารมาตรฐาน เพื่อให้มีสีแดงอมชมพูสดใส
ไม่มีการเติมสารเร่งโต และยังรักษาสุขภาพของปลาให้ดี โดยการควบคุมปริมาณปลาในกระชังที่มีขนาดใหญ่
เพื่อไม่ให้ปลาเกิดความเครียดในขณะที่กำลังเจริญเติบโต จึงได้ปลาที่เนื้อแน่นและมีรสหวาน"
(ภาพจากเฟซบุ๊กของทางร้าน)
ข้อความข้างต้น คือ ข้อความที่เพื่อนผู้ชำนาญในวัตถุดิบและอาหารญี่ปุ่น
ได้โพสภาพปลาชนิดนี้ที่สั่งมากินที่บ้านเอาไว้ในเฟซบุ๊ก ดูแล้วอยากกินบ้าง
สอบถามได้ความว่าซื้อมาจากบริษัทนำเข้าวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่น ในซอยสุขุมวิท 49/1
บริษัทนี้เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Sushi Katsu ที่ไอค่อนสยามด้วย
ลองติดต่อไปทางไลน์ของบริษัท @uokatsu.japan.th
ได้ความว่าต้องสั่งปลาล่วงหน้าในวันพุธ เพื่อรับวันศุกร์ และ สั่งวันอาทิตย์เพื่อรับวันอังคาร
โดยจะไปรับที่หน้าร้านของบริษัท หรือให้ไรเดอร์มาส่งคิดตามระยะทางก็ได้
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ ไม่สั่งกุหลาบ แต่สั่งปลาสีซากุระ Sakura Sea Bream
เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งตรุษจีน กินปลาแล้ว “年年有余”
“เหนียนเหนียนโหย่วอวี๋” มีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้ทุกปี กินปลาดีกว่า
วันศุกร์ที่ 16 ได้ปลาน้ำหนัก 1.38 กิโลฯ ๆ ละ 680 บาท เป็นเงิน 938.40 บาท ค่าส่ง 80 บาท
ถ้าสั่งถึงสามพันบาทส่งฟรี ให้มาส่งประมาณสี่โมงเย็น เพราะเป็นเวลาที่กลับถึงบ้านจากที่ทำงาน
ทางร้านทำปลาและทำความสะอาดปลา แล่และห่อแต่ละชิ้นด้วยกระดาษซับเลือดปลาใส่กล่องโฟมมาส่ง
ได้เนื้อปลาแล่เป็นชิ้นใหญ่ตามความยาวลำตัว (Filet) 2 ชิ้น
เนื้อปลาชิ้นเล็ก 2 ชิ้น
หัวปลาผ่ากลาง 2 ชิ้น
และกระดูกปลาติดเนื้อ 1 ชิ้น
มีอุปกรณ์การกินทั้งวาซาบิและโชยุให้สองชุด
Budo Madai กินอร่อยทั้งดิบ และสุก (ต้ม หรือย่าง)
แต่กินดิบไม่ลอกหนังปลาออก หนังปลาจะเหนียวมาก ต้องลนไฟจึงจะอร่อย
ลงทุนสั่งหัวไฟฟู่และแก๊สกระป๋องเพื่อเผา (Burn) เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ไม่เคยใช้อุปกรณ์แบบนี้ หวั่น ๆ อยู่ว่าจะกลายเป็นปลาเผา
กินอาหารญี่ปุ่นต้องดื่มเครื่องดื่มญี่ปุ่น แถวบ้านไม่มีสาเก มีแต่เบียร์กระป๋อง
ทางร้านไม่ได้ดึงก้างปลาออกให้ ถึงจะมีก้างปลาไม่มาก
แต่ไม่มีแหนบดึงออกยาก จึงหั่นเนื้อปลาตรงส่วนใกล้พุงติดก้างปลาออกไว้ต้ม
แบ่งเนื้อปลาชิ้นใหญหนึ่งชิ้นหั่นตามยาวเป็นสองชิ้น
หั่นกินดิบทั้งหนังบางส่วน ที่เหลือใช้ที่พ่นไฟเผาหนังปลา
จากนั้นแล่เป็นชิ้นเล็ก ๆ
เนื่องจากไม่มีมีดแล่ปลาราคาแพง จึงแล่ออกมาไม่ค่อยงามนัก
ลองกินดิบทั้งหนังปลา หนังปลาเหนียวมาก จึงต้องพ่นไฟอีกครั้ง
ไฟแรงไปหน่อย เนื้อปลาเริ่มสุกกึ่งดิบ แต่ไม่กลายเป็นปลาเผาอย่างที่กลัว
หนังปลาสุกกินง่าย เนื้อปลาสดเพิ่งลงจากเครื่องตอนเช้ากินเย็น เนื้อหวานมาก
เนื้อปลาที่เหลือแช่ในช่องใต้ช่องแช่แข็ง (Chill) ไว้ทำกินอีกวัน
วันเสาร์ที่ 17-2-24 อยู่บ้านกันสองคน
เช้าเก็บตะลิงปลงได้ 2.4 กิโลฯ ทำแช่อิ่มอบแห้ง
เนื้อปลาที่เหลือจะทำสองอย่าง
หัวและกระดูกปลาและเศษปลาทำน้ำแกง เดิมต้งใจจะทำชาบู หรือไม่ก็นาเบะ
แต่เนื้อปลาไม่พอจึงเปลี่ยนเป็นข้าวต้ม เนื้อชิ้นใหญ่อีกชิ้นทำปลาย่าง
แบ่งรากเอี่ยซิม (เอี่ยซิมชิว/American Ginseng Root)
ที่ซื้อไว้หนึ่งห่อ 150 บาท จากตลาดเหล่งบ๊วยเอี๊ย (เยาวราช 6/เจริญกรุง 16)
เอามาใส่ในน้ำต้มกระดูกเป็ดย่าง เพื่อต้มหัวและกระดูกปลาสำหรับทำข้าวต้ม
เจียวกระเทียมสำหรับโรยข้าวต้ม เก็บน้ำมันติดกระทะไว้ย่างปลา
ต้มน้ำแกงกระดูกเป็ดย่าง ใส่รากผักชีและเอี่ยซิมชิว
แล่เศษปลาติดพุงสองชิ้นเล็กเตรียมไว้
พอน้ำแกงเดือดใส่หัวปลาและกระดูกปลาลงไปต้มจนสุก
หั่นขิงแก่ลงไป 5 ชิ้นพอดับกลิ่นคาวปลาที่อาจมีจากเลือดปลาตกค้าง
แต่ไม่ใส่มากจนน้ำแกงมีรสเผ็ดกลบความหวานของน้ำแกง
จากนั้นใส่เนื้อปลาที่เหลือลงไปต้มพอสุก
แค่เนื้อปลาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นคงความนุ่มของเนื้อปลา
เนื้อปลาชิ้นใหญ่นำมาบั้ง โรยเกลือและพริกไทยบาง ๆ
นำไปย่างด้วยกระทะโดยเอาด้านหนังปลาลงก่อน
โรยเกลือและพริกไทยบาง ๆ บนเนื้อปลา
พอหนังปลาเริ่มเกรียมได้ที่ พลิกย่างด้านเนื้อจนสุก
ตักใส่จาน
เตรียมผักสลัดทั้งกรีนโอ๊คและผักคอส
ไม่มีครีมซ้อสจิ้มปลา แทนด้วยน้ำสลัดงาคั่วรสเผ็ด
แต่งจานปลาให้มีสีสันด้วยมะเขือเทศและแตงร้าน
มีซาชิมิถ้วยน้ำจิ้มไม่สวยเหลืออยู่ในตู้เย็นเอามากินต่อให้หมด
อุ่นข้าวสวยที่หุงด้วยข้าวผกาอำปึล ปกติไม่หุงข้าวแข็ง จึงไม่ต้องต้มซ้ำกับน้ำแกง
จากนั้นตักน้ำแกง หัวปลา เนื้อปลาตามลงไป โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชีและกระเทียมเจียว
ขาดอะไรอีกนะ
ขาดของหวาน
Gingko แปะก๊วยต้มน้ำตาลทรายแดง
ข้าวต้มอร่อย เนื้อปลารัดตัวแน่นหวาน
น้ำแกงหวานธรรมชาติ จากน้ำต้มกระดูกเป็ดย่าง กระดูกปลา และเอี่ยซิมชิว
เนื้อติดกระดูกใช้ส้อมเลาะกินจนหมด
หนังปลาย่างกรอบไม่เหนียว
เนื้อปลาแน่นเป็นลิ่มหวาน
ห่อเป็นตำราดด้วยน้ำสลัดงาคั่ว
สั่งปลามาทำหินเอง ถูกกว่าไปกินที่ร้านกว่า 3 เท่าตัว
ถ้าทำกินกันเองบ่อย คงต้องหาซื้อมีดทำปลาดี ๆ คม ๆ มาใช้สักเล่ม
ปลาญี่ปุ่นสดใหม่อร่อย กินกับเบียร์ญี่ปุ่นเย็น ๆ
ปิดท้ายมื้ออร่อยกับปลาดี ๆ ด้วยส้มจุกญี่ปุ่นเดโกปอง
ติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ได้ที่เพจ "เที่ยวไปกินไป by laser"
https://th-th.facebook.com/เที่ยวไปกินไป-by-laser-458383970993701
ที่เอาไว้รวบรวมเรื่องเที่ยวเรื่องกิน ที่สั้นเกินกว่าจะนำมาลงเป็นบทความ
หรือ อยู่ระหว่างรวบรวมเป็นบทความที่สมบูรณ์ ที่อาจใช้เวลาหลายปี
#กินตามอาสาม #อร่อยกับอาสาม #ตามรอยอาสาม #เที่ยวกับอาสาม
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้