เกริ่นก่อนว่าเห็นหลายคนพูดถึง water fasting หรือ prolonged fasting หรือการอดอาหารระยะเวลานาน ๆ มากกว่า 24 ชม. (นิยม48 ชม ขึ้นไป) ว่ามันช่วยในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงลดความอ้วน ก็เลยอยากจะแชร์ว่าในแต่ละวันที่เราเริ่มอดอาหารมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อะไรต้องระวัง และสุดท้ายผลที่ได้มันจะเป็นยังไงนะครับ
ส่วนตัวก็ทำ fasting ชนิดนี้ประจำครับ แต่จะทำ 1 เดือนครั้ง หรือ 2 เดือนครั้ง เพราะวัตถุประสงค์ต้องการจัดการเซลซอมบี้ เซลเก่า(autophagy) มากกว่าเรื่องการลีนไขมัน แล้วด้วยความที่เราเล่นฟิตเนสก็ไม่อยากเสียกล้ามเนื้อด้วยครับ ดังนั้นจะเลือกทำแค่ 2-3 วัน หรือไม่เกิน 72 ชม. ต่อครั้งเท่านั้น
การรีวิวทั้งหมดนี้จะพูดแบบรวม ๆ นะครับ ไม่ได้เจาะจงครั้งใดครั้งหนึ่ง เป็นการรวม ๆ จากหลาย ๆ ครั้งที่ทำมาสรุปครับ ก็จะไม่มีรูปพวก before after มาโชว์ เพราะส่วนตัวก็คิดว่าแค่ 72 ชม. มันไม่ได้ต่างมากขนาดที่จะเห็นด้วยตาได้ครับ แต่คนที่ทำจะสัมผัสได้จากความรู้สึกอยู่ครับ
หมายเหตุ และการเตรียมตัว
- เช็คตัวเองก่อนว่าพร้อมมั๊ย แนะนำว่าควรลองทำ iF แบบปกติมาก่อนนะครับ หรือคนที่เคยทำแบบ omad (กินมื้อเดียวต่อวัน) ยิ่งดีมาก
- มีปัญหาแผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะ ต้องทานยา อย่าหาทำครับ
- เบาหวาน โรคอื่น ๆ ปรึกษาคุณหมอก่อนนะครับ
- ควรเลือกทำวันหยุด ช่วงวันที่ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบดิ้นรนมากครับ เพราะเราจะอ่อนเพลียในระดับหนึ่งเลย
- ถ้าทำแล้ว ปวดหัว รู้สึกไม่ดี ให้ออกก่อนเลยครับ เอาไว้ทำใหม่ทีหลังก็ได้
- การ fasting มันเล่นกับความเครียดและฮอโมนคอติซอล ส่วนตัวไม่แนะนำให้ลากยาวนานเกินไป แนะนำให้ไม่เกิน 72 ชม. พอครับ แค่นี้เราก็ดึงไขมัน สลายเซลเก่าได้เยอะแล้ว โดยไม่รบกวนเซลกล้ามเนื้อครับ
งั้นเรามาเริ่มกันเลย
.
.
วันแรก
- ผมจะจบมื้อสุดท้ายของวันประมาณเที่ยง ๆ จะทานโปรตีนเยอะหน่อยครับ (เริ่มนับชั่วโมงการ fast จากตรงนี้ได้เลยครับ) ต่อจากนาทีนี้เราจะไม่ทานอะไรที่ให้พลังงานเลย
- ประมาณ 1-3 ทุ่ม ออกกำลังกายปกติครับ ก็จะออกเยอะหน่อย เพราะต่อจากนี้จะออกหนักไม่ไหวครับ
- แน่นอน วันนี้ทุกอย่างจะปกติ จะไม่มีอะไรพิเศษครับ ผ่านไปสบาย ๆ
วันที่ 2 (อดมาแล้ว 18+ ชม.)
- ตื่นมาตอนเช้ามันจะรู้สึกเหมือนปกติครับ แต่แนะนำว่าให้ออกกำลังกายตอนเช้า แบบคาดิโอเบา ๆ เน้นโซน 2 สัก 30 นาที
เพราะวันนี้เราจะไม่ได้ทานอะไร ดังนั้นคอติซอลพวกโฮโมนความเรียดมันจะทำงานยาวครับ ถ้าอดเฉย ๆ อาจจะมีอาการปวดหัว(ในบางคน)
ถ้าเราออกกำลังกาย มันจะมีฮอโมนตัวอื่นอย่างเอ็นโดฟิน กลูคากอน โดพามีน มาช่วย ก็จะทำให้สมองโปร่งขึ้นครับ
- ช่วงเที่ยง ๆ บ่าย ๆ จะเริ่มว้าวุ่นแล้วครับ ก็แนะนำให้พยายามข่มใจ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ถ้าจะทานกาแฟดำก็เน้นจิบ ๆ เอา เพื่อระวังเรื่องกรดในกระเพาะอาหาร หรือเป็นชาก็ดีครับจิบ ๆ ทั้งวัน พยายามหาอะไรเบา ๆ ทำ อย่าให้ตัวเองว่างครับ
- 1 ทุ่ม ผมจะออกกำลังกายเหมือนเดิม แต่เบา ๆ ครับ ไม่เวทเทรนนิ่งจน failure หรือการคาดิโอก็จะแค่ zone 2 เบา ๆ บางวันไม่ไหวก็ดูซีรี่ย์ ดูหนัง งีบ แล้วแต่อารมณ์ครับ
- วันนี้ในช่วงที่จะนอน จะเป็นอะไรที่ว้าวุ่นที่สุดแล้วครับ หัวใจจะเต้นเร็ว ท้องร้อง บางทีจะนอนไม่หลับเลย จะกลายเป็นนอนไม่พอ ถ้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดเราจะสามารถตื่นสาย หรืองีบเพิ่มได้ครับ นี่เหตุผลหนึ่งที่แนะนำให้ทำข่วงวันหยุด
วันที่ 3
หลังจากตื่นนอนก็น่าจะเข้าชั่วโมงที่ 42+ แล้วครับ
- ตอนเช้าผมก็เลือกออกกำลังกายเบา ๆ ครับ ด้วยเหตุผลเดิมเลยคือลดเอฟเฟกของคอติซอล
- วันนี้เราจะสบายกว่าเมื่อวานมาก ก็คือจะไม่หิวแล้วครับแม้ว่าท้องจะร้องเหมือนเดิม
แม้วันนี้เราจะรู้ตัวเลยว่าแรงมันดรอบลงมาก แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่นะครับ
- วันนี้จะถ่ายเหลว ท้องเสีย เพราะเราน่าจะไม่มีอะไรค้างในท้องหลังจากถ่ายไปในตอนเช้าแล้วครับ บางคนอาจจะเข้าห้องน้ำบ่อย กินน้ำแล้วสักพักก็จะต้องวิ่งเข้าห้องน้ำแล้ว
- วันนี้แนะนำให้ดื่มน้ำผสมเกลือชมพู เพื่อเติมโซเดียมและเกลือแร่ให้ร่างกายนะครับ เพราะระดับโซเดียมน่าจะลดเยอะ บางคนจะเวียนหัว อาจจะรู้สึกวูบได้ง่าย
- การออกกำลังกายตอนเย็นยังทำได้แต่เน้นเบา ๆ เพราะการออกหนักมันจะวูบง่ายมากครับ Zone 1-2 พอครับ
- การนอน หลับสบาย หัวใจไม่เต้นเร็วแล้ว จิตใจอาจจะคิดถึงอาหารบ้าง แต่ไม่รู้สึกทรมาณ หลายคนที่อดมาถึงวันนี้ก็คิดว่าอยากจะอดต่อ เพราะมันเริ่มง่ายแล้วครับ
วันที่ 4
(เข้าสู่ชั่วโมงที่ 66+ แล้วครับ)
วันนี้ก็เป็นวันจะต้องออกจากโปรแกรมแล้ว ใครจะออกจากโปรแกรมตอนไหนก็ได้ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 72 ชม. ก็ได้ครับ เพราะเป้าหมายเราไม่เกิน 72 ชม. เพื่อไม่ให้ร่างกายเราเครียดมากเกินไปจนสลายกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงาน
- ของผมก็จะออกกำลังกายเช้าเหมือนเดิม แต่วันนี้หลังจากออกเสร็จ อาบน้ำเสร็จ ก็จะออกจากโปรแกรมเลย
*การออกจากโปรแกรมต้อง refeed ให้เป็นครับ ตอนนี้ร่างกายของเราจะไวกับคาร์บมาก มื้อแรกห้ามกินคาร์บ gi สูงเด็ดขาด พวกน้ำตาล แป้งขัดขาวต่าง ๆ ไม่งั้นเราจะบวมน้ำ และอาจจะร้ายแรงถึงขั้นช็อคได้ครับ
- มื้อแรก ผมจะรองท้องด้วยไข่ต้ม 3 ฟอง ก่อนครับ อาจจะมีเวย์โปรตีนบ้าง เน้นค่อย ๆ กิน กินแล้วรอไปประมาณ 1-2 ชม. ให้ไข่ค่อย ๆ ย่อย ก็จะถือว่าออกจากโปรแกรมได้แล้วครับ ทีนี้ร่างการก็จะลดอาการไวต่อคาร์บลง ก็กินอาหารปกติได้แล้วครับ
......................................
ผลจากการทำ prolonged fasting ถ้าใครที่ body fat ไม่ได้เยอะมากเกินไป จะเห็นผลชัดครับว่าตัวบางลงจริง อย่างผมก็จะเห็นขัดเลยว่า love handle บางลง บางคนลองชั่งน้ำหนักก็จะเจอว่าน้ำหนักลงด้วยครับ ไม่ใช่ลงเพราะน้ำในร่างกาย ไกลโคเจน หรืออาหารนะครับ เป็นน้ำหนักไขมันเลย เพราะหลังจากออกกินปกติ น้ำหนักก็วน ๆ เวียน ๆ อยู่ในระดับนี้ ไม่ค่อยเปลี่ยนครับ
ส่วนเรื่องชะลอวัย อันนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องภายในร่างกาย ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่คิดว่าน่าจะกำจัดเซลซอมบี้ เซลที่แก่ได้เยอะอยู่ครับ 😅
ส่วนที่ผมชอบเรื่องการทำ water fast ที่สุด คงเป็นเรื่องที่ทำให้เราอยากกินอาหารมากขึ้น เพราะช่วงหลัง ๆ มีอาการเบื่ออาหารครับ ตอนทำก็จะนึกถึงของกินเยอะแยะไปหมด
หมายเหตุ :
ย้ำอีกครั้งว่า water fasting / prolonged fasting ไม่ใช่อะไรที่ปกตินะครับ มันไม่ใช่กิจกรรมปกติเลย ต้องเช็คร่างกายว่าพร้อมจริง ๆ เวลาพร้อม สถานที่พร้อม
และไม่ควรทำต่อเนื่อง เพราะมันจะกลายเป็นการทรมาณร่างกาย จากที่หวังว่าจะลด จะกลายเป็นการจุดชนวนโยโย่เอฟเฟ็กในอนาคตแทนครับ แถมระหว่างนั้นจะขาดสารอาหารด้วยครับ
ปล. กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้ที่อยากให้ผู้อ่านอยากทำตามนะครับ แต่เน้นแชร์ประสบการณ์ สำหรับคนที่ตั้งใจจะทำ จะได้ทำแล้วปลอดภัย ไม่เป็นผลเสีย
ให้การทำ Fasting เป็นแค่วิธีการแฮกร่างกาย
ไม่ใช่ความเชื่อ ความศรัทธา ทำแบบงมงายจนกลายเป็นส่งผลเสียครับ
แชร์ประสบการณ์ IF แบบยาว หรือที่เรียกว่า water fasting หรือ prolonged fasting 72 ชม. ครับ
ส่วนตัวก็ทำ fasting ชนิดนี้ประจำครับ แต่จะทำ 1 เดือนครั้ง หรือ 2 เดือนครั้ง เพราะวัตถุประสงค์ต้องการจัดการเซลซอมบี้ เซลเก่า(autophagy) มากกว่าเรื่องการลีนไขมัน แล้วด้วยความที่เราเล่นฟิตเนสก็ไม่อยากเสียกล้ามเนื้อด้วยครับ ดังนั้นจะเลือกทำแค่ 2-3 วัน หรือไม่เกิน 72 ชม. ต่อครั้งเท่านั้น
การรีวิวทั้งหมดนี้จะพูดแบบรวม ๆ นะครับ ไม่ได้เจาะจงครั้งใดครั้งหนึ่ง เป็นการรวม ๆ จากหลาย ๆ ครั้งที่ทำมาสรุปครับ ก็จะไม่มีรูปพวก before after มาโชว์ เพราะส่วนตัวก็คิดว่าแค่ 72 ชม. มันไม่ได้ต่างมากขนาดที่จะเห็นด้วยตาได้ครับ แต่คนที่ทำจะสัมผัสได้จากความรู้สึกอยู่ครับ
หมายเหตุ และการเตรียมตัว
- เช็คตัวเองก่อนว่าพร้อมมั๊ย แนะนำว่าควรลองทำ iF แบบปกติมาก่อนนะครับ หรือคนที่เคยทำแบบ omad (กินมื้อเดียวต่อวัน) ยิ่งดีมาก
- มีปัญหาแผลในกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะ ต้องทานยา อย่าหาทำครับ
- เบาหวาน โรคอื่น ๆ ปรึกษาคุณหมอก่อนนะครับ
- ควรเลือกทำวันหยุด ช่วงวันที่ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบดิ้นรนมากครับ เพราะเราจะอ่อนเพลียในระดับหนึ่งเลย
- ถ้าทำแล้ว ปวดหัว รู้สึกไม่ดี ให้ออกก่อนเลยครับ เอาไว้ทำใหม่ทีหลังก็ได้
- การ fasting มันเล่นกับความเครียดและฮอโมนคอติซอล ส่วนตัวไม่แนะนำให้ลากยาวนานเกินไป แนะนำให้ไม่เกิน 72 ชม. พอครับ แค่นี้เราก็ดึงไขมัน สลายเซลเก่าได้เยอะแล้ว โดยไม่รบกวนเซลกล้ามเนื้อครับ
งั้นเรามาเริ่มกันเลย
.
.
วันแรก
- ผมจะจบมื้อสุดท้ายของวันประมาณเที่ยง ๆ จะทานโปรตีนเยอะหน่อยครับ (เริ่มนับชั่วโมงการ fast จากตรงนี้ได้เลยครับ) ต่อจากนาทีนี้เราจะไม่ทานอะไรที่ให้พลังงานเลย
- ประมาณ 1-3 ทุ่ม ออกกำลังกายปกติครับ ก็จะออกเยอะหน่อย เพราะต่อจากนี้จะออกหนักไม่ไหวครับ
- แน่นอน วันนี้ทุกอย่างจะปกติ จะไม่มีอะไรพิเศษครับ ผ่านไปสบาย ๆ
วันที่ 2 (อดมาแล้ว 18+ ชม.)
- ตื่นมาตอนเช้ามันจะรู้สึกเหมือนปกติครับ แต่แนะนำว่าให้ออกกำลังกายตอนเช้า แบบคาดิโอเบา ๆ เน้นโซน 2 สัก 30 นาที
เพราะวันนี้เราจะไม่ได้ทานอะไร ดังนั้นคอติซอลพวกโฮโมนความเรียดมันจะทำงานยาวครับ ถ้าอดเฉย ๆ อาจจะมีอาการปวดหัว(ในบางคน)
ถ้าเราออกกำลังกาย มันจะมีฮอโมนตัวอื่นอย่างเอ็นโดฟิน กลูคากอน โดพามีน มาช่วย ก็จะทำให้สมองโปร่งขึ้นครับ
- ช่วงเที่ยง ๆ บ่าย ๆ จะเริ่มว้าวุ่นแล้วครับ ก็แนะนำให้พยายามข่มใจ ดื่มน้ำเยอะ ๆ ถ้าจะทานกาแฟดำก็เน้นจิบ ๆ เอา เพื่อระวังเรื่องกรดในกระเพาะอาหาร หรือเป็นชาก็ดีครับจิบ ๆ ทั้งวัน พยายามหาอะไรเบา ๆ ทำ อย่าให้ตัวเองว่างครับ
- 1 ทุ่ม ผมจะออกกำลังกายเหมือนเดิม แต่เบา ๆ ครับ ไม่เวทเทรนนิ่งจน failure หรือการคาดิโอก็จะแค่ zone 2 เบา ๆ บางวันไม่ไหวก็ดูซีรี่ย์ ดูหนัง งีบ แล้วแต่อารมณ์ครับ
- วันนี้ในช่วงที่จะนอน จะเป็นอะไรที่ว้าวุ่นที่สุดแล้วครับ หัวใจจะเต้นเร็ว ท้องร้อง บางทีจะนอนไม่หลับเลย จะกลายเป็นนอนไม่พอ ถ้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดเราจะสามารถตื่นสาย หรืองีบเพิ่มได้ครับ นี่เหตุผลหนึ่งที่แนะนำให้ทำข่วงวันหยุด
วันที่ 3
หลังจากตื่นนอนก็น่าจะเข้าชั่วโมงที่ 42+ แล้วครับ
- ตอนเช้าผมก็เลือกออกกำลังกายเบา ๆ ครับ ด้วยเหตุผลเดิมเลยคือลดเอฟเฟกของคอติซอล
- วันนี้เราจะสบายกว่าเมื่อวานมาก ก็คือจะไม่หิวแล้วครับแม้ว่าท้องจะร้องเหมือนเดิม
แม้วันนี้เราจะรู้ตัวเลยว่าแรงมันดรอบลงมาก แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่นะครับ
- วันนี้จะถ่ายเหลว ท้องเสีย เพราะเราน่าจะไม่มีอะไรค้างในท้องหลังจากถ่ายไปในตอนเช้าแล้วครับ บางคนอาจจะเข้าห้องน้ำบ่อย กินน้ำแล้วสักพักก็จะต้องวิ่งเข้าห้องน้ำแล้ว
- วันนี้แนะนำให้ดื่มน้ำผสมเกลือชมพู เพื่อเติมโซเดียมและเกลือแร่ให้ร่างกายนะครับ เพราะระดับโซเดียมน่าจะลดเยอะ บางคนจะเวียนหัว อาจจะรู้สึกวูบได้ง่าย
- การออกกำลังกายตอนเย็นยังทำได้แต่เน้นเบา ๆ เพราะการออกหนักมันจะวูบง่ายมากครับ Zone 1-2 พอครับ
- การนอน หลับสบาย หัวใจไม่เต้นเร็วแล้ว จิตใจอาจจะคิดถึงอาหารบ้าง แต่ไม่รู้สึกทรมาณ หลายคนที่อดมาถึงวันนี้ก็คิดว่าอยากจะอดต่อ เพราะมันเริ่มง่ายแล้วครับ
วันที่ 4
(เข้าสู่ชั่วโมงที่ 66+ แล้วครับ)
วันนี้ก็เป็นวันจะต้องออกจากโปรแกรมแล้ว ใครจะออกจากโปรแกรมตอนไหนก็ได้ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 72 ชม. ก็ได้ครับ เพราะเป้าหมายเราไม่เกิน 72 ชม. เพื่อไม่ให้ร่างกายเราเครียดมากเกินไปจนสลายกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงาน
- ของผมก็จะออกกำลังกายเช้าเหมือนเดิม แต่วันนี้หลังจากออกเสร็จ อาบน้ำเสร็จ ก็จะออกจากโปรแกรมเลย
*การออกจากโปรแกรมต้อง refeed ให้เป็นครับ ตอนนี้ร่างกายของเราจะไวกับคาร์บมาก มื้อแรกห้ามกินคาร์บ gi สูงเด็ดขาด พวกน้ำตาล แป้งขัดขาวต่าง ๆ ไม่งั้นเราจะบวมน้ำ และอาจจะร้ายแรงถึงขั้นช็อคได้ครับ
- มื้อแรก ผมจะรองท้องด้วยไข่ต้ม 3 ฟอง ก่อนครับ อาจจะมีเวย์โปรตีนบ้าง เน้นค่อย ๆ กิน กินแล้วรอไปประมาณ 1-2 ชม. ให้ไข่ค่อย ๆ ย่อย ก็จะถือว่าออกจากโปรแกรมได้แล้วครับ ทีนี้ร่างการก็จะลดอาการไวต่อคาร์บลง ก็กินอาหารปกติได้แล้วครับ
......................................
ผลจากการทำ prolonged fasting ถ้าใครที่ body fat ไม่ได้เยอะมากเกินไป จะเห็นผลชัดครับว่าตัวบางลงจริง อย่างผมก็จะเห็นขัดเลยว่า love handle บางลง บางคนลองชั่งน้ำหนักก็จะเจอว่าน้ำหนักลงด้วยครับ ไม่ใช่ลงเพราะน้ำในร่างกาย ไกลโคเจน หรืออาหารนะครับ เป็นน้ำหนักไขมันเลย เพราะหลังจากออกกินปกติ น้ำหนักก็วน ๆ เวียน ๆ อยู่ในระดับนี้ ไม่ค่อยเปลี่ยนครับ
ส่วนเรื่องชะลอวัย อันนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องภายในร่างกาย ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่คิดว่าน่าจะกำจัดเซลซอมบี้ เซลที่แก่ได้เยอะอยู่ครับ 😅
ส่วนที่ผมชอบเรื่องการทำ water fast ที่สุด คงเป็นเรื่องที่ทำให้เราอยากกินอาหารมากขึ้น เพราะช่วงหลัง ๆ มีอาการเบื่ออาหารครับ ตอนทำก็จะนึกถึงของกินเยอะแยะไปหมด
หมายเหตุ :
ย้ำอีกครั้งว่า water fasting / prolonged fasting ไม่ใช่อะไรที่ปกตินะครับ มันไม่ใช่กิจกรรมปกติเลย ต้องเช็คร่างกายว่าพร้อมจริง ๆ เวลาพร้อม สถานที่พร้อม
และไม่ควรทำต่อเนื่อง เพราะมันจะกลายเป็นการทรมาณร่างกาย จากที่หวังว่าจะลด จะกลายเป็นการจุดชนวนโยโย่เอฟเฟ็กในอนาคตแทนครับ แถมระหว่างนั้นจะขาดสารอาหารด้วยครับ
ปล. กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้ที่อยากให้ผู้อ่านอยากทำตามนะครับ แต่เน้นแชร์ประสบการณ์ สำหรับคนที่ตั้งใจจะทำ จะได้ทำแล้วปลอดภัย ไม่เป็นผลเสีย
ให้การทำ Fasting เป็นแค่วิธีการแฮกร่างกาย
ไม่ใช่ความเชื่อ ความศรัทธา ทำแบบงมงายจนกลายเป็นส่งผลเสียครับ