การอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF ส่งผลดีต่อสมองและลำไส้
การอดอาหารเป็นช่วง (Intermittent Fasting) คือรูปแบบการรับประทานอาหารที่แบ่งช่วงเวลาในการรับประทานอาหารและอดอาหารออกเป็นช่วงเวลาๆ กัน โดยไม่เน้นที่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคอาหาร แต่การกำหนดเวลาในการรับประทานอาหารจะทำให้ลดปริมาณการกินอาหารและลดพลังงานจากอาหารที่ได้รับ
รูปแบบการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF มีหลากหลายรูปแบบ รูปแบบที่นิยม เช่น
1. 16/8: อดอาหารเป็นเวลา 16 ชั่วโมง และกินอาหารในเวลา 8 ชั่วโมง
2. 5/2: อดอาหาร 2 วันต่อสัปดาห์ โดยในแต่ละวันสามารถกินได้ไม่เกิน 500-600 แคลอรี่
3. EAT-STOP-EAT: อดอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง 1 ครั้งต่อสัปดาห์
จากผลการวิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยระดับคลินิกแห่งชาติจีนเพื่อการศึกษาโรคผู้สูงอายุ พบว่าการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF ส่งผลดีต่อสมองและลำไส้ โดยส่งผลดังนี้
ต่อสมอง
1. สมองส่วน inferior frontal orbital gyrus ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความอยากอาหารและการเสพติด มีความเคลื่อนไหวมากขึ้นในการทำงานสอดประสานกับลำไส้
2. ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมการทดลองสามารถควบคุมความอยากอาหารและพฤติกรรมการกินได้ดีขึ้น
ต่อลำไส้
1. มีสัดส่วนของจุลินทรีย์ในลำไส้บางชนิดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นชนิดที่มีความเกี่ยวข้องในการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันเป็นแนวร่วมระหว่างสมองและลำไส้ (gut-brain axis)
2. ส่งผลให้การทำงานของลำไส้และสมองทำงานร่วมกันเป็นระบบมากขึ้น
โดยกลไกที่คาดว่าจะทำให้เกิดการส่งผลดีต่อสมองและลำไส้ของ IF คือ ระบบจุลชีวนิเวศในลำไส้อาจจะมีการสื่อสารสองทางกับสมองโดยตรง ผ่านการผลิตสารสื่อประสาทและสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทบางอย่าง ซึ่งจะเข้าไปยังสมองทางกระแสเลือดและเครือข่ายเซลล์ประสาท ทำให้สมองทำงานควบคุมพฤติกรรมการกินได้ดีขึ้น
การค้นพบนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนที่พยายามลดน้ำหนัก เนื่องจาก IF เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย
นอกจากการลดน้ำหนักแล้ว IF ยังอาจส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ เช่น
1. ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
3. ช่วยลดความดันโลหิต
4. ช่วยลดระดับไขมันในเลือด
5. เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
6. เพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์
7. ชะลอความเสื่อมของเซลล์
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจจะลองทำ IF ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อน เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ข้อดีของการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF
การอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF มีข้อดีหลายประการ เช่น
1. ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม เช่น ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ ชะลอความเสื่อมของเซลล์
3. ง่ายต่อการปฏิบัติและไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคอาหาร
4. ประหยัดค่าใช้จ่าย
ข้อควรระวังในการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF
สำหรับผู้ที่สนใจจะลองทำ IF ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. สภาพร่างกายและสุขภาพ
2. เป้าหมายในการลดน้ำหนักหรือดูแลสุขภาพ
3. ความสะดวกในการปฏิบัติ
ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ IF ได้แก่
1. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตับ
2.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
3. ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด
4. ผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล
ผู้เริ่มต้นควรเริ่มทำ IF ในรูปแบบที่ง่ายที่สุดก่อน เช่น 16/8 จากนั้นจึงค่อยปรับรูปแบบให้เข้มข้นขึ้นตามลำดับ
ที่มา : เว็บไซต์ BBC
เว็บไซต์ Healthline
เว็บไซต์ Mayo Clinic
การอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF ส่งผลดีต่อสมองและลำไส้
การอดอาหารเป็นช่วง (Intermittent Fasting) คือรูปแบบการรับประทานอาหารที่แบ่งช่วงเวลาในการรับประทานอาหารและอดอาหารออกเป็นช่วงเวลาๆ กัน โดยไม่เน้นที่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคอาหาร แต่การกำหนดเวลาในการรับประทานอาหารจะทำให้ลดปริมาณการกินอาหารและลดพลังงานจากอาหารที่ได้รับ
รูปแบบการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF มีหลากหลายรูปแบบ รูปแบบที่นิยม เช่น
1. 16/8: อดอาหารเป็นเวลา 16 ชั่วโมง และกินอาหารในเวลา 8 ชั่วโมง
2. 5/2: อดอาหาร 2 วันต่อสัปดาห์ โดยในแต่ละวันสามารถกินได้ไม่เกิน 500-600 แคลอรี่
3. EAT-STOP-EAT: อดอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง 1 ครั้งต่อสัปดาห์
จากผลการวิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยระดับคลินิกแห่งชาติจีนเพื่อการศึกษาโรคผู้สูงอายุ พบว่าการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF ส่งผลดีต่อสมองและลำไส้ โดยส่งผลดังนี้
ต่อสมอง
1. สมองส่วน inferior frontal orbital gyrus ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความอยากอาหารและการเสพติด มีความเคลื่อนไหวมากขึ้นในการทำงานสอดประสานกับลำไส้
2. ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมการทดลองสามารถควบคุมความอยากอาหารและพฤติกรรมการกินได้ดีขึ้น
ต่อลำไส้
1. มีสัดส่วนของจุลินทรีย์ในลำไส้บางชนิดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นชนิดที่มีความเกี่ยวข้องในการทำงานอย่างสอดคล้องต้องกันเป็นแนวร่วมระหว่างสมองและลำไส้ (gut-brain axis)
2. ส่งผลให้การทำงานของลำไส้และสมองทำงานร่วมกันเป็นระบบมากขึ้น
โดยกลไกที่คาดว่าจะทำให้เกิดการส่งผลดีต่อสมองและลำไส้ของ IF คือ ระบบจุลชีวนิเวศในลำไส้อาจจะมีการสื่อสารสองทางกับสมองโดยตรง ผ่านการผลิตสารสื่อประสาทและสารพิษที่ออกฤทธิ์ต่อประสาทบางอย่าง ซึ่งจะเข้าไปยังสมองทางกระแสเลือดและเครือข่ายเซลล์ประสาท ทำให้สมองทำงานควบคุมพฤติกรรมการกินได้ดีขึ้น
การค้นพบนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนที่พยายามลดน้ำหนัก เนื่องจาก IF เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วย
นอกจากการลดน้ำหนักแล้ว IF ยังอาจส่งผลดีต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ เช่น
1. ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
3. ช่วยลดความดันโลหิต
4. ช่วยลดระดับไขมันในเลือด
5. เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
6. เพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์
7. ชะลอความเสื่อมของเซลล์
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจจะลองทำ IF ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อน เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ข้อดีของการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF
การอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF มีข้อดีหลายประการ เช่น
1. ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม เช่น ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ ชะลอความเสื่อมของเซลล์
3. ง่ายต่อการปฏิบัติและไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคอาหาร
4. ประหยัดค่าใช้จ่าย
ข้อควรระวังในการอดอาหารเป็นช่วงแบบ IF
สำหรับผู้ที่สนใจจะลองทำ IF ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. สภาพร่างกายและสุขภาพ
2. เป้าหมายในการลดน้ำหนักหรือดูแลสุขภาพ
3. ความสะดวกในการปฏิบัติ
ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ IF ได้แก่
1. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตับ
2.ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
3. ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด
4. ผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล
ผู้เริ่มต้นควรเริ่มทำ IF ในรูปแบบที่ง่ายที่สุดก่อน เช่น 16/8 จากนั้นจึงค่อยปรับรูปแบบให้เข้มข้นขึ้นตามลำดับ
ที่มา : เว็บไซต์ BBC
เว็บไซต์ Healthline
เว็บไซต์ Mayo Clinic