ตอนที่ 8 เผ่าคนไร้สี
ภาพอันมืดมิดเข้ามาปกคลุม ดวงตาค่อย ๆ ลืมขึ้นจากเสียงหลายคนที่กำลังปลุกให้ตื่น ใจความไม่แน่ชัด รู้ได้เพียงมีเสียงหัวเราะปะปน
เสียงทั้งหลายสัมผัสโสตประสาท เสมือนมือคอยเขย่าให้รู้สึกตัว ม่านตาของเธอค่อย ๆ ขยาย มิสซูเห็นดอกไม้อยู่เบื้องหน้า
เพื่อให้แน่ชัด หญิงสาวตื่นอย่างมีสติ พบตนนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพดานประกอบด้วยดอกไม้ บางดอกหุบและบานอย่างช้า ๆ เธอเห็นใบพัดที่กำลังหมุนอยู่หลังดอกไม้ สัมผัสได้ถึงความเย็นสบายและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จนรู้สึกผ่อนคลาย
ความรู้สึกตอนนี้ ตนไม่อยากเชื่อสายตา “โคมไฟที่สวยงามทำมาจากคนไม่จริงใจ”
การตกแต่งภายในกระโจม ไม่สามารถดึงความสนใจได้เท่าเสียงเพื่อนของเธอ มิสซูลุกขึ้นนั่งก้มมองร่างกายตนเอง เธอถอนหายใจอย่างคลายกังวลและตัดสินใจเดินออกจากที่พักของคนป่า
พลันพบแสงสว่างจากภายนอก ทำให้เธอเห็นภาพเบื้องหน้า คนมากมายกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟกัน
“55555555 ซาร่าเด็กบ้าเรียนอย่างเธอเป็นคนคุยสนุกนะ”
“นั้นถือเป็นคนชมนะคะ”
มิสซูสังเกตผู้ชายที่กำลังคุยกับซาร่าเป็นชายคนเดียวกันกับที่ปัดอาวุธเธอ ส่วนบรรยากาศรอบกองไฟมีละอองไฟที่กำลังล่องลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า ถ่านที่ถูกทำจากเถาวัลย์ซึ่งถูกทักถอสานเป็นลอนอย่างสวยงาม ประกอบกับไม้บาร์บีคิวที่เสียบใกล้กัน
หากสังเกตคนที่รายล้อมซาร่าประกอบด้วยผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก รวมทั้งคนชรานักสิบคน หนึ่งในนั้นเธอจำได้ว่าเป็นผู้ชายที่ทำให้เธอตกใจจนสลบเหมือด ใจหนึ่งรู้สึกโกรธแต่อีกใจเต็มด้วยคำถามถึงสิ่งที่คนป่ากระทำกับตน
"ซาร่า” มิสซูตัดสินใจเรียกเพื่อนและกำลังเดินเข้าหากลุ่มคนไม่จริงใจ
การเดินเข้าหาของเธอเป็นที่สะดุดตาของชนเผ่า มิสซูเห็นหญิงนางหนึ่งดูมีอายุกำลังลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหาเธอ
"หนูชื่อมิสซูใช่ไหม ดิฉันในนามหัวหน้าเผ่าโอกุสเติร์ด ขออภัยอย่างสูงที่ทำให้หนูตกใจ หากเราไม่ให้จอร์นล่อพวกเธอ พวกหนูย่อมปฏิเสธการพบปะกับคนอย่างพวกเรา”
"จอร์น" มิสซูอุทานขึ้น
"ถูกแล้ว เด็กที่แหย่เธอ"
มิสซูคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหหมด รับรู้ถึงเหตุผลและเข้าใจแล้วในบัดนี้ ตอนนี้เธอรู้สึกปลอดภัยเปล่งแสงสีเขียวปรากฏออกมา “ค่ะ ไม่เป็นไร หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“มานั่งนี้ด้วยกันมิสซู” ซาร่ากวักมือและตีก้อนหินเบาๆ ที่ถูกปูด้วยหญ้าแห้ง
“คนพวกนี้ต้องการอะไร” เธอถามซาร่าด้วยเสียงกระซิบและทำหน้าครุ่นคิดอย่างสงสัย
“คนโอกุสเติร์ดอยากรู้เกิดอะไรขึ้นกับแผ่นดินนี้ พวกเขาได้ข่าวว่าพวกเราจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน”
มิสซูฟังที่เพื่อนอธิบายพลางหยิบผลไม้ขึ้นมาทาน ทั้งแอบเห็นจอร์นกำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่เหมือนที่พบกันครั้งแรก จนเธอรู้สึกหวาดระแวงผลไม้ แต่ครั้งนี้รสชาติของมันช่างหวานหอมมาก
“ไม่อยากเชื่อค่ะ แต่เป็นความจริง พวกเราเปิดม่านฟ้าแล้วได้ยินคนบนฟ้าพูดแบบนั้น” มิสซูยืนยันอีกเสียง
[โอ้...ฮือ]
ทั้งเผ่าร้องอุทานและส่งเสียงร้องฮือพร้อมกัน ต่างมองหน้ากันและบางคนร้องไห้ บางคนสงสัยกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น เสียงเซ็งแซ่ดังกึกก้องทั่วอาณาบริเวณ
"เงียบหน่อย ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ" เสียงหัวหน้าเผ่าเหมือนมนต์สะกด ทุกคนเบาเสียงลงจนเงียบในที่สุด
“แต่พวกเรามีโอกาสนะคะ” ซาร่าพูดแทรกท่ามกลางความเงียบ
“โอกาส” เสียงเด็กป่าจอร์นร้องอุทานออกมา
“ใช่ค่ะ ภายในสามเดือน กลุ่มคนมีสีจะต้องขายภาพให้ได้ค่ะ”
“เราอยากช่วยแต่พวกเราถูกกีดกันจากพวกเธอ” ลูกชายแม่เฒ่าแสดงอารมณ์แค้นออกมาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ปัดกิ่งไม้จากมิสซูหล่น
“ถ้าจะพูดกันตามเหตุผล คนไร้สีจะไร้ความหมายต่อการขายภาพนะคะ”
“ไร้สีเหรอ เหลวไหลทั้งเพ” ลูกชายต่อว่าด้วยอารมณ์ แต่กลับชะงักลงจากสายตาแม่เฒ่าที่กำลังมองมาที่ลูกชาย พร้อมทั้งสายหน้าเพื่อเตือนให้ระงับอารมณ์
“หรือพวกคุณมีสีเช่นเดียวกัน” ซาร่ามองหน้ามิสซูอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่ พวกเราเป็นคนเหมือนพวกเธอและเหมือนอีกหลายคนในเมือง” ลูกชายแม่เฒ่ากล่าว
“แต่ตอนที่พวกเราเจอกัน คุณไม่มีหมอกแสงเลยสักนิด” มิสซูสงสัยต่อคำพูดของคนไร้ความจริงใจ
“เราแค่ไม่ได้กินผลไม เราออกมาอยู่ป่าเพื่อสร้างสังคมเล็ก ๆเพราะโดนคนเมืองคอยกีดกันเผ่าโอกุสเติร์ดอย่างพวกเรา” ลูกชายพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออก
“แล้วเผ่าของพวกคุณอยู่กันอย่างไรค่ะ ในเมื่อไร้สี แล้วจะคุยให้เข้าใจกันและกันได้อย่างไร”
หัวหน้าชมรมห้องสมุดแสดงความคิดเห็นออกมาด้วยความตื่นเต้นจนไม่อาจระงับแสงเหลืองที่เจิดจ้าขึ้นมาได้ และไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่เธอคิด “พวกคุณต้องเป็นคนขี้โกหกและไร้ความจริงใจด้วย”
ชาวเมืองไม่สามารถปิดบังความรู้สึกที่มีต่อคนอื่นได้ ดังนั้นจึงเป็นคนพูดตรงจากใจเสมอ คนป่าเมื่อฟังคำพูดแบบนี้อาจจะรู้สึกไม่พอใจบ้าง แต่พวกเขารู้จักนิสัยคนมีสีเป็นอย่างดีจากประสบการณ์...ยกเว้น
“โอ้ย...เจ็บ”
ซาร่าร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังทำร้ายเธอ เธอก้มมองพบว่าเป็นเด็กป่า จอร์นกำลังกัดแขนเธอ เด็กป่ากัดไม่ปล่อยจนคนในเผ่าต้องดึงตัวจอร์นออกมา
“พี่ต่างหากขี้โกหก ไม่มีความจริงใจ กีดกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก” เด็กน้อยตะโกนออกมาด้วยความโมโห
หัวหน้าเผ่าเห็นเหตุดังกล่าวจึงรีบเดินไปยังจุดที่เด็กน้อยยืนและพูดว่า “จอร์น...เธอต้องขอโทษต่อการกระทำอันเสียมารยาทกับแขกของเรา”
“ไม่ครับ” เด็กน้อยสะบัดหน้าอย่างไม่สะทกสะท้อนต่อผู้เฒ่า
“จอร์น” แม่ของจอร์นขึ้นเสียงดุใส่
จอร์นตัดสินใจไม่ถูกแต่การขอโทษต่อหน้าคนมากมาย ทำให้รู้สึกอับอาย แม่เฒ่ายรู้นิสัยจอร์นดี และคิดว่าคงยากที่จะบังคับให้ขอโทษได้ ดังนั้นผู้เฒ่าได้โค้งก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วเอ่ย
“ในนามหัวหน้าเผ่า ดิฉันต้องขออภัยแทน…”
“ขอโทษครับ ผมขอโทษก็ได้” จอร์นกล่าวคำดังกล่าวเพราะรู้สึกผิดหากให้ผู้ใหญ่ก้มหัวให้เด็กเมือง
ท่านหัวหน้าแห่งกลุ่มคนไร้สีนำมือลูบหัวจอร์น “เธอเป็นคนกล้าหาญมาก”
เด็กน้องรู้สึกเขินต่อคำชม รีบวิ่งไปด้านหลังแม่ผู้ซึ่งกำลังยิ้มอย่างรู้สึกดี ซึ่งรับรู้ถึงการเติมบโต
ซาร่าและมิสซูเห็นภาพดังกล่าวรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก พวกเขากำลังแสดงรู้สึกผ่านทางวาจา ท่าทาง โดยไม่ต้องมีหมอกสีรอบตัวเหมือนคนมีแสง
“พวกคุณไม่มีสีแล้วรู้ได้ยังไงค่ะ สิ่งที่พูดหรือกระทำมีความจริงใจ” ซาร่าเอ่ยออกมาอย่างเถรตรง หมอกแสงสีส้มแสดงความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่ได้พบ
แม่เฒ่าหันหน้ามองคนมีสีทั้งสองก่อนเอ่ยถาม "หากเธอเห็นจอร์นขอโทษแล้วมีรัศมีสีแดง เธอจะให้อภัยจอร์นไหม"
ซาร่าส่ายหน้าตอบแม่เฒ่า "ไม่ค่ะ"
"แล้วเธอละมิสซู เธอจะให้อภัยเด็กป่าอย่างจอร์นหรือไม่"
มิสซูตอบ "ไม่ค่ะแม่เฒ่า หนูไม่สามารถให้อภัยได้ค่ะ"
แม่เฒ่าได้ยินคำตอบจากบุคคลทั้งสองแล้วหัวเราะในลำคอเล็กน้อย จึงหันหน้าถามซาร่าต่อ "ถ้างั้นเพราะเหตุใดพวกเธอทั้งสองยังคงไม่ให้อภัยเด็ก ทั้งที่จอร์นได้พูดขอโทษแล้ว"
"นั้นเป็นเพราะจอร์นยังรู้สึกโกรธและไม่ได้รู้สึกตนทำผิด จอร์นไม่ได้ขอโทษจากหัวใจแต่กำลังขอโทษด้วยการถูกบังคับให้พูดขอโทษค่ะ" ซาร่าอธิบายแนวคิดให้แม่เฒ่าฟัง
หัวหน้าเผ่าได้ยินคำตอบมองหน้าซาร่าด้วยความอ่อนโยนและไม่โกรธต่อคำพูดของพวกเธอ
"นั้นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด หนูน้อย"
เธอหันหน้ามองมิสซูและพูดว่า "การมีแสงจึงยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคม นั้นจึงเป็นแนวคิดของชนเผ่าอย่างพวกเรา"
แม่เฒ่าเลียวมองไปทางผู้คนในเผ่าและกล่าวต่อ “เราล้วนมีห้องลึกลับกันทุกคน จอร์นอาจไม่เต็มใจขอโทษหรือยังโกรธอยู่ แต่จอร์นรู้จักพูดขอโทษ นั้นคือเด็กน้อยเรียนรู้การเติบโตของชีวิต การก้าวข้ามอารมณ์ส่วนตัว การเอาชนะความโกรธที่ตนถืออยู่ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่สอนจอร์นให้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม”
แม่เฒ่าเดินไปหาจอร์นพร้อมทั้งลูบหัวเด็กน้อย "พวกเราเคารพห้องลึกลับของจอร์นและจะไม่เปิดดูมัน"
คำพูดของผู้เฒ่าหญิงทำให้ซาร่าและมิสซูได้เห็นมุมมองอีกด้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองหรือโรงเรียนไม่เคยสอนมาก่อน
ซาร่าถูกสอนมาอีกแบบทำให้รู้สึกมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งในบางอย่าง แม้ว่าเธอจะไม่ชอบให้ใครรู้ว่าเธอแอบชอบอาเมดเช่นกัน “แต่หนูคิดว่า...”
“ขอโทษแม่หนู ขอโทษที่ต้องแทรกความคิดเธอ คนแก่อย่างฉันเคารพความคิดเธอ แต่ฉันเคยพูดเรื่องนี้กับผู้เฒ่าแห่งฟาร์ม อีกทั้งแสดงความเห็นกับคนมีสีหลายคน พวกเราพูดกันมานานนับสิบ ๆ ปี”
แม่เฒ่าหยุดเล็กน้อยก่อนจ้องมองซาร่าด้วยความเอ็นดู “แม่หนูน้อย” แม่เฒ่าสัมผัสใบหน้าซาร่า “เธอมีความงดงามในตัวเอง หากเราคุยกันต่อ เธอคงไม่ได้กลับบ้านอีกหลายสิบปี”
แม่เฒ่ามองดวงจันทร์ที่กำลังลอยเด่นเหนือท้องฟ้า
“เวลาจะผ่านอย่างเชื่องช้าเมื่อเธอรอคอยอะไรบางอย่าง แต่จะผ่านอย่างรวดเร็ว เมื่อชีวิตมีความสุขหรือการได้พูดคุยกับใครสักคนอย่างฉันท์มิตร” แม่เฒ่ามองยังคนมีสีทั้งสองคน
“แม่เฒ่าเคยคุยกับผู้เฒ่าแห่งฟาร์มหลวงด้วยหรือค่ะ" มิสซูถามอย่างสงสัย
แม่เฒ่ายิ้มพร้อมทั้งหัวเราะในลำคอ “เธอคงไม่คิดว่าคนแก่ที่เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ จะอยู่คนเดียวในป่าได้ ฉันดีใจที่ได้คุยกับคนรอบรู้อย่างพวกเธอทั้งสอง แต่เวลาดึกแล้ว” แม่เฒ่ากล่าวจบ หันไปทางลูกชายตนและเหล่าคนไร้สี
หัวหน้าเผ่าสังเกตเห็นหลายคนพยักหน้าให้แม่เฒ่า “ดินแดนคนไร้สีหรือชนเผ่าโอกุสเติร์สยินดีตอนรับพวกหนูทั้งสองคน"
ทันทีที่แม่เฒ่าสิ้นเสียงคนทั้งเผ่าปรบมือต้อนรับให้คนเมืองเช่นกัน
“หนูชอบการออกแบบโคมไฟมากค่ะ มันสวยมาก” มิสซูรู้สึกประทับใจ คนทั้งสองแสดงหมอกแห่งความสุขสีเขียวและชมพู ทั้งคู่มีความรักให้คนที่มีคิดเห็นต่าง
“ฉันต้องขอโทษด้วยที่เชิญสุภาพสตรีทั้งสองด้วยวิธีนี้ แต่พวกเราไม่อาจเชิญแขกด้วยบัตรเชิญกับคนที่สร้างกำแพงใส่พวกเรา” แม่เฒ่ากล่าวคำขอโทษ “และด้วยความสำนึกผิดจากใจ คนแก่อย่างดิฉันอยากเดินส่งด้วยตัวเอง แต่ไม่อาจทำได้ด้วยอายุขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรากลับเองได้” ซาร่าพยายามโบกมือโบกไม้ปฏิเสธ
“ฉันจะให้ลูกชายไปส่ง อาบูจะส่งพวกเธอให้ถึงเขตแดนคนมีสี”
“ครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ให้ผมไปด้วย ผมอยากไปส่งครับ” เสียงเด็กที่คุ้นเคยตะโกนมา เด็กน้อยกระโดดวิ่งไปหาเพื่อนใหม่ทั้งสอง
“ผมไปส่งเองครับ” เด็กน้อยเงยมองซาร่า
เธอเองตอบรับคำด้วยการลูบหัวเจ้าเด็กกวนอย่างแรงนิด ๆ จนผมบนหัวจอร์นยุ่ง
“ดีเหมือนกันนะครับ จอร์นชอบวิ่งเล่นในป่า แถมรู้จักเส้นทางในป่ามากกว่าผมเสียอีก” ลูกชายแม่เฒ่าเสริม
“ตกลงตามนี้ ฉันหวังว่าเธอคงไม่รังเกียจและจะมาเยี่ยมเยือนดินแดงแห่งนี้อีกครั้ง”
แม่เฒ่ากล่าวจบ บรรยากาศสนทนาดูเงียบลง ความสว่างจากกองไฟเริ่มนับถอยหลัง ความมืดค่อย ๆ แทนที อันเป็นการกล่าวลาของคนในป่าต่อคนมีสี
7.5 ตอนที่ 8 เรื่อง Meeting point นิยายดีที่อยากแนะนำ
เสียงทั้งหลายสัมผัสโสตประสาท เสมือนมือคอยเขย่าให้รู้สึกตัว ม่านตาของเธอค่อย ๆ ขยาย มิสซูเห็นดอกไม้อยู่เบื้องหน้า
เพื่อให้แน่ชัด หญิงสาวตื่นอย่างมีสติ พบตนนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพดานประกอบด้วยดอกไม้ บางดอกหุบและบานอย่างช้า ๆ เธอเห็นใบพัดที่กำลังหมุนอยู่หลังดอกไม้ สัมผัสได้ถึงความเย็นสบายและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จนรู้สึกผ่อนคลาย
ความรู้สึกตอนนี้ ตนไม่อยากเชื่อสายตา “โคมไฟที่สวยงามทำมาจากคนไม่จริงใจ”
การตกแต่งภายในกระโจม ไม่สามารถดึงความสนใจได้เท่าเสียงเพื่อนของเธอ มิสซูลุกขึ้นนั่งก้มมองร่างกายตนเอง เธอถอนหายใจอย่างคลายกังวลและตัดสินใจเดินออกจากที่พักของคนป่า
พลันพบแสงสว่างจากภายนอก ทำให้เธอเห็นภาพเบื้องหน้า คนมากมายกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟกัน
“55555555 ซาร่าเด็กบ้าเรียนอย่างเธอเป็นคนคุยสนุกนะ”
“นั้นถือเป็นคนชมนะคะ”
มิสซูสังเกตผู้ชายที่กำลังคุยกับซาร่าเป็นชายคนเดียวกันกับที่ปัดอาวุธเธอ ส่วนบรรยากาศรอบกองไฟมีละอองไฟที่กำลังล่องลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า ถ่านที่ถูกทำจากเถาวัลย์ซึ่งถูกทักถอสานเป็นลอนอย่างสวยงาม ประกอบกับไม้บาร์บีคิวที่เสียบใกล้กัน
หากสังเกตคนที่รายล้อมซาร่าประกอบด้วยผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก รวมทั้งคนชรานักสิบคน หนึ่งในนั้นเธอจำได้ว่าเป็นผู้ชายที่ทำให้เธอตกใจจนสลบเหมือด ใจหนึ่งรู้สึกโกรธแต่อีกใจเต็มด้วยคำถามถึงสิ่งที่คนป่ากระทำกับตน
"ซาร่า” มิสซูตัดสินใจเรียกเพื่อนและกำลังเดินเข้าหากลุ่มคนไม่จริงใจ
การเดินเข้าหาของเธอเป็นที่สะดุดตาของชนเผ่า มิสซูเห็นหญิงนางหนึ่งดูมีอายุกำลังลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหาเธอ
"หนูชื่อมิสซูใช่ไหม ดิฉันในนามหัวหน้าเผ่าโอกุสเติร์ด ขออภัยอย่างสูงที่ทำให้หนูตกใจ หากเราไม่ให้จอร์นล่อพวกเธอ พวกหนูย่อมปฏิเสธการพบปะกับคนอย่างพวกเรา”
"จอร์น" มิสซูอุทานขึ้น
"ถูกแล้ว เด็กที่แหย่เธอ"
มิสซูคิดทบทวนเหตุการณ์ทั้งหหมด รับรู้ถึงเหตุผลและเข้าใจแล้วในบัดนี้ ตอนนี้เธอรู้สึกปลอดภัยเปล่งแสงสีเขียวปรากฏออกมา “ค่ะ ไม่เป็นไร หนูไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“มานั่งนี้ด้วยกันมิสซู” ซาร่ากวักมือและตีก้อนหินเบาๆ ที่ถูกปูด้วยหญ้าแห้ง
“คนพวกนี้ต้องการอะไร” เธอถามซาร่าด้วยเสียงกระซิบและทำหน้าครุ่นคิดอย่างสงสัย
“คนโอกุสเติร์ดอยากรู้เกิดอะไรขึ้นกับแผ่นดินนี้ พวกเขาได้ข่าวว่าพวกเราจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน”
มิสซูฟังที่เพื่อนอธิบายพลางหยิบผลไม้ขึ้นมาทาน ทั้งแอบเห็นจอร์นกำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่เหมือนที่พบกันครั้งแรก จนเธอรู้สึกหวาดระแวงผลไม้ แต่ครั้งนี้รสชาติของมันช่างหวานหอมมาก
“ไม่อยากเชื่อค่ะ แต่เป็นความจริง พวกเราเปิดม่านฟ้าแล้วได้ยินคนบนฟ้าพูดแบบนั้น” มิสซูยืนยันอีกเสียง
[โอ้...ฮือ]
ทั้งเผ่าร้องอุทานและส่งเสียงร้องฮือพร้อมกัน ต่างมองหน้ากันและบางคนร้องไห้ บางคนสงสัยกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น เสียงเซ็งแซ่ดังกึกก้องทั่วอาณาบริเวณ
"เงียบหน่อย ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ" เสียงหัวหน้าเผ่าเหมือนมนต์สะกด ทุกคนเบาเสียงลงจนเงียบในที่สุด
“แต่พวกเรามีโอกาสนะคะ” ซาร่าพูดแทรกท่ามกลางความเงียบ
“โอกาส” เสียงเด็กป่าจอร์นร้องอุทานออกมา
“ใช่ค่ะ ภายในสามเดือน กลุ่มคนมีสีจะต้องขายภาพให้ได้ค่ะ”
“เราอยากช่วยแต่พวกเราถูกกีดกันจากพวกเธอ” ลูกชายแม่เฒ่าแสดงอารมณ์แค้นออกมาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ปัดกิ่งไม้จากมิสซูหล่น
“ถ้าจะพูดกันตามเหตุผล คนไร้สีจะไร้ความหมายต่อการขายภาพนะคะ”
“ไร้สีเหรอ เหลวไหลทั้งเพ” ลูกชายต่อว่าด้วยอารมณ์ แต่กลับชะงักลงจากสายตาแม่เฒ่าที่กำลังมองมาที่ลูกชาย พร้อมทั้งสายหน้าเพื่อเตือนให้ระงับอารมณ์
“หรือพวกคุณมีสีเช่นเดียวกัน” ซาร่ามองหน้ามิสซูอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่ พวกเราเป็นคนเหมือนพวกเธอและเหมือนอีกหลายคนในเมือง” ลูกชายแม่เฒ่ากล่าว
“แต่ตอนที่พวกเราเจอกัน คุณไม่มีหมอกแสงเลยสักนิด” มิสซูสงสัยต่อคำพูดของคนไร้ความจริงใจ
“เราแค่ไม่ได้กินผลไม เราออกมาอยู่ป่าเพื่อสร้างสังคมเล็ก ๆเพราะโดนคนเมืองคอยกีดกันเผ่าโอกุสเติร์ดอย่างพวกเรา” ลูกชายพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออก
“แล้วเผ่าของพวกคุณอยู่กันอย่างไรค่ะ ในเมื่อไร้สี แล้วจะคุยให้เข้าใจกันและกันได้อย่างไร”
หัวหน้าชมรมห้องสมุดแสดงความคิดเห็นออกมาด้วยความตื่นเต้นจนไม่อาจระงับแสงเหลืองที่เจิดจ้าขึ้นมาได้ และไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่เธอคิด “พวกคุณต้องเป็นคนขี้โกหกและไร้ความจริงใจด้วย”
ชาวเมืองไม่สามารถปิดบังความรู้สึกที่มีต่อคนอื่นได้ ดังนั้นจึงเป็นคนพูดตรงจากใจเสมอ คนป่าเมื่อฟังคำพูดแบบนี้อาจจะรู้สึกไม่พอใจบ้าง แต่พวกเขารู้จักนิสัยคนมีสีเป็นอย่างดีจากประสบการณ์...ยกเว้น
“โอ้ย...เจ็บ”
ซาร่าร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังทำร้ายเธอ เธอก้มมองพบว่าเป็นเด็กป่า จอร์นกำลังกัดแขนเธอ เด็กป่ากัดไม่ปล่อยจนคนในเผ่าต้องดึงตัวจอร์นออกมา
“พี่ต่างหากขี้โกหก ไม่มีความจริงใจ กีดกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก” เด็กน้อยตะโกนออกมาด้วยความโมโห
หัวหน้าเผ่าเห็นเหตุดังกล่าวจึงรีบเดินไปยังจุดที่เด็กน้อยยืนและพูดว่า “จอร์น...เธอต้องขอโทษต่อการกระทำอันเสียมารยาทกับแขกของเรา”
“ไม่ครับ” เด็กน้อยสะบัดหน้าอย่างไม่สะทกสะท้อนต่อผู้เฒ่า
“จอร์น” แม่ของจอร์นขึ้นเสียงดุใส่
จอร์นตัดสินใจไม่ถูกแต่การขอโทษต่อหน้าคนมากมาย ทำให้รู้สึกอับอาย แม่เฒ่ายรู้นิสัยจอร์นดี และคิดว่าคงยากที่จะบังคับให้ขอโทษได้ ดังนั้นผู้เฒ่าได้โค้งก้มตัวลงเล็กน้อยแล้วเอ่ย
“ในนามหัวหน้าเผ่า ดิฉันต้องขออภัยแทน…”
“ขอโทษครับ ผมขอโทษก็ได้” จอร์นกล่าวคำดังกล่าวเพราะรู้สึกผิดหากให้ผู้ใหญ่ก้มหัวให้เด็กเมือง
ท่านหัวหน้าแห่งกลุ่มคนไร้สีนำมือลูบหัวจอร์น “เธอเป็นคนกล้าหาญมาก”
เด็กน้องรู้สึกเขินต่อคำชม รีบวิ่งไปด้านหลังแม่ผู้ซึ่งกำลังยิ้มอย่างรู้สึกดี ซึ่งรับรู้ถึงการเติมบโต
ซาร่าและมิสซูเห็นภาพดังกล่าวรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก พวกเขากำลังแสดงรู้สึกผ่านทางวาจา ท่าทาง โดยไม่ต้องมีหมอกสีรอบตัวเหมือนคนมีแสง
“พวกคุณไม่มีสีแล้วรู้ได้ยังไงค่ะ สิ่งที่พูดหรือกระทำมีความจริงใจ” ซาร่าเอ่ยออกมาอย่างเถรตรง หมอกแสงสีส้มแสดงความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่ได้พบ
แม่เฒ่าหันหน้ามองคนมีสีทั้งสองก่อนเอ่ยถาม "หากเธอเห็นจอร์นขอโทษแล้วมีรัศมีสีแดง เธอจะให้อภัยจอร์นไหม"
ซาร่าส่ายหน้าตอบแม่เฒ่า "ไม่ค่ะ"
"แล้วเธอละมิสซู เธอจะให้อภัยเด็กป่าอย่างจอร์นหรือไม่"
มิสซูตอบ "ไม่ค่ะแม่เฒ่า หนูไม่สามารถให้อภัยได้ค่ะ"
แม่เฒ่าได้ยินคำตอบจากบุคคลทั้งสองแล้วหัวเราะในลำคอเล็กน้อย จึงหันหน้าถามซาร่าต่อ "ถ้างั้นเพราะเหตุใดพวกเธอทั้งสองยังคงไม่ให้อภัยเด็ก ทั้งที่จอร์นได้พูดขอโทษแล้ว"
"นั้นเป็นเพราะจอร์นยังรู้สึกโกรธและไม่ได้รู้สึกตนทำผิด จอร์นไม่ได้ขอโทษจากหัวใจแต่กำลังขอโทษด้วยการถูกบังคับให้พูดขอโทษค่ะ" ซาร่าอธิบายแนวคิดให้แม่เฒ่าฟัง
หัวหน้าเผ่าได้ยินคำตอบมองหน้าซาร่าด้วยความอ่อนโยนและไม่โกรธต่อคำพูดของพวกเธอ
"นั้นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด หนูน้อย"
เธอหันหน้ามองมิสซูและพูดว่า "การมีแสงจึงยังไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคม นั้นจึงเป็นแนวคิดของชนเผ่าอย่างพวกเรา"
แม่เฒ่าเลียวมองไปทางผู้คนในเผ่าและกล่าวต่อ “เราล้วนมีห้องลึกลับกันทุกคน จอร์นอาจไม่เต็มใจขอโทษหรือยังโกรธอยู่ แต่จอร์นรู้จักพูดขอโทษ นั้นคือเด็กน้อยเรียนรู้การเติบโตของชีวิต การก้าวข้ามอารมณ์ส่วนตัว การเอาชนะความโกรธที่ตนถืออยู่ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่สอนจอร์นให้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม”
แม่เฒ่าเดินไปหาจอร์นพร้อมทั้งลูบหัวเด็กน้อย "พวกเราเคารพห้องลึกลับของจอร์นและจะไม่เปิดดูมัน"
คำพูดของผู้เฒ่าหญิงทำให้ซาร่าและมิสซูได้เห็นมุมมองอีกด้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองหรือโรงเรียนไม่เคยสอนมาก่อน
ซาร่าถูกสอนมาอีกแบบทำให้รู้สึกมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งในบางอย่าง แม้ว่าเธอจะไม่ชอบให้ใครรู้ว่าเธอแอบชอบอาเมดเช่นกัน “แต่หนูคิดว่า...”
“ขอโทษแม่หนู ขอโทษที่ต้องแทรกความคิดเธอ คนแก่อย่างฉันเคารพความคิดเธอ แต่ฉันเคยพูดเรื่องนี้กับผู้เฒ่าแห่งฟาร์ม อีกทั้งแสดงความเห็นกับคนมีสีหลายคน พวกเราพูดกันมานานนับสิบ ๆ ปี”
แม่เฒ่าหยุดเล็กน้อยก่อนจ้องมองซาร่าด้วยความเอ็นดู “แม่หนูน้อย” แม่เฒ่าสัมผัสใบหน้าซาร่า “เธอมีความงดงามในตัวเอง หากเราคุยกันต่อ เธอคงไม่ได้กลับบ้านอีกหลายสิบปี”
แม่เฒ่ามองดวงจันทร์ที่กำลังลอยเด่นเหนือท้องฟ้า
“เวลาจะผ่านอย่างเชื่องช้าเมื่อเธอรอคอยอะไรบางอย่าง แต่จะผ่านอย่างรวดเร็ว เมื่อชีวิตมีความสุขหรือการได้พูดคุยกับใครสักคนอย่างฉันท์มิตร” แม่เฒ่ามองยังคนมีสีทั้งสองคน
“แม่เฒ่าเคยคุยกับผู้เฒ่าแห่งฟาร์มหลวงด้วยหรือค่ะ" มิสซูถามอย่างสงสัย
แม่เฒ่ายิ้มพร้อมทั้งหัวเราะในลำคอ “เธอคงไม่คิดว่าคนแก่ที่เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ จะอยู่คนเดียวในป่าได้ ฉันดีใจที่ได้คุยกับคนรอบรู้อย่างพวกเธอทั้งสอง แต่เวลาดึกแล้ว” แม่เฒ่ากล่าวจบ หันไปทางลูกชายตนและเหล่าคนไร้สี
หัวหน้าเผ่าสังเกตเห็นหลายคนพยักหน้าให้แม่เฒ่า “ดินแดนคนไร้สีหรือชนเผ่าโอกุสเติร์สยินดีตอนรับพวกหนูทั้งสองคน"
ทันทีที่แม่เฒ่าสิ้นเสียงคนทั้งเผ่าปรบมือต้อนรับให้คนเมืองเช่นกัน
“หนูชอบการออกแบบโคมไฟมากค่ะ มันสวยมาก” มิสซูรู้สึกประทับใจ คนทั้งสองแสดงหมอกแห่งความสุขสีเขียวและชมพู ทั้งคู่มีความรักให้คนที่มีคิดเห็นต่าง
“ฉันต้องขอโทษด้วยที่เชิญสุภาพสตรีทั้งสองด้วยวิธีนี้ แต่พวกเราไม่อาจเชิญแขกด้วยบัตรเชิญกับคนที่สร้างกำแพงใส่พวกเรา” แม่เฒ่ากล่าวคำขอโทษ “และด้วยความสำนึกผิดจากใจ คนแก่อย่างดิฉันอยากเดินส่งด้วยตัวเอง แต่ไม่อาจทำได้ด้วยอายุขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเรากลับเองได้” ซาร่าพยายามโบกมือโบกไม้ปฏิเสธ
“ฉันจะให้ลูกชายไปส่ง อาบูจะส่งพวกเธอให้ถึงเขตแดนคนมีสี”
“ครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ให้ผมไปด้วย ผมอยากไปส่งครับ” เสียงเด็กที่คุ้นเคยตะโกนมา เด็กน้อยกระโดดวิ่งไปหาเพื่อนใหม่ทั้งสอง
“ผมไปส่งเองครับ” เด็กน้อยเงยมองซาร่า
เธอเองตอบรับคำด้วยการลูบหัวเจ้าเด็กกวนอย่างแรงนิด ๆ จนผมบนหัวจอร์นยุ่ง
“ดีเหมือนกันนะครับ จอร์นชอบวิ่งเล่นในป่า แถมรู้จักเส้นทางในป่ามากกว่าผมเสียอีก” ลูกชายแม่เฒ่าเสริม
“ตกลงตามนี้ ฉันหวังว่าเธอคงไม่รังเกียจและจะมาเยี่ยมเยือนดินแดงแห่งนี้อีกครั้ง”
แม่เฒ่ากล่าวจบ บรรยากาศสนทนาดูเงียบลง ความสว่างจากกองไฟเริ่มนับถอยหลัง ความมืดค่อย ๆ แทนที อันเป็นการกล่าวลาของคนในป่าต่อคนมีสี