- ก่อนดูคือเตรียมใจไว้แล้วว่ายังไงต้องวูบหลับอย่างแน่นอนไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง อีกทั้งสงสัยว่าจะสรรหาอะไรมาพรรณนาตั้ง 3 โมงนิด ๆ ที่มีความยาวเทียบเท่ากับ Avengers : Endgame (2019) และ Oppenheimer (2023) แต่หลังจากดูจบคิดไว้ไม่ผิดว่าจะต้องมีช่วงหาทางเข้าเฝ้าพระอินทร์แต่ก็เข้าใจอีกว่าทำไมหนังสารคดีเรื่องนี้ถึงใช้เวลามากมายขนาดนั้น ก็เพราะทุก Scene ที่ปรากฎแต่ละ Flame มีความสำคัญมาก เป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการส่ง Message ไปถึงคนดูกว่าที่กูจะมาถึงจุดนี้กูผ่านอะไรมาบ้าง จะให้กูตัด Shot ไหนทิ้งไปดื้อ ๆ กูก็ตัดไม่ได้ กูเสียดายที่อุตส่าห์ถ่ายเก็บไว้หลายปี ก็เลยปล่อยจอยยาวไปดีกว่า แต่สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงกว่านั่นก็คือวิธีการเล่ามันไม่ปกติสำหรับหนังในประเภทนี้น่ะสิ คือเล่นไม่เรียง Timeline ไปตาม 1-2-3 แล้วจบ แต่ใช้วิชาของเสด็จพ่อ Nolan มาลองยากับคนดูด้วยการนำภาพที่ถ่ายมาทั้งหมดกับ Footage จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคมา Mix and Match รวมกันตามใจชอบ ผลที่ได้คือดูยากขึ้นกว่าเดิม แม้ข้อดีคือมันทำให้เรื่องราวมีการเล่าที่โดดเด่นตามหนังยุโรปที่ขายบรรยากาศพอนำมารวมกับสไตล์หนังสารคดีที่เน้นไปที่การให้ข้อมูลเป็นหลักมันยิ่งดูซับซ้อนและเข้าถึงยากไปอีก จึงไม่แปลกที่ระหว่างดูไปจึงเกิดอาการวูบหลับข้างทางอย่างรวดเร็ว แต่ของผมไม่ต้องรอนานขนาดนั้นแค่ผ่านไป 15 นาทีแรกก็ขอตัวชิ่งหลับก่อนทันที
- หลังจากฟื้นขึ้นมาอีกทียอมรับว่าจูนเรื่องไม่ติดแล้วว่าเหตุการณ์ในขณะนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นชู้ ใครเป็นเมียน้อย ใครเป็นลูกคนข้างบ้าน ญาติโกโหติกา อะไรคือไม่รู้เรื่องแล้ว แถมตกใจกับการฉายภาพซ้ำ ๆ ตอนที่ประธานาธิปดีคนเดิมรับตำแหน่งซ้ำถึง 2 ครั้ง , ภาพวันเกิดใครไม่รู้ กระทั่ง ภาพทั้งคู่นั่งมองที่หน้าต่าง ที่ฉายซ้ำอยู่หลายรอบจนสงสัยขึ้นมานิด ๆ ว่าต้องการสื่ออะไร ? เพราะความ Speed ของภาพที่ปล่อยไปไม่รอใครมันไม่มีช่องว่างให้เราประติดประต่อเรื่องได้ทันขณะนั้น จึงทำได้แค่ดูเอาภาพเสพเอาบรรยากาศไปอย่างเดียว
- จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นดั่งจดหมายรักของตัวผู้กำกับที่ส่งสารไปยังผู้ลี้ภัยและผู้รักในภาพยนตร์ก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะ Details ระหว่างทางจะบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายปีมาคาบเกี่ยวกับ Timeline ทางประวัติศาสตร์หรือการเมืองที่ตัวผู้กำกับและสามีที่เป็นผู้กำกับคอยอยู่เคียงข้างร่วมกับเธอประสบพบเจอกันเกือบทุก Scene เดินทางไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ Meeting คนโน้นเม้ามอยคนนี้กันไป ตัดสลับ Part อดีต ไปมาเรื่อยเปื่อยที่ดูเหมือนไม่เร่งรีบแต่รวดเร็วได้โล่จนแอบปวดหัวตามไปด้วยว่าขณะนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะที่ภาพไหลไปข้างหน้าจะมีภาพเป็นสีดำปรากฎพร้อมกับคำบรรยายสรรพคุณใต้ภาพเพื่อบอกความรู้สึกของผู้กำกับที่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดด้วยภาพสำทับลงไปอีกที ในตรงนี้อารมณ์เหมือนนั่งดูพรรณนาร้อยแก้วอะไรของคุณเธอฆ่าเวลาไปยังไงยังงั้น แต่ไม่เข้าใจว่าจะแบ่งเป็น Chapter ไปทำไมให้รกพื้นที่ ในเมื่อหนังไม่ได้เรียงตาม Timeline อยู่แล้วก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาให้วุ่นวายใจอะไรอีก
- สรุป ภาพรวมคือไม่ได้ถึงกับประทับใจที่สุด แต่ชอบวิธีการหาทำของผุ้กำกับที่ไม่เล่าเรียงลำดับเหตุการณ์ให้เราเช้าใจตรง ๆ แถมดันสามารถยกระดับในการเล่าของหนัง Documentary ได้ใกล้เคียงกับหนัง Fiction จนทำเอาผมตะลึงและไปไม่เป็นตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงแม้เนื้อเรื่องจะยืดเยื้อมากไปหน่อยจนบางช่วงที่ไม่จำเป็นก็สามารถตัดให้กระชับลงกว่านี้ได้ แต่ก็มีแอบปรุงแต่งตามจินตนาการของผู้กำกับบ้างประปรายเพื่อเพิ่มลูกเล่นไม่ให้เรียบเป็นเส้นตรงเกินไปแต่ไม่ได้ไปแทรกเพื่อลดทอนความสมจริงใน Timeline ที่นำเสนอมาด้วยความสัตย์จริงแม้แต่น้อย แต่ถ้าหนังเรียงลำดับเหตุการณ์ดี ๆ เป็นปกติมันจะทำให้ผมเข้าใจในเรื่องราวที่ผู้กำกับประสบพบเจอและอยากจะบอกกับเราให้เห็นภาพมากกว่านี้ แต่พอหนังมันไม่ยอมจบตรงนั้นแล้วไหลไปเรื่อย ๆ ก็คาดเดาไม่ได้อีกว่าตกลงจะให้จบลงตรงไหนมันเลยรู้สึกถึงความยืดเยื้อชวนน่าเบื่อจนไม่ค่อยอยากดูต่อ แต่ยังดีที่บทสรุปหาทางลงได้ลงตัวอยู่ถึงแม้จะทิ้ง Message ที่แฝงความมีนัยยะบางอย่างไว้ให้คนดูอย่างเราได้เก็บไปคิดกันต่อได้ไม่น้อย ขอยกย่องให้เป็นหนังสารคดีปราบเซียนอีกเรื่องที่กล้าหาญและบ้าบิ่นของผู้กำกับในการหา Concept ในการเล่าใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีในหนังประเภทนี้ซะเท่าไหร่
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.70 Republic of Silence By Goethe-Institut Thailand : KINOFEST 2023
- ก่อนดูคือเตรียมใจไว้แล้วว่ายังไงต้องวูบหลับอย่างแน่นอนไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง อีกทั้งสงสัยว่าจะสรรหาอะไรมาพรรณนาตั้ง 3 โมงนิด ๆ ที่มีความยาวเทียบเท่ากับ Avengers : Endgame (2019) และ Oppenheimer (2023) แต่หลังจากดูจบคิดไว้ไม่ผิดว่าจะต้องมีช่วงหาทางเข้าเฝ้าพระอินทร์แต่ก็เข้าใจอีกว่าทำไมหนังสารคดีเรื่องนี้ถึงใช้เวลามากมายขนาดนั้น ก็เพราะทุก Scene ที่ปรากฎแต่ละ Flame มีความสำคัญมาก เป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการส่ง Message ไปถึงคนดูกว่าที่กูจะมาถึงจุดนี้กูผ่านอะไรมาบ้าง จะให้กูตัด Shot ไหนทิ้งไปดื้อ ๆ กูก็ตัดไม่ได้ กูเสียดายที่อุตส่าห์ถ่ายเก็บไว้หลายปี ก็เลยปล่อยจอยยาวไปดีกว่า แต่สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงกว่านั่นก็คือวิธีการเล่ามันไม่ปกติสำหรับหนังในประเภทนี้น่ะสิ คือเล่นไม่เรียง Timeline ไปตาม 1-2-3 แล้วจบ แต่ใช้วิชาของเสด็จพ่อ Nolan มาลองยากับคนดูด้วยการนำภาพที่ถ่ายมาทั้งหมดกับ Footage จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคมา Mix and Match รวมกันตามใจชอบ ผลที่ได้คือดูยากขึ้นกว่าเดิม แม้ข้อดีคือมันทำให้เรื่องราวมีการเล่าที่โดดเด่นตามหนังยุโรปที่ขายบรรยากาศพอนำมารวมกับสไตล์หนังสารคดีที่เน้นไปที่การให้ข้อมูลเป็นหลักมันยิ่งดูซับซ้อนและเข้าถึงยากไปอีก จึงไม่แปลกที่ระหว่างดูไปจึงเกิดอาการวูบหลับข้างทางอย่างรวดเร็ว แต่ของผมไม่ต้องรอนานขนาดนั้นแค่ผ่านไป 15 นาทีแรกก็ขอตัวชิ่งหลับก่อนทันที
- หลังจากฟื้นขึ้นมาอีกทียอมรับว่าจูนเรื่องไม่ติดแล้วว่าเหตุการณ์ในขณะนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นชู้ ใครเป็นเมียน้อย ใครเป็นลูกคนข้างบ้าน ญาติโกโหติกา อะไรคือไม่รู้เรื่องแล้ว แถมตกใจกับการฉายภาพซ้ำ ๆ ตอนที่ประธานาธิปดีคนเดิมรับตำแหน่งซ้ำถึง 2 ครั้ง , ภาพวันเกิดใครไม่รู้ กระทั่ง ภาพทั้งคู่นั่งมองที่หน้าต่าง ที่ฉายซ้ำอยู่หลายรอบจนสงสัยขึ้นมานิด ๆ ว่าต้องการสื่ออะไร ? เพราะความ Speed ของภาพที่ปล่อยไปไม่รอใครมันไม่มีช่องว่างให้เราประติดประต่อเรื่องได้ทันขณะนั้น จึงทำได้แค่ดูเอาภาพเสพเอาบรรยากาศไปอย่างเดียว
- จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นดั่งจดหมายรักของตัวผู้กำกับที่ส่งสารไปยังผู้ลี้ภัยและผู้รักในภาพยนตร์ก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะ Details ระหว่างทางจะบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายปีมาคาบเกี่ยวกับ Timeline ทางประวัติศาสตร์หรือการเมืองที่ตัวผู้กำกับและสามีที่เป็นผู้กำกับคอยอยู่เคียงข้างร่วมกับเธอประสบพบเจอกันเกือบทุก Scene เดินทางไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ Meeting คนโน้นเม้ามอยคนนี้กันไป ตัดสลับ Part อดีต ไปมาเรื่อยเปื่อยที่ดูเหมือนไม่เร่งรีบแต่รวดเร็วได้โล่จนแอบปวดหัวตามไปด้วยว่าขณะนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะที่ภาพไหลไปข้างหน้าจะมีภาพเป็นสีดำปรากฎพร้อมกับคำบรรยายสรรพคุณใต้ภาพเพื่อบอกความรู้สึกของผู้กำกับที่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดด้วยภาพสำทับลงไปอีกที ในตรงนี้อารมณ์เหมือนนั่งดูพรรณนาร้อยแก้วอะไรของคุณเธอฆ่าเวลาไปยังไงยังงั้น แต่ไม่เข้าใจว่าจะแบ่งเป็น Chapter ไปทำไมให้รกพื้นที่ ในเมื่อหนังไม่ได้เรียงตาม Timeline อยู่แล้วก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาให้วุ่นวายใจอะไรอีก
- สรุป ภาพรวมคือไม่ได้ถึงกับประทับใจที่สุด แต่ชอบวิธีการหาทำของผุ้กำกับที่ไม่เล่าเรียงลำดับเหตุการณ์ให้เราเช้าใจตรง ๆ แถมดันสามารถยกระดับในการเล่าของหนัง Documentary ได้ใกล้เคียงกับหนัง Fiction จนทำเอาผมตะลึงและไปไม่เป็นตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงแม้เนื้อเรื่องจะยืดเยื้อมากไปหน่อยจนบางช่วงที่ไม่จำเป็นก็สามารถตัดให้กระชับลงกว่านี้ได้ แต่ก็มีแอบปรุงแต่งตามจินตนาการของผู้กำกับบ้างประปรายเพื่อเพิ่มลูกเล่นไม่ให้เรียบเป็นเส้นตรงเกินไปแต่ไม่ได้ไปแทรกเพื่อลดทอนความสมจริงใน Timeline ที่นำเสนอมาด้วยความสัตย์จริงแม้แต่น้อย แต่ถ้าหนังเรียงลำดับเหตุการณ์ดี ๆ เป็นปกติมันจะทำให้ผมเข้าใจในเรื่องราวที่ผู้กำกับประสบพบเจอและอยากจะบอกกับเราให้เห็นภาพมากกว่านี้ แต่พอหนังมันไม่ยอมจบตรงนั้นแล้วไหลไปเรื่อย ๆ ก็คาดเดาไม่ได้อีกว่าตกลงจะให้จบลงตรงไหนมันเลยรู้สึกถึงความยืดเยื้อชวนน่าเบื่อจนไม่ค่อยอยากดูต่อ แต่ยังดีที่บทสรุปหาทางลงได้ลงตัวอยู่ถึงแม้จะทิ้ง Message ที่แฝงความมีนัยยะบางอย่างไว้ให้คนดูอย่างเราได้เก็บไปคิดกันต่อได้ไม่น้อย ขอยกย่องให้เป็นหนังสารคดีปราบเซียนอีกเรื่องที่กล้าหาญและบ้าบิ่นของผู้กำกับในการหา Concept ในการเล่าใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีในหนังประเภทนี้ซะเท่าไหร่
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้