อิสราเอล ยืนยันระบบส่งน้ำฉนวนกาซากลับมาใช้งานได้แล้ว
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/209809
รัฐบาลอิสราเอลแถลงข่าวผ่านระบบซูม ชี้แจงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในกาซา หลังครบ 1 เดือนกลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล และนำมาสู่สงคราม
นายพล
อีลาด โกเรน หัวหน้ากรมประสานงานกิจการรัฐบาลในดินแดน กองทัพป้องกันตนเเองอิสราเอล เปิดเผยต่อสื่อมวลชนต่างชาติเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566ว่า วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือน กลุ่ม ฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
หลังจากนั้นอิสราเอลก็ทำการโจมตีกาซาเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮามาส โดยนายพล
โกเรนระบุว่า ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในกาซาที่ทางกระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์เปิดเผยออกมานั้น เป็นเพียงนิยาย เพราะคนของกระทรวงสาธารณสุขก็เป็นกลุ่มฮามาส
ทางอิสราเอลลงพื้นที่ในกาซาร่วมกับเจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศจากหลายหน่วยงาน และมีการประเมินสถานการณ์ในนั้น ทั้งด้านอาหาร พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงน้ำ
นายพล
โกเรน ระบุว่า เรื่องของน้ำนั้น นับตั้งแต่ก่อนเกิดสงคราม ในกาซาก็มีปัญหาขาดแคลนน้ำอยู่ก่อนแล้ว และตั้งแต่ฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ระบบส่งน้ำก็ได้นับความเสียหาย แต่ทางอิสราเอลได้ส่งทหารและช่างไปซ่อมแซมแล้ว ยืนยันว่าขณะนี้ น้ำในกาซากลับมาใช้งานได้แล้ว แม้จะยังไม่กลับมาปกติก็ตาม
ส่วนเรื่องพลังงานนั้น ฝั่งอิสราเอลอ้างว่า กลุ่มฮามาสเข้ามาควบคุมเครื่องปั่นไฟในกาซา และคอยขัดขวางไม่ให้ประชาชนอพยพลงใต้ เพื่อไปยังจุดปลอดภัย อีกทั้งยังอ้างว่า กลุ่มฮามาสได้ใช้โรงพยาบาลเป็นศูนย์บัญชาการด้วย
ในตอนท้าย นายพลโกเรนย้ำว่า อิสราเอลจะยังคงสู้ต่อไป และกวาดล้างกลุ่มฮามาส พร้อมทั้งช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดกลับมาด้วย
คุก5ปี 4 อดีตตร.ห้วยขวาง ไถเน็ตไอดอลไต้หวันค่าบุหรี่ไฟฟ้า-ไม่พกพาสปอร์ต ยกฟ้อง2
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4272466
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษจำคุก 4 อดีต ตร.ห้วยขวาง รีดทรัพย์ค่าบุหรี่ไฟฟ้า-ไม่พกพาสปอร์ต จากนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน คนละ 5 ปี ให้ร่วมกันคืนเงิน 27,000 บาท ยกฟ้อง 2 อดีต ตร.
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมีชอบกลางนัดฟังคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต โจทก์ ร.ต.อ.
ยอดฤทธิ์ ลางคุลเสน อดีตรองสวป.สน.ห้วยขวางกับพวกรวม 6 คน
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้ง 6 ซึ่งเป็นตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีน จำเลยที่ 2 สังเกตเห็นรถยนต์มีลักษณะต้องสงสัยจึงส่งสัญญาณให้จอดเพื่อให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 ทำการตรวจต้น โดยมีจำเลยที่ 1-3 อยู่ร่วมกันในบริเวณตังกล่าวพบว่า กลุ่มคนโดยสารมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3 อัน ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามน้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ตามพระราชบัญญัติศุลกากรและเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทางหรือหลักฐานอื่นใดว่าได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
จากนั้นจำเลยที่ 1-6 ได้ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินเป็นเงินสดจำนวน 27,000 บาทจากนายป. ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนต่างชาติข้างต้นเพื่อให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดีนาย ป. จึงจำยอมส่งมอบเงินจำนวน 27,000 บาท ให้กับจำเลยที่ 3 จากนั้นจำเลยที่ 1-2 จึงสั่งให้ปล่อยตัวนาย ป. กับพวกออกจากจุดตรวจไปโดยไม่ได้ดำเนินการตมกฎหมายกับนาย ป. กับพวกแต่อย่างใด ขอให้ลงโทษพวกจำเลยตามความผิด และขอให้สั่งริบเงินจำนวน 27,000 บาทที่จำเลยที่ 1-6 ได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นติน
หากจำเลยทั้งหกไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวได้เพราะเหตุว่าโดยสภาพสิ่งที่ศาลจะสั่งริบหรือได้สั่งริบไม่สามารถส่งมอบได้สูญหายหรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการจำหน่ายจ่ายโอนสิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำได้โดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่นขอให้สั่งจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน 27,000 บาทแทน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดหรือร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนาย ป. ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานสำคัญเบิกความสอดคล้องกับบันทึกคำให้การที่ได้ให้การไว้ต่อหนักงานสอบสวนได้ความว่า ในคืนวันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนถูกเจ้าหนักงานตำรวจที่ตั้งจุดอยู่บริเวณหน้าสถานทูตจีนตรวจค้นตัว จากการตรวจค้นตัวพยานและเพื่อนพบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน และเมื่อถูกขอตรวจดูหนังสือเดินทางในกลุ่มของพยานมีเพียงคนเดียวที่พกพาหนังสือเดินทางฉบับจริง ส่วนที่เหลือมีภาพถ่ายในโทรศัพท์เคลื่อนที่ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าพยานกับพวกทำผิดกฎหมายคือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้
ในครอบครอง และไม่พกพาหนังสือเดินทางต้องถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจอาจถูกควบคุมตัวไว้ 2-3 วัน หรืออาจถูกจำคุก พยานพยายามพูดคุยต่อรองให้เจ้าพนักงานตำรวจปล่อยตัวพยานกับพวก จนในที่สุดเจ้าพนักงานตำรวจได้บอกให้พยานจ่ายเงินกรณีที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3 อัน อันละ 8,000 บาท และพยานกับพวก 3 คน ไม่พกหนังสือเดินทางอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัวพยานจึงจ่ายเงินจำนวน 27,000 บาท ให้เจ้าพนักงานตำรวจคนดังกล่าวไป
พยานสามารถจดจำใบหน้าเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้ามาพูดคุยต่อรองกับพยานได้ 3 คน คือ จำเลยที่ 2-4 นอกจากนี้ขณะที่มาเบิกความเป็นพยานที่ศาล นาย ป. ได้ซี้ตัวจำเลยที่ 2-4 ผ่านระบบประชุมทางจอภาพได้ถูกต้องแม่นยำ
ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะอ้างว่าขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่รถยนต์สายตรวจห่างออกไป 30 เมตร ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปรากฎข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า ขณะตรวจค้นตัวนาย ป. จำเลยที่ 3 เดินไปหาจำเลยที่ 1 เพื่อรายงานให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทราบ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 บอกว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจได้เพราะจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดเหมือนกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการย่อมต้องรับรู้และ รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้
ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ปรากฎข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ตรวจค้นตัวกลุ่มผู้เสียหาย ประกอบกับการที่ นาย ป. ตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 4 ที่ขออนุญาตศาลถามว่า ระหว่างที่นาย ป. พูดคุยเจรจาอยู่กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 นั้น จำเลยที่ 4 เดินไปเดินมาและบางครั้งก็เข้ามาพูดกับนาย ป. กับพวกว่าคนสิงคโปร์เดินทางเข้าประเทศไทยต้องขอวีซ่าจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 รับรู้และมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วย
การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 193ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่จำต้องปรับบท มาตรา 157 และมาตรา 172 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
สำหรับจำเลยที่ 5-6 ปรากฎข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุจำเลยที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ด้านหน้าสุดของจุดตรวจ มีหน้าที่คัดกรองรถต้องสงสัยเพื่อส่งต่อให้เจ้าพนักงานตำรวจที่อยู่ด้านหลังห่างกันประมาณ 35 เมตร จำเลยที่ 5 เป็นผู้เรียกให้รถยนต์คันที่ผู้เสียหายทั้งสี่นั่งมาเพื่อขอตรวจค้น เมื่อส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวจอดแล้ว ดาบตำรวจ อ. ได้รับรถคันดังกล่าวไปดำเนินการต่อ โดยที่จำเลยที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรงจุดที่รับผิดชอบต่อไปไม่ได้เดินไปที่จุดตรวจที่อยู่ด้านหลังจนกระทั่งเสิกจุดตรวจ
จากพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 5 เข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิดในการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ส่วนกรณีจำเลยที่ 4 ให้การไว้ว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 เวลา 00.45 นาฬิกา จำเลยที่ 5 ได้นำเงินสดจำนวน 3,000 บาท มามอบให้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเงินอะไร เห็นว่า ลำพังเพียงข้อเท็จจริงเรื่องเงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม กรณีไม่อาจทราบแน่ชัดว่าเป็นเงินอะไรได้มาอย่างไรจึง ไม่อาจนำข้อเท็จจริงส่วนนี้เพียงอย่างเดียวมาพิสูจน์ความถูกผิดของจำเลยที่ 5 ได้
ส่วนจำเลยที่ 6 ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 6 รับผิดชอบประจำอยู่ตรงจุดตรวจทำหน้าที่ตรวจค้นรถและตัวบุคคลคู่กับจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 เป็นคนแจ้งให้กลุ่มผู้เสียหายลงจากรถและทำการตรวจค้น ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิงได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพ จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 จึงห้ามไม่ให้ถ่ายภาพและขอให้ลบข้อมูลออกจนเกิดการโต้เถียงกัน จนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้เดินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายแทน จำเลยที่ 6 จึงแยกตัวออกมาทำการตรวจค้นรถอยู่บริเวณฝั่งเกาะกลางถนนห่างออกไปประมาณ 30 เมตร จนถึงเวลา 03.15 นาฬิกา จึงเดินกลับมาที่เดิมซึ่งไม่เห็นกลุ่มผู้เสียหายแล้ว เห็นว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฎไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 6 มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามฟ้องเช่นเดียวกัน
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 173ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5-6 ริบเงิน 27,000 บาท ที่จำเลยที่ 1-4 ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการคดีนี้ให้ตกเป็นของแผ่นดินหากจำเลยที่ 1-4 ไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวได้ เพราะเหตุว่าโดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้ สูญหาย หรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการนำสิ่งนั้นไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น หรือได้มีการจำหน่าย จ่าย โอนสิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำได้โดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่นให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชำระเงิน 27,000 บาท
JJNY : ระบบส่งน้ำกาซาใช้งานได้แล้ว│คุก 5 ปี อดีตตร.ไถเน็ตไอดอลไต้หวัน│"ศิธา"โพสต์ เข้าใจ"ต้องเต"│น้ำตาลทรายเริ่มขาดตลาด
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/209809
รัฐบาลอิสราเอลแถลงข่าวผ่านระบบซูม ชี้แจงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในกาซา หลังครบ 1 เดือนกลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล และนำมาสู่สงคราม
นายพลอีลาด โกเรน หัวหน้ากรมประสานงานกิจการรัฐบาลในดินแดน กองทัพป้องกันตนเเองอิสราเอล เปิดเผยต่อสื่อมวลชนต่างชาติเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566ว่า วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือน กลุ่ม ฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
หลังจากนั้นอิสราเอลก็ทำการโจมตีกาซาเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮามาส โดยนายพลโกเรนระบุว่า ตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในกาซาที่ทางกระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์เปิดเผยออกมานั้น เป็นเพียงนิยาย เพราะคนของกระทรวงสาธารณสุขก็เป็นกลุ่มฮามาส
ทางอิสราเอลลงพื้นที่ในกาซาร่วมกับเจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศจากหลายหน่วยงาน และมีการประเมินสถานการณ์ในนั้น ทั้งด้านอาหาร พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงน้ำ
นายพลโกเรน ระบุว่า เรื่องของน้ำนั้น นับตั้งแต่ก่อนเกิดสงคราม ในกาซาก็มีปัญหาขาดแคลนน้ำอยู่ก่อนแล้ว และตั้งแต่ฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ระบบส่งน้ำก็ได้นับความเสียหาย แต่ทางอิสราเอลได้ส่งทหารและช่างไปซ่อมแซมแล้ว ยืนยันว่าขณะนี้ น้ำในกาซากลับมาใช้งานได้แล้ว แม้จะยังไม่กลับมาปกติก็ตาม
ส่วนเรื่องพลังงานนั้น ฝั่งอิสราเอลอ้างว่า กลุ่มฮามาสเข้ามาควบคุมเครื่องปั่นไฟในกาซา และคอยขัดขวางไม่ให้ประชาชนอพยพลงใต้ เพื่อไปยังจุดปลอดภัย อีกทั้งยังอ้างว่า กลุ่มฮามาสได้ใช้โรงพยาบาลเป็นศูนย์บัญชาการด้วย
ในตอนท้าย นายพลโกเรนย้ำว่า อิสราเอลจะยังคงสู้ต่อไป และกวาดล้างกลุ่มฮามาส พร้อมทั้งช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดกลับมาด้วย
คุก5ปี 4 อดีตตร.ห้วยขวาง ไถเน็ตไอดอลไต้หวันค่าบุหรี่ไฟฟ้า-ไม่พกพาสปอร์ต ยกฟ้อง2
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4272466
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษจำคุก 4 อดีต ตร.ห้วยขวาง รีดทรัพย์ค่าบุหรี่ไฟฟ้า-ไม่พกพาสปอร์ต จากนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน คนละ 5 ปี ให้ร่วมกันคืนเงิน 27,000 บาท ยกฟ้อง 2 อดีต ตร.
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมีชอบกลางนัดฟังคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต โจทก์ ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ ลางคุลเสน อดีตรองสวป.สน.ห้วยขวางกับพวกรวม 6 คน
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้ง 6 ซึ่งเป็นตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีน จำเลยที่ 2 สังเกตเห็นรถยนต์มีลักษณะต้องสงสัยจึงส่งสัญญาณให้จอดเพื่อให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 ทำการตรวจต้น โดยมีจำเลยที่ 1-3 อยู่ร่วมกันในบริเวณตังกล่าวพบว่า กลุ่มคนโดยสารมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3 อัน ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามน้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ตามพระราชบัญญัติศุลกากรและเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทางหรือหลักฐานอื่นใดว่าได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
จากนั้นจำเลยที่ 1-6 ได้ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินเป็นเงินสดจำนวน 27,000 บาทจากนายป. ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนต่างชาติข้างต้นเพื่อให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดีนาย ป. จึงจำยอมส่งมอบเงินจำนวน 27,000 บาท ให้กับจำเลยที่ 3 จากนั้นจำเลยที่ 1-2 จึงสั่งให้ปล่อยตัวนาย ป. กับพวกออกจากจุดตรวจไปโดยไม่ได้ดำเนินการตมกฎหมายกับนาย ป. กับพวกแต่อย่างใด ขอให้ลงโทษพวกจำเลยตามความผิด และขอให้สั่งริบเงินจำนวน 27,000 บาทที่จำเลยที่ 1-6 ได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นติน
หากจำเลยทั้งหกไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวได้เพราะเหตุว่าโดยสภาพสิ่งที่ศาลจะสั่งริบหรือได้สั่งริบไม่สามารถส่งมอบได้สูญหายหรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการจำหน่ายจ่ายโอนสิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำได้โดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่นขอให้สั่งจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินจำนวน 27,000 บาทแทน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งหกกระทำความผิดหรือร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนาย ป. ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานสำคัญเบิกความสอดคล้องกับบันทึกคำให้การที่ได้ให้การไว้ต่อหนักงานสอบสวนได้ความว่า ในคืนวันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนถูกเจ้าหนักงานตำรวจที่ตั้งจุดอยู่บริเวณหน้าสถานทูตจีนตรวจค้นตัว จากการตรวจค้นตัวพยานและเพื่อนพบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน และเมื่อถูกขอตรวจดูหนังสือเดินทางในกลุ่มของพยานมีเพียงคนเดียวที่พกพาหนังสือเดินทางฉบับจริง ส่วนที่เหลือมีภาพถ่ายในโทรศัพท์เคลื่อนที่ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าพยานกับพวกทำผิดกฎหมายคือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้
ในครอบครอง และไม่พกพาหนังสือเดินทางต้องถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจอาจถูกควบคุมตัวไว้ 2-3 วัน หรืออาจถูกจำคุก พยานพยายามพูดคุยต่อรองให้เจ้าพนักงานตำรวจปล่อยตัวพยานกับพวก จนในที่สุดเจ้าพนักงานตำรวจได้บอกให้พยานจ่ายเงินกรณีที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3 อัน อันละ 8,000 บาท และพยานกับพวก 3 คน ไม่พกหนังสือเดินทางอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัวพยานจึงจ่ายเงินจำนวน 27,000 บาท ให้เจ้าพนักงานตำรวจคนดังกล่าวไป
พยานสามารถจดจำใบหน้าเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้ามาพูดคุยต่อรองกับพยานได้ 3 คน คือ จำเลยที่ 2-4 นอกจากนี้ขณะที่มาเบิกความเป็นพยานที่ศาล นาย ป. ได้ซี้ตัวจำเลยที่ 2-4 ผ่านระบบประชุมทางจอภาพได้ถูกต้องแม่นยำ
ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะอ้างว่าขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่รถยนต์สายตรวจห่างออกไป 30 เมตร ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปรากฎข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า ขณะตรวจค้นตัวนาย ป. จำเลยที่ 3 เดินไปหาจำเลยที่ 1 เพื่อรายงานให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทราบ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 บอกว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจได้เพราะจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดเหมือนกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการย่อมต้องรับรู้และ รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้
ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ปรากฎข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ตรวจค้นตัวกลุ่มผู้เสียหาย ประกอบกับการที่ นาย ป. ตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 4 ที่ขออนุญาตศาลถามว่า ระหว่างที่นาย ป. พูดคุยเจรจาอยู่กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 นั้น จำเลยที่ 4 เดินไปเดินมาและบางครั้งก็เข้ามาพูดกับนาย ป. กับพวกว่าคนสิงคโปร์เดินทางเข้าประเทศไทยต้องขอวีซ่าจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 รับรู้และมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วย
การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 193ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่จำต้องปรับบท มาตรา 157 และมาตรา 172 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
สำหรับจำเลยที่ 5-6 ปรากฎข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุจำเลยที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ด้านหน้าสุดของจุดตรวจ มีหน้าที่คัดกรองรถต้องสงสัยเพื่อส่งต่อให้เจ้าพนักงานตำรวจที่อยู่ด้านหลังห่างกันประมาณ 35 เมตร จำเลยที่ 5 เป็นผู้เรียกให้รถยนต์คันที่ผู้เสียหายทั้งสี่นั่งมาเพื่อขอตรวจค้น เมื่อส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวจอดแล้ว ดาบตำรวจ อ. ได้รับรถคันดังกล่าวไปดำเนินการต่อ โดยที่จำเลยที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรงจุดที่รับผิดชอบต่อไปไม่ได้เดินไปที่จุดตรวจที่อยู่ด้านหลังจนกระทั่งเสิกจุดตรวจ
จากพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 5 เข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิดในการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ส่วนกรณีจำเลยที่ 4 ให้การไว้ว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566 เวลา 00.45 นาฬิกา จำเลยที่ 5 ได้นำเงินสดจำนวน 3,000 บาท มามอบให้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเงินอะไร เห็นว่า ลำพังเพียงข้อเท็จจริงเรื่องเงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม กรณีไม่อาจทราบแน่ชัดว่าเป็นเงินอะไรได้มาอย่างไรจึง ไม่อาจนำข้อเท็จจริงส่วนนี้เพียงอย่างเดียวมาพิสูจน์ความถูกผิดของจำเลยที่ 5 ได้
ส่วนจำเลยที่ 6 ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 6 รับผิดชอบประจำอยู่ตรงจุดตรวจทำหน้าที่ตรวจค้นรถและตัวบุคคลคู่กับจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 เป็นคนแจ้งให้กลุ่มผู้เสียหายลงจากรถและทำการตรวจค้น ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิงได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพ จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 จึงห้ามไม่ให้ถ่ายภาพและขอให้ลบข้อมูลออกจนเกิดการโต้เถียงกัน จนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้เดินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายแทน จำเลยที่ 6 จึงแยกตัวออกมาทำการตรวจค้นรถอยู่บริเวณฝั่งเกาะกลางถนนห่างออกไปประมาณ 30 เมตร จนถึงเวลา 03.15 นาฬิกา จึงเดินกลับมาที่เดิมซึ่งไม่เห็นกลุ่มผู้เสียหายแล้ว เห็นว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฎไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 6 มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามฟ้องเช่นเดียวกัน
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 173ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5-6 ริบเงิน 27,000 บาท ที่จำเลยที่ 1-4 ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการคดีนี้ให้ตกเป็นของแผ่นดินหากจำเลยที่ 1-4 ไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวได้ เพราะเหตุว่าโดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้ สูญหาย หรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการนำสิ่งนั้นไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น หรือได้มีการจำหน่าย จ่าย โอนสิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำได้โดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่นให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชำระเงิน 27,000 บาท