“ที่อยู่อาศัย” ถือเป็นอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูง และเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต เปรียบเสมือนเป็นการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต ผู้ตัดสินใจซื้อต้องเตรียมความพร้อมที่จะลงเงินลงแรงไปเป็นเงินก้อนโต สำหรับใครที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดงบประมาณ การคำนวนรายรับและรายจ่าย ค่างวดที่ผ่อนชำระ ทำเลที่ตั้ง และการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการ แต่หลายครั้งที่โครงการบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมมักจะจูงใจผู้ซื้อด้วยการโฆษณาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ของแถม และโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งผู้บริโภคไม่มีทางที่จะทราบได้ว่าจะมีปัญหาตามมาหลังจากนี้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เหตุพิพาทมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ทำการทำสัญญาซื้อขายหรือเข้าไปอาศัยอยู่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ผู้ประกอบธุรกิจมักจะกล่าวอ้างว่าคำโฆษณาดังกล่าวมิได้ปรากฏอยู่ในสัญญา
ดังตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกาที่ 851 / 2544 แผ่นพับโฆษณาของจำเลยระบุว่าเริ่มก่อสร้างบ้านเรือน
เดือนกันยายน 2537 จะแล้วเสร็จปลายปี 2539 โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อได้พบแผ่นพับโฆษณาดังกล่าว
แจ้งรายละเอียดของรูปแบบบ้าน ทำเลที่ดิน และเงื่อนไขต่างๆ จึงใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ โดยจำเลยต้องก่อสร้างบ้านให้เสร็จภายในกำหนด แต่จำเลยก็ก่อสร้างไม่เสร็จถึงแม้ว่าในเวลาต่อมา จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้ก่อสร้างบ้านเสร็จแล้วเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาแล้ว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 (มาตรา 11) ประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่า ผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของบริการ
หรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเพิ่มเติมขึ้นจากที่ได้ทำสัญญาไว้ ให้ถือว่าข้อความการกระทำหรือข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำสืบพยานบุคคล หรือพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าวได้ ถึงแม้ว่าการทำสัญญาเช่นว่านั้นกฎหมายจะกำหนดว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือและไม่ปรากฏข้อตกลงนั้นในหนังสือที่ได้ทำขึ้นก็ตาม
ดังนั้นเมื่อตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยต้องเก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย เช่น ใบปลิวโฆษณา แผ่นพับ โปสเตอร์ ฯลฯ ระบุเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาไว้ด้วยเพื่อให้มีผลผูกพันกันตามกฎหมาย หากผู้ประกอบธุรกิจมิได้กระทำตามที่โฆษณาไว้ในหลักฐานการโฆษณาที่ได้แนบท้ายไว้เป็น ส่วนหนึ่งของสัญญาแล้ว ผู้บริโภคสามารถบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจทำตามที่โฆษณาไว้ได้ ทั้งนี้ หากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ประกอบธุรกิจสามารถร้องเรียน กับ สคบ.
ได้ที่สายด่วน 1166 หรือ ผ่านระบบร้องทุกข์ออนไลน์ www.ocpb.go.th
บอกแล้ว…ต้องทำได้ เพราะโฆษณา = สัญญา
ดังตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกาที่ 851 / 2544 แผ่นพับโฆษณาของจำเลยระบุว่าเริ่มก่อสร้างบ้านเรือน
เดือนกันยายน 2537 จะแล้วเสร็จปลายปี 2539 โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อได้พบแผ่นพับโฆษณาดังกล่าว
แจ้งรายละเอียดของรูปแบบบ้าน ทำเลที่ดิน และเงื่อนไขต่างๆ จึงใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ โดยจำเลยต้องก่อสร้างบ้านให้เสร็จภายในกำหนด แต่จำเลยก็ก่อสร้างไม่เสร็จถึงแม้ว่าในเวลาต่อมา จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าได้ก่อสร้างบ้านเสร็จแล้วเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2540 ซึ่งพ้นกำหนดเวลาแล้ว จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 (มาตรา 11) ประกาศ โฆษณา คำรับรอง หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญาว่า ผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้ หรือจัดหาให้ซึ่งสิ่งของบริการ
หรือสาธารณูปโภคอื่นใด หรือจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ผู้บริโภคเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเพิ่มเติมขึ้นจากที่ได้ทำสัญญาไว้ ให้ถือว่าข้อความการกระทำหรือข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำสืบพยานบุคคล หรือพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าวได้ ถึงแม้ว่าการทำสัญญาเช่นว่านั้นกฎหมายจะกำหนดว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือและไม่ปรากฏข้อตกลงนั้นในหนังสือที่ได้ทำขึ้นก็ตาม
ดังนั้นเมื่อตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยต้องเก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย เช่น ใบปลิวโฆษณา แผ่นพับ โปสเตอร์ ฯลฯ ระบุเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาไว้ด้วยเพื่อให้มีผลผูกพันกันตามกฎหมาย หากผู้ประกอบธุรกิจมิได้กระทำตามที่โฆษณาไว้ในหลักฐานการโฆษณาที่ได้แนบท้ายไว้เป็น ส่วนหนึ่งของสัญญาแล้ว ผู้บริโภคสามารถบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจทำตามที่โฆษณาไว้ได้ ทั้งนี้ หากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ประกอบธุรกิจสามารถร้องเรียน กับ สคบ.
ได้ที่สายด่วน 1166 หรือ ผ่านระบบร้องทุกข์ออนไลน์ www.ocpb.go.th