เคล็ดลับการนั่งสมาธิให้เกิดจิตรวมเป็นสมาธิ (ของผม)
1. เลือกวันสบายๆ ไม่ง่วง ไม่หิว ไม่อิ่ม ไม่มีภาระหน้าที่การงาน ในห้องสบายๆ บอกคนในบ้านว่าจะนั่งสมาธิไม่ต้องรบกวน เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ตัดกังวล ภาระหน้าที่ออกให้หมด และไม่ต้องคาดหวังใดๆกับการนั่งสมาธิครั้งนี้ คิดว่านั่งเพื่อผ่อนคลายสบายๆ พอ ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก
2. ให้นั่งในท่าขัดสมาธิสบายๆ ไม่พึงหัว (เดี๋ยวหลับ) พึงหลังได้แค่ครึ่งตัว เลือกกรรมฐานที่ท่านชอบ ดูลมหายใจ ยุบหนอพองหนอ กสิณต่างๆ ตามแต่ท่านถนัด จะดูลมหายใจ เข้า พุทธ ออก โธ หรือ พุทธโธๆๆๆ พร้อมดูลมหายใจก็ได้
3. เอาสติวางไว้กับกรรมฐานสบายๆ ห้ามเพ่ง แต่ห้ามผ่อนจนเกินไปเดี๋ยวหลับ ให้อารมณ์กลางๆ ใช้สติให้มากๆ
4. เคล็ดลับ คือ นั่งสมาธิให้ได้ 2 ชม. โดยไปยุกหยิก ไม่เปลี่ยนท่า เปลี่ยนอริยาบถใดๆ ดำรงสติให้มั่น
5. 1-30 นาทีแรก จะเกิดความฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่เมื่อเผลอฟุ้งซ่านให้ใช้สติรู้ แล้วกลับมาที่กรรมฐานโดยทันที อย่าตามความฟุ้งซ่านให้ดีสติกับกรรมฐานให้มากๆ ความฟุ้งซ่านจะค่อยๆลดลง
6. 30-60 นาที เริ่มเกิดทุกขเวทนา ปวดตามเนื้อตามตัว ตามข้อ ให้ฝืนนั่งห้ามเปลี่ยนอริยาบถเอาสติกลับมาที่กรรมฐาน ทุกขเวทนาจะหายไป
7. 60-90 นาที จะเกิดปิติ เช่น ขนลุกขนผอง น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวขยาย ซาบซ่านทั้งตัว แสดงว่าจิตท่านเริ่มเป็นสมาธิแล้ว เป็นเครื่องหมายที่ดี ไม่ต้องสนใจสักแต่ว่ารู้ เอาสติกลับมาที่กรรมฐาน
8. 90-100 นาที เมื่อข้ามปิติได้ จะเกิดสุขพุ่งไปทั้งร่างกาย ทุกอณูขุมขน สุขแบบสุขใดในโลกนำมารวมกันก็เทียบไม่ได้ สุขยิ่งกว่าสุขของพระจักรพรรดิ สักแต่ว่ารู้อย่าไปติดสุข สติกับมาที่กรรมฐาน
9. 100-110 นาที ถ้าข้ามสุขมาได้จะเกิดจิตตั้งมั่นรวมเป็นสมาธิ ตัวรู้ สติรอยเด่นขึ้นมาอยู่กับกรรมฐาน รวมเป็นสมาธิแล้ว บางคนเห็นเป็นดวงแก้วสว่างไสว หรือเห็นเรืองแสงลอยเด่นอยู่ แล้วแต่ แต่ละคนไม่มีถูกผิด
10. 110-120 นาที จิตจะทิ้งคำบริกรรมไปเอง เหลือแต่ ปิติ สุขและจิตตั้งมั่น เอาสติวางไว้เอาจิตตั่งมั่น
11. 120-130 นาที ร่างกายจะแข็งทื่อตั้งตรงเป็นได้บรรทัด ปิติจะหายไป ลมหายใจจะค่อยๆละเอียดแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เหมือนจะไม่หายใจหรือหายใจทางผิวหนัง ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัวตาย คนตกม้าตายตรงนี้เยอะ เอาสติวางไว้กับจิตตั้งมั่นที่ลอยเด่นอยู่
12. 130-140 นาที ลมหายใจดับสนิท ไม่รู้สึกถึงกาย กายดับลมหายใจดับ เหลือแต่สติตัวรู้ จิตตั้งมั่นลอยเด่น ไม่สุข ไม่ทุกข์ จิตเป็นกลางแบบที่สุด วางสติไว้กับจิตตั้งมั่นสบายๆนั้น บางคนจะอยู่ได้ 15 ,30, 60 นาที 1, 3, 6 ชม. แล้วแต่สติและกำลังสมาธิ เมื่อจิตอิ่มจะถอนออกจากสมาธิมาเอง ห้ามกำหนดจิตออกจากสมาธิเพราะจะทำให้เข้าสมาธิครั้งต่อไปยาก ต้องออกเมื่อจิตอิ่มแล้วเท่านั้น หลังจากออกสมาธิจิตมีความเป็นกลางและมีและมีปัญญาที่สุดเหมาะแก่การวิปัสสนาฆ่ากิเลสที่สุดแล้ว
13. เมื่อออกจากสมาธิจะเกิดปิติ สุขไปทั้งร่างกาย สุขจะอยู่ค้างไป 3-7 วัน ไม่หิว ไม่ง่วงมีแต่ความสุข หลังจากนั้นจะจางหายไป
14. ทำให้ได้บ่อยๆ หลังจากนั้นจะใช้เวลาน้อยลงในการนั่งให้จิตรวมเป็นสมาธิ บางทีแค่ภาวนา พุทโธ 5 นาทีก็จิตรวมเป็นสมาธิแล้ว
ที่เล่ามาเป็นประสบการณ์ทำสมาธิของผมทั้งหมดให้เป็นธรรมทานแก่เพื่อนนักฏิบัติครับ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
เคล็ดลับการนั่งสมาธิให้เกิดจิตรวมเป็นสมาธิ (ของผม)
1. เลือกวันสบายๆ ไม่ง่วง ไม่หิว ไม่อิ่ม ไม่มีภาระหน้าที่การงาน ในห้องสบายๆ บอกคนในบ้านว่าจะนั่งสมาธิไม่ต้องรบกวน เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ตัดกังวล ภาระหน้าที่ออกให้หมด และไม่ต้องคาดหวังใดๆกับการนั่งสมาธิครั้งนี้ คิดว่านั่งเพื่อผ่อนคลายสบายๆ พอ ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุก
2. ให้นั่งในท่าขัดสมาธิสบายๆ ไม่พึงหัว (เดี๋ยวหลับ) พึงหลังได้แค่ครึ่งตัว เลือกกรรมฐานที่ท่านชอบ ดูลมหายใจ ยุบหนอพองหนอ กสิณต่างๆ ตามแต่ท่านถนัด จะดูลมหายใจ เข้า พุทธ ออก โธ หรือ พุทธโธๆๆๆ พร้อมดูลมหายใจก็ได้
3. เอาสติวางไว้กับกรรมฐานสบายๆ ห้ามเพ่ง แต่ห้ามผ่อนจนเกินไปเดี๋ยวหลับ ให้อารมณ์กลางๆ ใช้สติให้มากๆ
4. เคล็ดลับ คือ นั่งสมาธิให้ได้ 2 ชม. โดยไปยุกหยิก ไม่เปลี่ยนท่า เปลี่ยนอริยาบถใดๆ ดำรงสติให้มั่น
5. 1-30 นาทีแรก จะเกิดความฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่เมื่อเผลอฟุ้งซ่านให้ใช้สติรู้ แล้วกลับมาที่กรรมฐานโดยทันที อย่าตามความฟุ้งซ่านให้ดีสติกับกรรมฐานให้มากๆ ความฟุ้งซ่านจะค่อยๆลดลง
6. 30-60 นาที เริ่มเกิดทุกขเวทนา ปวดตามเนื้อตามตัว ตามข้อ ให้ฝืนนั่งห้ามเปลี่ยนอริยาบถเอาสติกลับมาที่กรรมฐาน ทุกขเวทนาจะหายไป
7. 60-90 นาที จะเกิดปิติ เช่น ขนลุกขนผอง น้ำตาไหล ตัวโยก ตัวขยาย ซาบซ่านทั้งตัว แสดงว่าจิตท่านเริ่มเป็นสมาธิแล้ว เป็นเครื่องหมายที่ดี ไม่ต้องสนใจสักแต่ว่ารู้ เอาสติกลับมาที่กรรมฐาน
8. 90-100 นาที เมื่อข้ามปิติได้ จะเกิดสุขพุ่งไปทั้งร่างกาย ทุกอณูขุมขน สุขแบบสุขใดในโลกนำมารวมกันก็เทียบไม่ได้ สุขยิ่งกว่าสุขของพระจักรพรรดิ สักแต่ว่ารู้อย่าไปติดสุข สติกับมาที่กรรมฐาน
9. 100-110 นาที ถ้าข้ามสุขมาได้จะเกิดจิตตั้งมั่นรวมเป็นสมาธิ ตัวรู้ สติรอยเด่นขึ้นมาอยู่กับกรรมฐาน รวมเป็นสมาธิแล้ว บางคนเห็นเป็นดวงแก้วสว่างไสว หรือเห็นเรืองแสงลอยเด่นอยู่ แล้วแต่ แต่ละคนไม่มีถูกผิด
10. 110-120 นาที จิตจะทิ้งคำบริกรรมไปเอง เหลือแต่ ปิติ สุขและจิตตั้งมั่น เอาสติวางไว้เอาจิตตั่งมั่น
11. 120-130 นาที ร่างกายจะแข็งทื่อตั้งตรงเป็นได้บรรทัด ปิติจะหายไป ลมหายใจจะค่อยๆละเอียดแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เหมือนจะไม่หายใจหรือหายใจทางผิวหนัง ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัวตาย คนตกม้าตายตรงนี้เยอะ เอาสติวางไว้กับจิตตั้งมั่นที่ลอยเด่นอยู่
12. 130-140 นาที ลมหายใจดับสนิท ไม่รู้สึกถึงกาย กายดับลมหายใจดับ เหลือแต่สติตัวรู้ จิตตั้งมั่นลอยเด่น ไม่สุข ไม่ทุกข์ จิตเป็นกลางแบบที่สุด วางสติไว้กับจิตตั้งมั่นสบายๆนั้น บางคนจะอยู่ได้ 15 ,30, 60 นาที 1, 3, 6 ชม. แล้วแต่สติและกำลังสมาธิ เมื่อจิตอิ่มจะถอนออกจากสมาธิมาเอง ห้ามกำหนดจิตออกจากสมาธิเพราะจะทำให้เข้าสมาธิครั้งต่อไปยาก ต้องออกเมื่อจิตอิ่มแล้วเท่านั้น หลังจากออกสมาธิจิตมีความเป็นกลางและมีและมีปัญญาที่สุดเหมาะแก่การวิปัสสนาฆ่ากิเลสที่สุดแล้ว
13. เมื่อออกจากสมาธิจะเกิดปิติ สุขไปทั้งร่างกาย สุขจะอยู่ค้างไป 3-7 วัน ไม่หิว ไม่ง่วงมีแต่ความสุข หลังจากนั้นจะจางหายไป
14. ทำให้ได้บ่อยๆ หลังจากนั้นจะใช้เวลาน้อยลงในการนั่งให้จิตรวมเป็นสมาธิ บางทีแค่ภาวนา พุทโธ 5 นาทีก็จิตรวมเป็นสมาธิแล้ว
ที่เล่ามาเป็นประสบการณ์ทำสมาธิของผมทั้งหมดให้เป็นธรรมทานแก่เพื่อนนักฏิบัติครับ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ