(ต่อจากกระทู้
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 3.1 https://ppantip.com/topic/43087337)
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 3.2

อุปจารสมาธิขั้นกลางก็ได้แก่กายสั่นเทิ้ม คล้ายๆกับปลุกพระ หรือว่ามีร่างกายลอยขึ้น มีอาการซาบซ่าซู่ซ่า ตัวเบา ร่างกายใหญ่ หน้าตาโต มีจิตสบาย อย่างนี้เรียกว่า
อุปจารสมาธิขั้นกลาง ถ้ามีถึงขั้นอารมณ์ใจเป็นสุข บอกไม่ถูก นี่เป็น
อุปจารสมาธิขั้นสูงสุด จะเป็นอุปจารสมาธิอันดับใดก็ตาม ในขณะนี้จะมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น นั่นก็คือบางครั้ง เราจะเห็นแสงหรือสีต่างๆ ปรากฏ บางครั้งก็เห็น สีเขียว สีขาว สีแดง สีเหลือง บางครั้งก็มีอาการคล้ายๆ ใครเขาฉายไฟเข้ามาที่หน้า บางคราวจะรู้สึกว่ามีแสงสว่างทั่วไปทั้งวรกาย มีทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทราบว่า นั่นเป็นนิมิตของอานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ว่าบางทีก็อาจจะมีภาพคน ภาพอาคารสถานที่ หรือภาพอะไรก็ตามเกิดขึ้น แต่อาการอย่างนี้จะเกิดขึ้นชั่วขณะเดียวแล้วก็หายไป
มาในตอนนี้ขอท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า จงอย่าสนใจกับแสงสีใดๆ ทั้งหมด อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราเจริญกรรมฐานต้องการอารมณ์จิตเป็นสุข ต้องการอารมณ์เป็นสมาธิ คือจับอารมณ์เดิมเข้าไว้ แต่ทว่าเรื่องภาพแสงสีนี่ ก็รู้สึกว่าเป็นที่น่าหนักใจอยู่นิดหนึ่ง ด้วยว่าเป็นของแปลก เป็นของใหม่สำหรับผู้ปฏิบัติ เมื่อเห็นภาพเข้าอดจะตกใจไม่ได้ พอเอาจิตไปจับภาพและแสงสีนั้น จิตก็เคลื่อน ภาพก็หาย ฉะนั้นการเห็นภาพหรือแสงสีในอันดับนี้ ตามเกณฑ์แห่งการปฏิบัติท่านยังไม่ถือว่าเป็นของดี
แต่ก็มีหลายท่าน อาจจะเป็นหลายสำนักก็ได้ เพราะมีลูกศิษย์ลูกหาของบรรดาท่านทั้งหลายเคยมาถามเสมอๆ ว่าขอท่านได้โปรดพิจารณากรรมฐานที่ฉันได้ ว่ามันเสื่อมไปแล้วหรือยัง ก็ได้ถามว่า ทำไมจึงถามอย่างนั้น ท่านบอกว่า ขณะที่ท่านเจริญกับอาจารย์ของท่าน อาจารย์ของท่านบอกว่าจบกิจในการปฏิบัติแล้ว ได้ถามว่าการจบกิจในการปฏิบัติ มีอะไรเกิดขึ้นกับใจ ท่านก็บอกว่าเห็นภาพแสงสีต่างๆ เห็นเหมือนภาพคนบ้าง แสงสว่างบ้าง สีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง อย่างนี้อาจารย์บอกว่าจบแล้ว กรรมฐานมีเท่านี้
นี่ท่านทั้งหลายผมเสียดายความดีของท่านผู้ปฏิบัติ ความจริงภาพแสงสีต่างๆ ที่เห็น บางคนก็เข้าใจว่า อาการอย่างนั้นเป็นเรื่องของทิพพจักขุญาณ ถ้าความรู้สึกมีอย่างนี้ก็น่าเสียดายอีก เพราะภาพที่ปรากฎ แสงสีที่ปรากฎ ไม่ใช่ทิพจักขุญาณ เป็นเรื่องของอารมณ์จิตที่เข้าถึงอุปจารสมาธิ จิตมีสภาพเป็นทิพย์เล็กน้อยเท่านั้น ยังใช้อะไรไม่ได้ ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงอย่าสนใจกับภาพและแสงสีต่างๆ ถ้าหากว่าอาการอย่างนี้ปรากฏ จงทำความรู้สึกว่า เรายังดีไม่พอ อารมณ์จิตของเรายังเข้าไม่ถึงปฐมฌาน ขอท่านทั้งหลายโปรดจำ
และอีกประการหนึ่ง เท่าที่พูดมา ถ้าหากว่าอาการของจิตของท่าน เข้าถึงปีติส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตาม เช่น ขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง กายสั่นหรือกายลอย มีอาการซาบซ่าน มีจิตเป็นสุข อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ปรากฏกับท่าน ขอท่านทั้งหลาย เวลาทำงานทำการก็ดี เดินไปไหน ทำกิจธุระใดๆ ก็ดี ขณะเมื่อมันเหนื่อย เวลาที่เหนื่อยรู้สึกว่าใจสั่น มันเหนื่อยหนักนั่งพัก พอนั่งพักเริ่มจับลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกทันที ทำแบบสบาย จิตจะมีความเป็นสุข แล้วก็อาการเหนื่อยจะหายโดยรวดเร็ว เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นการระงับทุกขเวทนาทางกาย นี้จุดหนึ่ง
และอีกจุดหนึ่งขณะที่เราเหนื่อยๆ สมมติว่าวันนี้ผมไปเห็นพระดายหญ้า ทำงานกันหลายอย่าง ขณะที่ท่านทำงานกันแบบนั้นถ้ามันเหนื่อย หาที่นั่งพัก ที่นั่งพักจะมีเสียงเอะอะโวยวายอะไรก็ช่าง พอนั่งพักลงมาแล้วจับลมหายใจเข้าออกทันที พอจับปั๊บ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอาการของปีติมันจะเกิดขึ้น อย่างนี้แสดงว่า จิตของท่านเข้าสมาธิได้รวดเร็ว อาการอย่างนี้ควรจะฝึกไว้เสมอๆ เพราะมันเป็นประโยชน์มาก ทำให้เราคล่องในการทรงสมาธิ เวลาที่จิตถึงฌานสมาบัติ เราสามารถจะเข้าฌานได้ตามอัธยาศัย อาการเข้าฌานนี่ ถ้าท่านที่เข้าฌานยังต้องการเวลา หมายความว่าต้องการจะรู้อะไร ต้องการจะสงบจิต เราก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่งหน่อยหนึ่งหรือนานหน่อย หลับตาภาวนาอยู่นาน แล้วฌานจึงจะเกิด อย่างนี้ต้องถือว่ายังใช้ไม่ได้ การทรงสมาธิต้องคล่อง ที่ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า
จิตเข้าถึงวสี คำว่า วสี คือการคล่องในการเข้าฌานและออกฌาน
ฉะนั้นการฝึกสมาธิของท่าน ผมจึงบอกว่า จงอย่าหาเวลาแน่นอน หมายความว่าเดินไปก็ดี ทำงานอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ตาม ถึงแม้ว่าจะดูหนังสือ จะฟังเทปก็ตาม จิตจับลมหายใจเข้าออกให้มันทรงตัว เวลาเดินบิณฑบาตกว่าจะกลับ มีโอกาสสำหรับเรามาก ขณะที่ไปบิณฑบาตก้าวไปบิณฑบาตตั้งแต่ก้าวแรก หรือก่อนจะไปจนกระทั่งกว่าจะถึงเวลากลับ จงอย่าปล่อยจิตของท่านให้ว่างจากสมาธิ ให้จิตของท่านทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา และก็จงอย่าเข้าใจผิดว่าถ้ าจิตเป็นสมาธิจะยืนแข็งโด่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น จิตเป็นสมาธิก็ใช้การกำหนดการก้าวของเท้า ก้าวเท้าซ้าย หรือก้าวเท้าขวาก็รู้อยู่ หายใจเข้าก้าวเท้าซ้าย หายใจออกก้าวเท้าขวา หรือก้าวเท้าไปรู้ด้วย รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย ถ้าจะใช้พุทธานุสสติควบก็ดี เวลาก้าวเท้าไปหนึ่งก็
พุท ก้าวไปอีกทีก็
โธ ก้าวไปอีกทีก็
พุธ ก้าวไปอีกทีก็
โธ ทำอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้ไม่ว่างจากอารมณ์ของสมาธิ
เวลาจะกลับมาฉัน วางอาหาร จะทำอะไรก็ตาม อย่าวางสมาธิ เวลาจะกินข้าวจะฉันข้าว เวลานี้เราตักข้าว เวลานี้ตักกับข้าว เวลานี้เอาข้าวเข้าปาก เวลานี้เราเคี้ยว มีความรู้สึกไปด้วย เวลานี้เราอาจจะไม่รู้ลมหายใจเข้าออก แต่รู้อาการที่ทำอย่างนี้ก็ใช้ได้ เป็นการทรงอารมณ์สมาธิ หรือว่าเวลาที่กำลังฉันข้าว เรารู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย จะช่วยให้เกิดสมาธิได้ง่าย และก็เป็นการทรงฌานได้ดี
ในการที่จะเจริญพระกรรมฐานให้ดีน่ะ เขาจะไม่ยอมให้เวลาว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานอนก่อนจะหลับ ให้จับอานาปานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว ท่านจะหลับง่าย และให้หลับไปกับอานาปานุสสติกรรมฐาน เวลาหลับจะมีความสุข ขณะที่หลับจะถือว่าเป็นผู้ทรงฌานอยู่ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกจนหลับ ขณะที่จะหลับจิตจะต้องเข้าถึงปฐมฌานหรือฌานสูงกว่านั้นจึงจะหลับ และแม้ขณะที่หลับอยู่ก็ถือว่าหลับอยู่ในฌาน ถ้าตายระหว่างนั้นท่านเป็นพรหม
เวลาที่ตื่นมาใหม่ๆ ท่านจะลุกจากที่นอนก็ตาม หรือไม่ลุกก็ได้ จะนอนอยู่อย่างนั้น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก หรือว่าอยากจะนั่งก็ได้ แต่ระวังให้ดี การลุกขึ้นมานั่งต้องคุมสติสัมปชัญญะให้ดี เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้วต้องจับลมหายใจเข้าออกทันทีเพื่อทรงสมาธิจิตให้ทรงตัว ตอนเช้ามืดพยายามทำให้สงบสงัดให้มากที่สุด เป็นการรวบรวมกำลังใจสูงสุด เพื่อประโยชน์แก่การบิณฑบาต
เมื่อเวลาไปบิณฑบาตอย่าคุยกัน แล้วเวลาเดินไปบิณฑบาตเว้นระยะห่างกันพอคนลอดได้ สำหรับพระองค์หน้า เคยเดินไปยืนตรงไหนยืนตรงนั้น เวลาเขาใส่บาตร ถ้าองค์ท้ายยังรับบาตรไม่เสร็จ องค์หน้าอย่าพึ่งก้าวไป มิฉะนั้นจะทำให้องค์ท้ายลำบาก ต้องเดินตามเร็วเดี๋ยวก็เหนื่อย มันเป็นการดูไม่งามสำหรับชาวบ้าน
เรื่องนี้ก็เป็นสติสัมปชัญญะหรือก็เป็นสมาธิเหมือนกัน ที่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ไว้และจำเข้าไว้ เพื่อความดีของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย จิตทรงสมาธิไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน แล้วก็ตอนเช้ามืด และเวลาที่เดินไปบิณฑบาต ถ้าจิตของท่านทั้งหลายทรงสมาธิอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสว่า “คนที่เขาใส่บาตรท่านเขาจะมีบุญมาก” ได้บุญมาก มีความสุขในปัจจุบัน ดีกว่าท่านที่ปล่อยให้ใจลอย จิตน้อมไปในกามารมณ์หรือโลกีย์วิสัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะจิตน้อมไปในโลกีย์เป็นจิตที่เต็มไปด้วยความสกปรก เมื่อจิตของเราสกปรกท่านผู้ให้ก็ได้ของสกปรกไป ถ้าจิตของเราทรงสมาธิเข้าไว้ แสดงว่าจิตของเราสะอาดจากบาปอกุศล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่สงเคราะห์ก็ได้ดี
เอาล่ะบรรดาท่านทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว สำหรับวันนี้ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ต่อแต่นี้ต่อไป ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นการสมควร สำหรับเวลาเลิกนี่ผมไม่ได้ตั้งใจให้ท่าน ให้ท่านปฎิบัติตามสบาย จะนั่งปฎิบัติก็ได้ จะนอนก็ได้ จะยินก็ได้ จะเดินแบบจงกรมก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่อยู่เวรอยู่ยามรักษาของสงฆ์ เวลาท่านเดินไปเดินมา ใช้เท้าของท่านเป็นเครื่องกำหนด ควบคู่กับลมหายใจเข้าออก จะถือว่าเป็นการจงกลมอยู่ กรรมฐานกองใดที่ทรงไว้ได้ในขณะเดินจงกลม กรรมฐานกองนั้นจะไม่เสื่อมตลอดชีวิต
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 3.2
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 3.2
อุปจารสมาธิขั้นกลางก็ได้แก่กายสั่นเทิ้ม คล้ายๆกับปลุกพระ หรือว่ามีร่างกายลอยขึ้น มีอาการซาบซ่าซู่ซ่า ตัวเบา ร่างกายใหญ่ หน้าตาโต มีจิตสบาย อย่างนี้เรียกว่า อุปจารสมาธิขั้นกลาง ถ้ามีถึงขั้นอารมณ์ใจเป็นสุข บอกไม่ถูก นี่เป็น อุปจารสมาธิขั้นสูงสุด จะเป็นอุปจารสมาธิอันดับใดก็ตาม ในขณะนี้จะมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น นั่นก็คือบางครั้ง เราจะเห็นแสงหรือสีต่างๆ ปรากฏ บางครั้งก็เห็น สีเขียว สีขาว สีแดง สีเหลือง บางครั้งก็มีอาการคล้ายๆ ใครเขาฉายไฟเข้ามาที่หน้า บางคราวจะรู้สึกว่ามีแสงสว่างทั่วไปทั้งวรกาย มีทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทราบว่า นั่นเป็นนิมิตของอานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ว่าบางทีก็อาจจะมีภาพคน ภาพอาคารสถานที่ หรือภาพอะไรก็ตามเกิดขึ้น แต่อาการอย่างนี้จะเกิดขึ้นชั่วขณะเดียวแล้วก็หายไป
มาในตอนนี้ขอท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า จงอย่าสนใจกับแสงสีใดๆ ทั้งหมด อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราเจริญกรรมฐานต้องการอารมณ์จิตเป็นสุข ต้องการอารมณ์เป็นสมาธิ คือจับอารมณ์เดิมเข้าไว้ แต่ทว่าเรื่องภาพแสงสีนี่ ก็รู้สึกว่าเป็นที่น่าหนักใจอยู่นิดหนึ่ง ด้วยว่าเป็นของแปลก เป็นของใหม่สำหรับผู้ปฏิบัติ เมื่อเห็นภาพเข้าอดจะตกใจไม่ได้ พอเอาจิตไปจับภาพและแสงสีนั้น จิตก็เคลื่อน ภาพก็หาย ฉะนั้นการเห็นภาพหรือแสงสีในอันดับนี้ ตามเกณฑ์แห่งการปฏิบัติท่านยังไม่ถือว่าเป็นของดี
แต่ก็มีหลายท่าน อาจจะเป็นหลายสำนักก็ได้ เพราะมีลูกศิษย์ลูกหาของบรรดาท่านทั้งหลายเคยมาถามเสมอๆ ว่าขอท่านได้โปรดพิจารณากรรมฐานที่ฉันได้ ว่ามันเสื่อมไปแล้วหรือยัง ก็ได้ถามว่า ทำไมจึงถามอย่างนั้น ท่านบอกว่า ขณะที่ท่านเจริญกับอาจารย์ของท่าน อาจารย์ของท่านบอกว่าจบกิจในการปฏิบัติแล้ว ได้ถามว่าการจบกิจในการปฏิบัติ มีอะไรเกิดขึ้นกับใจ ท่านก็บอกว่าเห็นภาพแสงสีต่างๆ เห็นเหมือนภาพคนบ้าง แสงสว่างบ้าง สีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง อย่างนี้อาจารย์บอกว่าจบแล้ว กรรมฐานมีเท่านี้
นี่ท่านทั้งหลายผมเสียดายความดีของท่านผู้ปฏิบัติ ความจริงภาพแสงสีต่างๆ ที่เห็น บางคนก็เข้าใจว่า อาการอย่างนั้นเป็นเรื่องของทิพพจักขุญาณ ถ้าความรู้สึกมีอย่างนี้ก็น่าเสียดายอีก เพราะภาพที่ปรากฎ แสงสีที่ปรากฎ ไม่ใช่ทิพจักขุญาณ เป็นเรื่องของอารมณ์จิตที่เข้าถึงอุปจารสมาธิ จิตมีสภาพเป็นทิพย์เล็กน้อยเท่านั้น ยังใช้อะไรไม่ได้ ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงอย่าสนใจกับภาพและแสงสีต่างๆ ถ้าหากว่าอาการอย่างนี้ปรากฏ จงทำความรู้สึกว่า เรายังดีไม่พอ อารมณ์จิตของเรายังเข้าไม่ถึงปฐมฌาน ขอท่านทั้งหลายโปรดจำ
และอีกประการหนึ่ง เท่าที่พูดมา ถ้าหากว่าอาการของจิตของท่าน เข้าถึงปีติส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตาม เช่น ขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง กายสั่นหรือกายลอย มีอาการซาบซ่าน มีจิตเป็นสุข อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ปรากฏกับท่าน ขอท่านทั้งหลาย เวลาทำงานทำการก็ดี เดินไปไหน ทำกิจธุระใดๆ ก็ดี ขณะเมื่อมันเหนื่อย เวลาที่เหนื่อยรู้สึกว่าใจสั่น มันเหนื่อยหนักนั่งพัก พอนั่งพักเริ่มจับลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกทันที ทำแบบสบาย จิตจะมีความเป็นสุข แล้วก็อาการเหนื่อยจะหายโดยรวดเร็ว เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นการระงับทุกขเวทนาทางกาย นี้จุดหนึ่ง
และอีกจุดหนึ่งขณะที่เราเหนื่อยๆ สมมติว่าวันนี้ผมไปเห็นพระดายหญ้า ทำงานกันหลายอย่าง ขณะที่ท่านทำงานกันแบบนั้นถ้ามันเหนื่อย หาที่นั่งพัก ที่นั่งพักจะมีเสียงเอะอะโวยวายอะไรก็ช่าง พอนั่งพักลงมาแล้วจับลมหายใจเข้าออกทันที พอจับปั๊บ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอาการของปีติมันจะเกิดขึ้น อย่างนี้แสดงว่า จิตของท่านเข้าสมาธิได้รวดเร็ว อาการอย่างนี้ควรจะฝึกไว้เสมอๆ เพราะมันเป็นประโยชน์มาก ทำให้เราคล่องในการทรงสมาธิ เวลาที่จิตถึงฌานสมาบัติ เราสามารถจะเข้าฌานได้ตามอัธยาศัย อาการเข้าฌานนี่ ถ้าท่านที่เข้าฌานยังต้องการเวลา หมายความว่าต้องการจะรู้อะไร ต้องการจะสงบจิต เราก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่งหน่อยหนึ่งหรือนานหน่อย หลับตาภาวนาอยู่นาน แล้วฌานจึงจะเกิด อย่างนี้ต้องถือว่ายังใช้ไม่ได้ การทรงสมาธิต้องคล่อง ที่ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า จิตเข้าถึงวสี คำว่า วสี คือการคล่องในการเข้าฌานและออกฌาน
ฉะนั้นการฝึกสมาธิของท่าน ผมจึงบอกว่า จงอย่าหาเวลาแน่นอน หมายความว่าเดินไปก็ดี ทำงานอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ตาม ถึงแม้ว่าจะดูหนังสือ จะฟังเทปก็ตาม จิตจับลมหายใจเข้าออกให้มันทรงตัว เวลาเดินบิณฑบาตกว่าจะกลับ มีโอกาสสำหรับเรามาก ขณะที่ไปบิณฑบาตก้าวไปบิณฑบาตตั้งแต่ก้าวแรก หรือก่อนจะไปจนกระทั่งกว่าจะถึงเวลากลับ จงอย่าปล่อยจิตของท่านให้ว่างจากสมาธิ ให้จิตของท่านทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา และก็จงอย่าเข้าใจผิดว่าถ้ าจิตเป็นสมาธิจะยืนแข็งโด่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น จิตเป็นสมาธิก็ใช้การกำหนดการก้าวของเท้า ก้าวเท้าซ้าย หรือก้าวเท้าขวาก็รู้อยู่ หายใจเข้าก้าวเท้าซ้าย หายใจออกก้าวเท้าขวา หรือก้าวเท้าไปรู้ด้วย รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย ถ้าจะใช้พุทธานุสสติควบก็ดี เวลาก้าวเท้าไปหนึ่งก็พุท ก้าวไปอีกทีก็ โธ ก้าวไปอีกทีก็ พุธ ก้าวไปอีกทีก็ โธ ทำอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้ไม่ว่างจากอารมณ์ของสมาธิ
เวลาจะกลับมาฉัน วางอาหาร จะทำอะไรก็ตาม อย่าวางสมาธิ เวลาจะกินข้าวจะฉันข้าว เวลานี้เราตักข้าว เวลานี้ตักกับข้าว เวลานี้เอาข้าวเข้าปาก เวลานี้เราเคี้ยว มีความรู้สึกไปด้วย เวลานี้เราอาจจะไม่รู้ลมหายใจเข้าออก แต่รู้อาการที่ทำอย่างนี้ก็ใช้ได้ เป็นการทรงอารมณ์สมาธิ หรือว่าเวลาที่กำลังฉันข้าว เรารู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย จะช่วยให้เกิดสมาธิได้ง่าย และก็เป็นการทรงฌานได้ดี
ในการที่จะเจริญพระกรรมฐานให้ดีน่ะ เขาจะไม่ยอมให้เวลาว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานอนก่อนจะหลับ ให้จับอานาปานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว ท่านจะหลับง่าย และให้หลับไปกับอานาปานุสสติกรรมฐาน เวลาหลับจะมีความสุข ขณะที่หลับจะถือว่าเป็นผู้ทรงฌานอยู่ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกจนหลับ ขณะที่จะหลับจิตจะต้องเข้าถึงปฐมฌานหรือฌานสูงกว่านั้นจึงจะหลับ และแม้ขณะที่หลับอยู่ก็ถือว่าหลับอยู่ในฌาน ถ้าตายระหว่างนั้นท่านเป็นพรหม
เวลาที่ตื่นมาใหม่ๆ ท่านจะลุกจากที่นอนก็ตาม หรือไม่ลุกก็ได้ จะนอนอยู่อย่างนั้น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก หรือว่าอยากจะนั่งก็ได้ แต่ระวังให้ดี การลุกขึ้นมานั่งต้องคุมสติสัมปชัญญะให้ดี เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้วต้องจับลมหายใจเข้าออกทันทีเพื่อทรงสมาธิจิตให้ทรงตัว ตอนเช้ามืดพยายามทำให้สงบสงัดให้มากที่สุด เป็นการรวบรวมกำลังใจสูงสุด เพื่อประโยชน์แก่การบิณฑบาต
เมื่อเวลาไปบิณฑบาตอย่าคุยกัน แล้วเวลาเดินไปบิณฑบาตเว้นระยะห่างกันพอคนลอดได้ สำหรับพระองค์หน้า เคยเดินไปยืนตรงไหนยืนตรงนั้น เวลาเขาใส่บาตร ถ้าองค์ท้ายยังรับบาตรไม่เสร็จ องค์หน้าอย่าพึ่งก้าวไป มิฉะนั้นจะทำให้องค์ท้ายลำบาก ต้องเดินตามเร็วเดี๋ยวก็เหนื่อย มันเป็นการดูไม่งามสำหรับชาวบ้าน
เรื่องนี้ก็เป็นสติสัมปชัญญะหรือก็เป็นสมาธิเหมือนกัน ที่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ไว้และจำเข้าไว้ เพื่อความดีของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย จิตทรงสมาธิไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน แล้วก็ตอนเช้ามืด และเวลาที่เดินไปบิณฑบาต ถ้าจิตของท่านทั้งหลายทรงสมาธิอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสว่า “คนที่เขาใส่บาตรท่านเขาจะมีบุญมาก” ได้บุญมาก มีความสุขในปัจจุบัน ดีกว่าท่านที่ปล่อยให้ใจลอย จิตน้อมไปในกามารมณ์หรือโลกีย์วิสัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะจิตน้อมไปในโลกีย์เป็นจิตที่เต็มไปด้วยความสกปรก เมื่อจิตของเราสกปรกท่านผู้ให้ก็ได้ของสกปรกไป ถ้าจิตของเราทรงสมาธิเข้าไว้ แสดงว่าจิตของเราสะอาดจากบาปอกุศล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่สงเคราะห์ก็ได้ดี
เอาล่ะบรรดาท่านทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว สำหรับวันนี้ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ต่อแต่นี้ต่อไป ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นการสมควร สำหรับเวลาเลิกนี่ผมไม่ได้ตั้งใจให้ท่าน ให้ท่านปฎิบัติตามสบาย จะนั่งปฎิบัติก็ได้ จะนอนก็ได้ จะยินก็ได้ จะเดินแบบจงกรมก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่อยู่เวรอยู่ยามรักษาของสงฆ์ เวลาท่านเดินไปเดินมา ใช้เท้าของท่านเป็นเครื่องกำหนด ควบคู่กับลมหายใจเข้าออก จะถือว่าเป็นการจงกลมอยู่ กรรมฐานกองใดที่ทรงไว้ได้ในขณะเดินจงกลม กรรมฐานกองนั้นจะไม่เสื่อมตลอดชีวิต