จุดนิโรธสัจจะ ช่องทางเข้าสู่จิตเดิมแท้
อาการรู้สึก “ชีพจรเต้นตุ๊บๆๆ” หรือ “การเต้นเป็นจังหวะ” ที่กึ่งกลางหว่างคิ้วขณะเพ่งจิตนั้น เป็นสภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ที่ฝึกสมาธิ ตรงหว่างคิ้วคือจุด “อาชญะจักระ” หรือที่เรียกกันว่า “ตาที่สาม”
โดยเฉพาะผู้ที่ใช้จุดกึ่งกลางหว่างคิ้วเป็นจุดรวมของจิตหรือ “จุดนิโรธสัจจะ” ซึ่งครูบาอาจารย์ในสายกรรมฐานกล่าวถึงจุดนี้ว่าเป็น “ประตูสู่ภายใน” หรือ “ทางเข้าสู่จิตรู้” หรือ “ช่องทางเข้าสู่จิตเดิมแท้” เป็นจุดที่จิตสามารถ “รวมลง” ได้ง่าย และเข้าไปสู่ความว่างภายใน
จุดนิโรธสัจจะ แม้โดยหลักธรรมแล้วเป็น สภาวะของจิต มิใช่สิ่งที่จับต้องได้ในกายหยาบโดยตรง แต่ในการปฏิบัติกรรมฐานตามคำสอนของครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ได้กล่าวถึง “ตำแหน่งในกาย” ที่ใช้เป็น “จุดเพ่ง” หรือ “ประตูภายใน” เพื่อให้จิตรวมและเข้าสู่ความสงบจนสามารถสัมผัส นิโรธ ได้
จุดนิโรธสัจจะ คือ จุดที่จิตสามารถเข้าถึงความดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง หรือเป็น “ประตูภายใน” ที่นำเข้าสู่สภาวะนิพพานชั่วคราวระหว่างทำสมาธิหรือถาวรของพระอรหันต์ขึ้นอยู่กับระดับจิตของผู้ปฏิบัติ
ความหมายในทางธรรม
“นิโรธ” แปลว่า ความดับ
“สัจจะ” แปลว่า ความจริง
นิโรธสัจจะ คือ ความจริงอันประเสริฐข้อที่สาม ในอริยสัจ 4
ซึ่งคือ “ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” หรือ “ภาวะที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัณหา”
อาการ ตุ๊บ ๆ คล้ายชีพจรนั้น หรือแรงสั่นสะเทือนแสดงว่าจิตเริ่มสงบ พลังจิตที่เริ่มมารวมตัวกันและรวมพลังจิตตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า อุปจารสมาธิ หรือ ฌานต้นระดับฌาน 1 และ 2 และมากระทบกับศูนย์พลังงานนี้
กระแสพลังงานจิต บางครั้งการเพ่งจุดศูนย์กลางที่ละเอียด เช่น ระหว่างคิ้ว อาจกระตุ้น “จักระ” หรือ “ปมประสาท” ตามแนวพลังงานของกายละเอียด ทำให้รู้สึกเต้นตุ๊บๆ เหมือนชีพจรอยู่ตรงนั้น
หมายถึง จิตเริ่มหยุดคิดแล้วรวมตัวที่ฐานใดฐานหนึ่ง ในที่นี้คือตรงหว่างคิ้วอาการหน่วงหรือเต้นเป็นสัญญาณว่า จิตเริ่มวางโลกภายนอก และกำลังเข้าสู่โลกภายใน
หากเพ่งแรงเกินไป จิตจะเกิดความเกร็ง → ทำให้เกิดอาการหน่วงหรือปวดหัวได้แต่ถ้า “รู้ทันอาการ” โดยไม่เข้าไปยึด จิตจะ “คลายตัว” และค่อย ๆ ซึมลึกลงเป็นสมาธิแท้จริง
หลวงปู่ดูลย์กล่าวไว้ว่า
“อย่าไปเพ่งที่อาการ ให้รู้ตัวที่กำลังเพ่ง ให้รู้ว่ากำลังดู แล้วให้จิตดูจิตไปอีกทีหนึ่ง”
ไม่ต้องตกใจหรือไปปรุงแต่งความรู้สึกนั้น แค่รู้เฉยๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แล้วกลับมารู้ลมหายใจหรือคำบริกรรมของเรา เช่น “พุท-โธ” อย่างต่อเนื่อง
ไม่เพ่งจนเกร็งหรือเกิดอาการปวดหัว หากรู้สึกตึงหรือแน่น ควรถอยการเพ่งออกเล็กน้อย ให้จิตรับรู้โดยไม่บังคับ
เฝ้าดูด้วยจิตเป็นกลาง ไม่ต้องตั้งคำถามบ่อย ให้ฝึกความเป็น “ผู้รู้” เฝ้าดูอาการนั้นโดยไม่ดึงอาการไว้ หรือกลัวว่ามันจะหาย
หากเข้าสู่ความว่าง หรือจิตไหลเข้าไปลึก ให้รู้เฉยๆ ว่า จิตกำลังเข้าสู่สมาธิระดับลึกขึ้น
หากมีแสง ความว่าง หรือจิตไหลเข้าสู่ภายใน ไม่ต้องดึง ไม่ต้องกลัว ปล่อยให้จิตไหลไปโดยรู้ตัว
จิตอาจไหลเข้าสู่ “เอกัคคตารมณ์” อารมณ์เดียวแน่วแน่ ให้อยู่กับความสงบนั้นเรื่อย ๆ จนจิตซึมลึกหรือรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตน เหลือแต่ “รู้เฉย ๆ” เป็นอาการของ ฌาน 4
หลวงปู่มั่นเคยกล่าวว่า:
“เมื่อจิตถึงฐานแล้ว ให้อยู่กับฐานนั้น จนเห็นจิตเหมือนน้ำมันในถ้วย ไม่ไหล ไม่กระเพื่อม”
เป้าหมายของสมาธิ คือ ใช้จิตที่มีกำลัง มาสังเกต “ความเปลี่ยนแปลง” หรือ “สังขารที่ปรุงแต่ง” อย่างต่อเนื่อง
จากจุดที่จิตรู้กลางหว่างคิ้ว ให้เปลี่ยนเป็น “รู้ความรู้สึกของจิต” เช่น เมื่อจิตไหลไปคิด → รู้ / ฟุ้ง → รู้ / สงบ → รู้
พิจารณาว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิด-ดับ” เช่น อาการชีพจรเต้น → มีแล้วดับ, ความนิ่ง → มาแล้วไป
หากจิตดึงกลับมาเพ่งหรือสงบอีก → ก็รู้ทันว่านี่คือ “ธรรมชาติของจิตที่เป็นไตรลักษณ์”
แนวหลวงปู่ดูลย์:
“ให้ดูผู้รู้ที่รู้สภาวะนั้นอีกทีหนึ่ง อย่าหลงสภาวะ ดูการเปลี่ยนแปลง ดูจิตไหว ดูกายเคลื่อน ดูจิตที่คิด… ให้รู้ด้วยใจ ไม่ต้องเพ่ง แค่รู้”
เมื่อจิตเข้าถึง “จุดนิโรธสัจจะ”
จิตจะวางอารมณ์ทุกอย่าง ไม่ไป ไม่มา ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มี “ผู้คิด ผู้เพ่ง ผู้ดู” เหลือแต่ “ธรรมชาติล้วน ๆ” ที่รู้ความจริงของทุกข์
จิตจะรู้ว่า ทุกข์ที่แท้จริงคือ “ความยึด” และความดับทุกข์คือ “ความไม่ยึดอะไรเลย”
หลวงปู่มั่น กล่าวว่า
”ถ้าจิตไม่เข้าใจ ‘นิโรธ’ อย่างแท้จริง ก็ยังออกจากภพไม่ได้…จิตต้องรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อไม่มี ‘เรา’ ทุกข์มันไม่มีอยู่ตรงไหนเลย”
จุดนิโรธสัจจะ ช่องทางเข้าสู่จิตเดิมแท้
อาการรู้สึก “ชีพจรเต้นตุ๊บๆๆ” หรือ “การเต้นเป็นจังหวะ” ที่กึ่งกลางหว่างคิ้วขณะเพ่งจิตนั้น เป็นสภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ที่ฝึกสมาธิ ตรงหว่างคิ้วคือจุด “อาชญะจักระ” หรือที่เรียกกันว่า “ตาที่สาม”
โดยเฉพาะผู้ที่ใช้จุดกึ่งกลางหว่างคิ้วเป็นจุดรวมของจิตหรือ “จุดนิโรธสัจจะ” ซึ่งครูบาอาจารย์ในสายกรรมฐานกล่าวถึงจุดนี้ว่าเป็น “ประตูสู่ภายใน” หรือ “ทางเข้าสู่จิตรู้” หรือ “ช่องทางเข้าสู่จิตเดิมแท้” เป็นจุดที่จิตสามารถ “รวมลง” ได้ง่าย และเข้าไปสู่ความว่างภายใน
จุดนิโรธสัจจะ แม้โดยหลักธรรมแล้วเป็น สภาวะของจิต มิใช่สิ่งที่จับต้องได้ในกายหยาบโดยตรง แต่ในการปฏิบัติกรรมฐานตามคำสอนของครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ได้กล่าวถึง “ตำแหน่งในกาย” ที่ใช้เป็น “จุดเพ่ง” หรือ “ประตูภายใน” เพื่อให้จิตรวมและเข้าสู่ความสงบจนสามารถสัมผัส นิโรธ ได้
จุดนิโรธสัจจะ คือ จุดที่จิตสามารถเข้าถึงความดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง หรือเป็น “ประตูภายใน” ที่นำเข้าสู่สภาวะนิพพานชั่วคราวระหว่างทำสมาธิหรือถาวรของพระอรหันต์ขึ้นอยู่กับระดับจิตของผู้ปฏิบัติ
ความหมายในทางธรรม
“นิโรธ” แปลว่า ความดับ
“สัจจะ” แปลว่า ความจริง
นิโรธสัจจะ คือ ความจริงอันประเสริฐข้อที่สาม ในอริยสัจ 4
ซึ่งคือ “ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์” หรือ “ภาวะที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัณหา”
อาการ ตุ๊บ ๆ คล้ายชีพจรนั้น หรือแรงสั่นสะเทือนแสดงว่าจิตเริ่มสงบ พลังจิตที่เริ่มมารวมตัวกันและรวมพลังจิตตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า อุปจารสมาธิ หรือ ฌานต้นระดับฌาน 1 และ 2 และมากระทบกับศูนย์พลังงานนี้
กระแสพลังงานจิต บางครั้งการเพ่งจุดศูนย์กลางที่ละเอียด เช่น ระหว่างคิ้ว อาจกระตุ้น “จักระ” หรือ “ปมประสาท” ตามแนวพลังงานของกายละเอียด ทำให้รู้สึกเต้นตุ๊บๆ เหมือนชีพจรอยู่ตรงนั้น
หมายถึง จิตเริ่มหยุดคิดแล้วรวมตัวที่ฐานใดฐานหนึ่ง ในที่นี้คือตรงหว่างคิ้วอาการหน่วงหรือเต้นเป็นสัญญาณว่า จิตเริ่มวางโลกภายนอก และกำลังเข้าสู่โลกภายใน
หากเพ่งแรงเกินไป จิตจะเกิดความเกร็ง → ทำให้เกิดอาการหน่วงหรือปวดหัวได้แต่ถ้า “รู้ทันอาการ” โดยไม่เข้าไปยึด จิตจะ “คลายตัว” และค่อย ๆ ซึมลึกลงเป็นสมาธิแท้จริง
หลวงปู่ดูลย์กล่าวไว้ว่า
“อย่าไปเพ่งที่อาการ ให้รู้ตัวที่กำลังเพ่ง ให้รู้ว่ากำลังดู แล้วให้จิตดูจิตไปอีกทีหนึ่ง”
ไม่ต้องตกใจหรือไปปรุงแต่งความรู้สึกนั้น แค่รู้เฉยๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แล้วกลับมารู้ลมหายใจหรือคำบริกรรมของเรา เช่น “พุท-โธ” อย่างต่อเนื่อง
ไม่เพ่งจนเกร็งหรือเกิดอาการปวดหัว หากรู้สึกตึงหรือแน่น ควรถอยการเพ่งออกเล็กน้อย ให้จิตรับรู้โดยไม่บังคับ
เฝ้าดูด้วยจิตเป็นกลาง ไม่ต้องตั้งคำถามบ่อย ให้ฝึกความเป็น “ผู้รู้” เฝ้าดูอาการนั้นโดยไม่ดึงอาการไว้ หรือกลัวว่ามันจะหาย
หากเข้าสู่ความว่าง หรือจิตไหลเข้าไปลึก ให้รู้เฉยๆ ว่า จิตกำลังเข้าสู่สมาธิระดับลึกขึ้น
หากมีแสง ความว่าง หรือจิตไหลเข้าสู่ภายใน ไม่ต้องดึง ไม่ต้องกลัว ปล่อยให้จิตไหลไปโดยรู้ตัว
จิตอาจไหลเข้าสู่ “เอกัคคตารมณ์” อารมณ์เดียวแน่วแน่ ให้อยู่กับความสงบนั้นเรื่อย ๆ จนจิตซึมลึกหรือรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตน เหลือแต่ “รู้เฉย ๆ” เป็นอาการของ ฌาน 4
หลวงปู่มั่นเคยกล่าวว่า:
“เมื่อจิตถึงฐานแล้ว ให้อยู่กับฐานนั้น จนเห็นจิตเหมือนน้ำมันในถ้วย ไม่ไหล ไม่กระเพื่อม”
เป้าหมายของสมาธิ คือ ใช้จิตที่มีกำลัง มาสังเกต “ความเปลี่ยนแปลง” หรือ “สังขารที่ปรุงแต่ง” อย่างต่อเนื่อง
จากจุดที่จิตรู้กลางหว่างคิ้ว ให้เปลี่ยนเป็น “รู้ความรู้สึกของจิต” เช่น เมื่อจิตไหลไปคิด → รู้ / ฟุ้ง → รู้ / สงบ → รู้
พิจารณาว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิด-ดับ” เช่น อาการชีพจรเต้น → มีแล้วดับ, ความนิ่ง → มาแล้วไป
หากจิตดึงกลับมาเพ่งหรือสงบอีก → ก็รู้ทันว่านี่คือ “ธรรมชาติของจิตที่เป็นไตรลักษณ์”
แนวหลวงปู่ดูลย์:
“ให้ดูผู้รู้ที่รู้สภาวะนั้นอีกทีหนึ่ง อย่าหลงสภาวะ ดูการเปลี่ยนแปลง ดูจิตไหว ดูกายเคลื่อน ดูจิตที่คิด… ให้รู้ด้วยใจ ไม่ต้องเพ่ง แค่รู้”
เมื่อจิตเข้าถึง “จุดนิโรธสัจจะ”
จิตจะวางอารมณ์ทุกอย่าง ไม่ไป ไม่มา ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มี “ผู้คิด ผู้เพ่ง ผู้ดู” เหลือแต่ “ธรรมชาติล้วน ๆ” ที่รู้ความจริงของทุกข์
จิตจะรู้ว่า ทุกข์ที่แท้จริงคือ “ความยึด” และความดับทุกข์คือ “ความไม่ยึดอะไรเลย”
หลวงปู่มั่น กล่าวว่า
”ถ้าจิตไม่เข้าใจ ‘นิโรธ’ อย่างแท้จริง ก็ยังออกจากภพไม่ได้…จิตต้องรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อไม่มี ‘เรา’ ทุกข์มันไม่มีอยู่ตรงไหนเลย”