องค์กรสิทธิเรียกร้องรัฐบาลไทยปล่อยตัว ‘ทนายอานนท์’ ทันทีและหยุดใช้ม.112 คุกคามสิทธิ
https://prachatai.com/journal/2023/09/106100
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิออกข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัว “ทนายอานนท์” และนักป้องสิทธิคนอื่นๆ รวมถึงนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข หลังเกิดการใช้มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
27 ก.ย.2566
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (The Observatory for the Protection of Human Rights Defenders) ได้เรียกร้องถึงรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัว
อานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากเมื่อวานนี้อานนท์ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ด้วยข้อหามาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563 และให้ปรับเงินอีก 20,000 บาทตามข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยไม่รอลงอาญา และยังอยู่ระหว่างรอศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่
ทั้งนี้กลุ่มสังเกตการณ์ฯ เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง สหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) และองค์กรต่อต้านการทรมานโลก (OMCT) เพื่อติดตามปกป้องผู้ที่ทำงานในการปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกคุกคามและละเมิดสิทธิมนุษยชน
กลุ่มสังเกตการณ์ฯ ได้ย้อนถึงสถานการณ์ที่อานนท์กำลังเผชิญในขณะนี้ว่าคดีที่ศาลเพิ่งตัดสินไปนั้นเป็นเพียงคดีแรกที่อานนท์ถูกฟ้องด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์จากทั้งหมด 14 คดี และเป็นคดีที่ทำให้เขาถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีและต้องยื่นประกันตัวถึง 7 ครั้งศาลถึงจะอนุญาตให้ประกัน และก่อนหน้านั้นเขาก็เคยถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีในคดีมาตา 112 คดีอื่นนานถึง 113 วัน
ทั้งนี้สถานการณ์คดีมาตรา 112 ที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2563 จนถึง 22 ก.ย.2566 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหานี้แล้ว 257 คน ในจำนวนนี้เป็นเยาวชนถึง 17 คนและมีประชาชน 8 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด
“กลุ่มสังเกตการณ์ฯ ขอประณามอย่างรุนแรงทั้งต่อการลงโทษและการพิพากษาที่ตามมาด้วยการคุมขังอานนท์ นำภาโดยพลการ และการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคามอานนท์ นำภาที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงเป้าหมายเดียวคือการลงโทษอานนท์ที่ทำกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนโดยชอบด้วยกฎหมายและยังเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบด้วย”
ทั้งนี้กลุ่มสังเกตการณ์ฯ ได้เรียกร้องต่อทางการไทยให้ปล่อยตัวอานนท์โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขรวมไปถึงนักปกป้องสิทธิคนอื่นๆ ที่กำลังถูกคุมขังโดยพลการในประเทศและจะต้องยุติการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคามเพื่อคุกคามนักปกป้องสิทธิเหล่านี้ด้วย
นอกจากนั้นทางกลุ่มสังเกตการณ์ฯ ยังได้ขอความร่วมมือให้มีการส่งจดหมายพร้อมระบุข้อเรียกร้องไปถึงรัฐบาลไทยโดยมีข้อเรียกร้องดังนี้
• รัฐบาลไทยต้องรับประกันด้านสวัสดิภาพร่างกายและจิตใจของอานนท์และนักป้องสิทธิมนุษยชนรวมถึงนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทย
• ปล่อยตัวพวกเขาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขจากการถูกคุมขังโดยพลการที่เสมือนว่ามีเป้าหมายเพื่อการลงโทษจากการที่พวกเขาทำกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนที่ชอบด้วยกฎหมาย
• ยุติทุกการกระทำที่เป็นการคุกคามรวมไปถึงการใช้กระบวนการทางกฎหมายต่ออานนท์และนักป้องสิทธิมนุษยชนรวมถึงนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทย และรับรองว่าพวกเขาจะสามารถทำกิจกรรมได้โดยไม่ถูกขัดขวางหรือหวาดกลัวต่อการถูกตอบโต้
• รับประกันว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบจะได้รับการปกป้องตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 19 และ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
• งดเว้นการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเป้าหมายที่เป็นนักปกป้องสิทธิและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย
ทั้งนี้กลุ่มสังเกตการณ์ได้ระบุว่าให้มีการส่งข้อเรียกร้องดังกล่าวไปถึงบุคคลต่างๆ ในรัฐบาลทั้ง
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี,
ปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีการกระทรวงการต่างประเทศ,
ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
, พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
, ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
, พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ,
สุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ และ
เสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป
“รังสิมันต์” เตรียมตั้งกระทู้ถามนายกฯปัญหาองค์กรตำรวจ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_619750/
สภา เตรียมพิจารณากระทู้ถามรัฐบาล “โรม” จี้นายกฯตอบปัญหาในองค์กรตำรวจ “ศาสตรา”ถามความคืบหน้า โครงการรถไฟรางคู่สายใต้
นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งนัดสมาชิกประชุมในเวลา 09.00 น. โดยภายหลังให้สมาชิกปรึกษาหารือถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และเข้าสู่การพิจารณากระทู้ถาม โดยเริ่มจากกระทู้ถามสดด้วยวาจา วันนี้ นาย
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เตรียมตั้งกระทู้ถามถึงนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องปัญหาในองค์กรตำรวจ และการแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แต่นายกรัฐมนตรี มีภารกิจต้องเดินทางไปกัมพูชา ต้องจับตาว่า จะส่งรัฐมนตรีคนใดมาตอบกระทู้แทน จากนั้น พิจารณากระทู้ถามทั่วไป 4 เรื่อง คือ
1.กระทู้ถามเรื่องขอให้พิจารณาแก้ไขความเดือดร้อนจากศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยอ่อนนุช เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร (นาย
ณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ สส.พรรคก้าวไกล เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี)
2.กระทู้ถามเรื่องความคืบหน้าการดำเนินการ โครงการรถไฟรางคู่สายใต้ ล่าช้า (นาย
ศาสตรา ศรีปาน สส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ตั้งกระทู้ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม)
3.กระทู้ถามเรื่องความเดือดร้อนเกี่ยวกับปัญหาการใช้น้ำประปาส่วนภูมิภาค (นาย
ชวาล พลเมืองดี สส.พรรคก้าวไกล เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย)
และ 4.กระทู้ถามเรื่องปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดแอมเฟตามีน (นาย
ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ สส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี)
นอกจากนี้ ยังพิจารณากระทู้ถามแยกเฉพาะ อีก 6 เรื่อง อาทิ กระทู้ถามเรื่องค่าปรับกรณีการดำเนินการโครงการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดรัชดา – ราชพฤกษ์ ล่าช้า กระทู้ถามเรื่องขอให้อนุมัติเงินค้างจ่ายให้แก่หน่วยงานกู้ภัย กระทู้ถามเรื่อง ปัญหาภัยแล้งในจังหวัดระยอง
อย่างไรก็ตาม การตั้งคณะกรรมาธิการสามัญ 35 คณะของสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่สามารถดำเนินการตั้งได้ในสัปดาห์นี้เนื่องจากยังมีสมาชิกในบางกรรมาธิการที่ไม่ลงตัว จึงเลื่อนให้มีการตั้งในสัปดาห์หน้า
บาทอ่อน เปิด 36.69 ตลาดป่วนหนัก ธปท.ขึ้นดอกเบี้ย 2.5% ไม่ช่วย เหตุราคาทองยังร่วง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4203348
ตลาดการเงินผันผวนหนัก กดดันบาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท/ดอลล์
เมื่อวันที่ 28 กันยายน นาย
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.69 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.55 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.50-36.85 บาทต่อดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 36.52-36.76 บาทต่อดอลลาร์) ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน และความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน
ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงหนัก ซึ่งคาดว่าโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
นาย
พูนกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท หลังจากที่เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ แม้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.50% สวนทางกับที่ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่คาด แต่ก็ไม่สามารถช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ยังคงกดดันค่าเงินบาท คือ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งตลาดบอนด์ที่อาจยังคงดำเนินต่อไปได้บ้าง หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อทำจุดสูงสุดใหม่
ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ต้องปรับมุมมองใหม่และประเมินแนวต้านที่เป็นไปได้ของเงินบาท รวมถึงจุดอ่อนค่าสุดของเงินบาท โดยในเชิง Technical เงินบาทจะมีโซนแนวต้านอยู่ในช่วง 36.65-36.85 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าหลุดโซนดังกล่าว จะมีความเสี่ยงที่เงินบาทอาจอ่อนค่าเร็วไปสู่โซน 37.15-37.25 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ ได้ประเมินจุดอ่อนค่าสุดของเงินบาทที่เป็นไปได้ใหม่ โดยอ้างอิง Valuation ของเงินบาทจากดัชนีเงินบาท REER พบว่า จุดอ่อนค่าสุดที่เป็นไปได้ของเงินบาท (Z-Score ของ REER ราว -2.0 เท่า) จะอยู่ที่ประมาณ 37.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่เราเคยประเมินไว้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน แถวระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ พอสมควร
ทั้งนี้ เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้างและการอ่อนค่าอาจชะลอลงได้ หากนักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าซื้อหุ้นไทยมากขึ้น หลังล่าสุด ดัชนี SET ได้ปรับตัวลงมาสู่โซนแนวรับสำคัญ และใกล้กับช่วงที่ความเสี่ยงการเมืองไทยร้อนแรง ทำให้เรามองว่า ณ ปัจจุบัน ความเสี่ยงการเมืองได้ลดลงไปมาก อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยก็ยังคงสดใสอยู่ กอปรกับระดับราคา (valuation) ของหุ้นไทยก็ไม่แพง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็ควรหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าสะสมหุ้นไทยในจังหวะย่อตัวได้เช่นกัน (อนึ่ง Krungthai CIO แนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสมหุ้นไทย โดยมีเป้าระยะสั้น SET แถว 1,540-1,550)
“
สินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากนโยบายการเงิน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง”นายพูนกล่าว
ขณะเดียวกัน ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านสำคัญแถว 106.6 จุด (กรอบ 106.2-106.9 จุด)
นาย
พูนกล่าวว่า สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ GDP ไตรมาสที่ 2 และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด หรือ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งอยู่ ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้ม “Higher for Longer” สำหรับดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป
JJNY : องค์กรสิทธิร้องปล่อยตัว ‘ทนายอานนท์’│“รังสิมันต์”เตรียมตั้งกระทู้│บาทอ่อน ตลาดป่วนหนัก│ชาวประมงฟิลิปปินส์กังวลจีน
https://prachatai.com/journal/2023/09/106100
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิออกข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัว “ทนายอานนท์” และนักป้องสิทธิคนอื่นๆ รวมถึงนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข หลังเกิดการใช้มาตรา 112 และกระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
27 ก.ย.2566 กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (The Observatory for the Protection of Human Rights Defenders) ได้เรียกร้องถึงรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากเมื่อวานนี้อานนท์ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ด้วยข้อหามาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563 และให้ปรับเงินอีก 20,000 บาทตามข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยไม่รอลงอาญา และยังอยู่ระหว่างรอศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่
ทั้งนี้กลุ่มสังเกตการณ์ฯ เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง สหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) และองค์กรต่อต้านการทรมานโลก (OMCT) เพื่อติดตามปกป้องผู้ที่ทำงานในการปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกคุกคามและละเมิดสิทธิมนุษยชน
กลุ่มสังเกตการณ์ฯ ได้ย้อนถึงสถานการณ์ที่อานนท์กำลังเผชิญในขณะนี้ว่าคดีที่ศาลเพิ่งตัดสินไปนั้นเป็นเพียงคดีแรกที่อานนท์ถูกฟ้องด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์จากทั้งหมด 14 คดี และเป็นคดีที่ทำให้เขาถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีและต้องยื่นประกันตัวถึง 7 ครั้งศาลถึงจะอนุญาตให้ประกัน และก่อนหน้านั้นเขาก็เคยถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีในคดีมาตา 112 คดีอื่นนานถึง 113 วัน
ทั้งนี้สถานการณ์คดีมาตรา 112 ที่ผ่านมานับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.2563 จนถึง 22 ก.ย.2566 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหานี้แล้ว 257 คน ในจำนวนนี้เป็นเยาวชนถึง 17 คนและมีประชาชน 8 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด
“กลุ่มสังเกตการณ์ฯ ขอประณามอย่างรุนแรงทั้งต่อการลงโทษและการพิพากษาที่ตามมาด้วยการคุมขังอานนท์ นำภาโดยพลการ และการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคามอานนท์ นำภาที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงเป้าหมายเดียวคือการลงโทษอานนท์ที่ทำกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนโดยชอบด้วยกฎหมายและยังเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบด้วย”
ทั้งนี้กลุ่มสังเกตการณ์ฯ ได้เรียกร้องต่อทางการไทยให้ปล่อยตัวอานนท์โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขรวมไปถึงนักปกป้องสิทธิคนอื่นๆ ที่กำลังถูกคุมขังโดยพลการในประเทศและจะต้องยุติการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อคุกคามเพื่อคุกคามนักปกป้องสิทธิเหล่านี้ด้วย
นอกจากนั้นทางกลุ่มสังเกตการณ์ฯ ยังได้ขอความร่วมมือให้มีการส่งจดหมายพร้อมระบุข้อเรียกร้องไปถึงรัฐบาลไทยโดยมีข้อเรียกร้องดังนี้
• รัฐบาลไทยต้องรับประกันด้านสวัสดิภาพร่างกายและจิตใจของอานนท์และนักป้องสิทธิมนุษยชนรวมถึงนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทย
• ปล่อยตัวพวกเขาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขจากการถูกคุมขังโดยพลการที่เสมือนว่ามีเป้าหมายเพื่อการลงโทษจากการที่พวกเขาทำกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนที่ชอบด้วยกฎหมาย
• ยุติทุกการกระทำที่เป็นการคุกคามรวมไปถึงการใช้กระบวนการทางกฎหมายต่ออานนท์และนักป้องสิทธิมนุษยชนรวมถึงนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทย และรับรองว่าพวกเขาจะสามารถทำกิจกรรมได้โดยไม่ถูกขัดขวางหรือหวาดกลัวต่อการถูกตอบโต้
• รับประกันว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบจะได้รับการปกป้องตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 19 และ 21 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
• งดเว้นการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเป้าหมายที่เป็นนักปกป้องสิทธิและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย
ทั้งนี้กลุ่มสังเกตการณ์ได้ระบุว่าให้มีการส่งข้อเรียกร้องดังกล่าวไปถึงบุคคลต่างๆ ในรัฐบาลทั้งเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี, ปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีการกระทรวงการต่างประเทศ, ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, สุพัตรา ศรีไมตรีพิทักษ์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ และเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ และหัวหน้าคณะผู้แทนไทยประจำสหภาพยุโรป
“รังสิมันต์” เตรียมตั้งกระทู้ถามนายกฯปัญหาองค์กรตำรวจ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_619750/
สภา เตรียมพิจารณากระทู้ถามรัฐบาล “โรม” จี้นายกฯตอบปัญหาในองค์กรตำรวจ “ศาสตรา”ถามความคืบหน้า โครงการรถไฟรางคู่สายใต้
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งนัดสมาชิกประชุมในเวลา 09.00 น. โดยภายหลังให้สมาชิกปรึกษาหารือถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และเข้าสู่การพิจารณากระทู้ถาม โดยเริ่มจากกระทู้ถามสดด้วยวาจา วันนี้ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เตรียมตั้งกระทู้ถามถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องปัญหาในองค์กรตำรวจ และการแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แต่นายกรัฐมนตรี มีภารกิจต้องเดินทางไปกัมพูชา ต้องจับตาว่า จะส่งรัฐมนตรีคนใดมาตอบกระทู้แทน จากนั้น พิจารณากระทู้ถามทั่วไป 4 เรื่อง คือ
1.กระทู้ถามเรื่องขอให้พิจารณาแก้ไขความเดือดร้อนจากศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยอ่อนนุช เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร (นายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ สส.พรรคก้าวไกล เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี)
2.กระทู้ถามเรื่องความคืบหน้าการดำเนินการ โครงการรถไฟรางคู่สายใต้ ล่าช้า (นายศาสตรา ศรีปาน สส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ตั้งกระทู้ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม)
3.กระทู้ถามเรื่องความเดือดร้อนเกี่ยวกับปัญหาการใช้น้ำประปาส่วนภูมิภาค (นายชวาล พลเมืองดี สส.พรรคก้าวไกล เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย)
และ 4.กระทู้ถามเรื่องปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติดแอมเฟตามีน (นายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ สส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี)
นอกจากนี้ ยังพิจารณากระทู้ถามแยกเฉพาะ อีก 6 เรื่อง อาทิ กระทู้ถามเรื่องค่าปรับกรณีการดำเนินการโครงการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดรัชดา – ราชพฤกษ์ ล่าช้า กระทู้ถามเรื่องขอให้อนุมัติเงินค้างจ่ายให้แก่หน่วยงานกู้ภัย กระทู้ถามเรื่อง ปัญหาภัยแล้งในจังหวัดระยอง
อย่างไรก็ตาม การตั้งคณะกรรมาธิการสามัญ 35 คณะของสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่สามารถดำเนินการตั้งได้ในสัปดาห์นี้เนื่องจากยังมีสมาชิกในบางกรรมาธิการที่ไม่ลงตัว จึงเลื่อนให้มีการตั้งในสัปดาห์หน้า
บาทอ่อน เปิด 36.69 ตลาดป่วนหนัก ธปท.ขึ้นดอกเบี้ย 2.5% ไม่ช่วย เหตุราคาทองยังร่วง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4203348
ตลาดการเงินผันผวนหนัก กดดันบาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท/ดอลล์
เมื่อวันที่ 28 กันยายน นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.69 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.55 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.50-36.85 บาทต่อดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 36.52-36.76 บาทต่อดอลลาร์) ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ยังคงได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นาน และความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน
ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงหนัก ซึ่งคาดว่าโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
นายพูนกล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท หลังจากที่เงินบาทได้อ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ แม้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.50% สวนทางกับที่ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่คาด แต่ก็ไม่สามารถช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ยังคงกดดันค่าเงินบาท คือ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในฝั่งตลาดบอนด์ที่อาจยังคงดำเนินต่อไปได้บ้าง หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อทำจุดสูงสุดใหม่
ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ต้องปรับมุมมองใหม่และประเมินแนวต้านที่เป็นไปได้ของเงินบาท รวมถึงจุดอ่อนค่าสุดของเงินบาท โดยในเชิง Technical เงินบาทจะมีโซนแนวต้านอยู่ในช่วง 36.65-36.85 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าหลุดโซนดังกล่าว จะมีความเสี่ยงที่เงินบาทอาจอ่อนค่าเร็วไปสู่โซน 37.15-37.25 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ ได้ประเมินจุดอ่อนค่าสุดของเงินบาทที่เป็นไปได้ใหม่ โดยอ้างอิง Valuation ของเงินบาทจากดัชนีเงินบาท REER พบว่า จุดอ่อนค่าสุดที่เป็นไปได้ของเงินบาท (Z-Score ของ REER ราว -2.0 เท่า) จะอยู่ที่ประมาณ 37.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่เราเคยประเมินไว้ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน แถวระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ พอสมควร
ทั้งนี้ เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้างและการอ่อนค่าอาจชะลอลงได้ หากนักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าซื้อหุ้นไทยมากขึ้น หลังล่าสุด ดัชนี SET ได้ปรับตัวลงมาสู่โซนแนวรับสำคัญ และใกล้กับช่วงที่ความเสี่ยงการเมืองไทยร้อนแรง ทำให้เรามองว่า ณ ปัจจุบัน ความเสี่ยงการเมืองได้ลดลงไปมาก อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยก็ยังคงสดใสอยู่ กอปรกับระดับราคา (valuation) ของหุ้นไทยก็ไม่แพง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวก็ควรหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าสะสมหุ้นไทยในจังหวะย่อตัวได้เช่นกัน (อนึ่ง Krungthai CIO แนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสมหุ้นไทย โดยมีเป้าระยะสั้น SET แถว 1,540-1,550)
“สินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากนโยบายการเงิน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง”นายพูนกล่าว
ขณะเดียวกัน ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยความกังวลแนวโน้มเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านสำคัญแถว 106.6 จุด (กรอบ 106.2-106.9 จุด)
นายพูนกล่าวว่า สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ GDP ไตรมาสที่ 2 และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งหากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาดีกว่าคาด หรือ สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งอยู่ ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้ม “Higher for Longer” สำหรับดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป