https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/23
ตอนที่ ๒๓
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
ส. จิตลิ้มรสขณะที่กำลังรับประทานอาหาร เพลินเลย เป็นเรา แต่ความจริงทุกขณะที่รส ปรากฏเพราะจิตลิ้มรสนั้น แล้วก็ทางกาย ขณะที่กระทบสัมผัส หรือมีความรู้สึกหนาว สบาย ไม่สบายกาย ขณะนั้นก็คือจิตที่กำลังรู้อารมณ์ที่กระทบ หรือถึงแม้ไม่มีอะไรมากระทบเลย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตก็คิด นี้คือลักษณะของจิต จิตคิดทีละคำ แล้วจิตก็ดับไปแต่ละคำ แต่ว่าเราไม่เคยประจักษ์ว่า จิตเกิดแล้วก็ดับ เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น
เรื่อง นามธรรมกับรูปธรรมนี้ โดยขั้นการฟังนี่ต้องแยก จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีเรา มีแต่นามธรรม กับรูปธรรม แล้วค่อยๆ เจริญปัญญา เข้าใจลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ
ถ. ขออนุญาตเรียนถามต่อ ท่านอาจารย์ก็ได้พยายามพูดถึงเรื่องเหตุปัจจัยก็ดี เรื่องกรรมก็ดี ก็มีผู้สงสัยเกี่ยวกับเรื่องว่า ในปัจจุบันชาติก็ได้พยายามทำสิ่งที่ดี เป็นกุศลกรรม แล้วเวลาที่ผู้นั้นใกล้จะสิ้นชีวิตหรือใกล้จะตายแล้วก็มักจะมีคนเขาบอกว่า ให้มีการระลึกถึงผลบุญ หรือว่าการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อไป ในลักษณะที่มีตัวมีตนไปทำ กับแล้วแต่เหตุ แล้วแต่ปัจจัย ก็มีผู้สงสัยว่า การทำดีของคนเราที่ผ่านมาแล้ว จะไม่เป็นเหตุปัจจัยช่วยให้เราพ้นไปจากการที่ต้องไปเกิดในอบายภูมิไม่ได้หรือ หรือว่าแล้วแต่ ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นความคิด และทำให้คนเกิดความไม่มั่นใจ อันนี้ขอท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย
ส. ถ้าเป็นคนที่เชื่อในเรื่องกรรม ก็ต้องรู้ว่ากรรมมีสองอย่าง คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ถ้าเป็นคนที่เชื่อเรื่องกรรม ก็ต้องเข้าใจและกรรมมีสองอย่าง ไม่ใช่มีอย่างเดียว เมื่ออกุศลกรรมมีทำไปแล้วก็ให้ผล หรือ กุศลกรรมที่ทำไปแล้วก็ให้ผล แล้วแต่ว่ากรรมไหนจะให้ผลเมื่อไหร่ อย่างเราเกิดมานี้ มีใครบ้างที่ไม่เคยป่วยไข้ ขณะที่ป่วยไข้นั้น มีร่างกาย แล้วก็มีทุกข์เวทนาอาศัยรูปนั้นเกิดขึ้น ขณะนั้นก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเราเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยผลของกุศล แต่เราก็ยังมีกุศลกรรมในอดีต ที่ทำให้เราได้รับผล ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วเวลาเราตายก็เหมือนกัน เราทุกคนก็มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นถ้ากุศลกรรมให้ผลก่อเกิดในสุคติภูมิ ถ้าอกุศลกรรมให้ผล ก็เกิดในทุคติภูมิ ถ้าเราเป็นผู้ที่รู้เรื่องกรรม เราก็รู้ว่ามีกรรมสองอย่าง ทั้งสองอย่างก็ให้ผลตามควร ตามเหตุ
ถ. กุศลกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ในปัจจุบัน
ส. และอกุศลกรรม พูดด้วย จะพูดแต่เฉพาะ กุศลกรรมอย่างเดียวไม่ได้
ถ. ถ้าจะพูดถึงอกุศลกรรม ท่านอาจารย์ก็เคยเน้นอยู่เสมอว่า ถ้าไม่เป็นกรรมบถ ก็ยังไม่มีการให้ผลที่จะไปเกิดในอบาย
ส. ถ้าไม่ครบองค์ของกรรมบถ
ถ. ทีนี้ก็ปกติอาจจะไม่ถึงขั้นกรรมบถก็ได้
ส. ถ้าไม่ถึงขั้นกรรมบถก็ให้ผลหลังจากปฏิสนธิ
ถ. ในปัจจุบันนี้แต่ละคนก็ได้มีโอกาสทำบุญ ทำกุศลคือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
ส. แล้วอกุศลกรรมที่ครบองค์ พูดด้านเดียวได้ยังไง ถ้าพูดเรื่องกรรมก็ต้องพูดทั้งสองข้าง คือทางกุศลกรรมและอกุศลกรรม
ถ. ทีนี้
เวลาที่สมมุติคนป่วยหนัก ใกล้สิ้นชีวิตแล้ว ก็มีญาติพี่น้องลูกหลาน มาพูดใกล้ๆ หรือว่ามาให้สติเตือนว่า ให้ระลึกถึงการที่ได้ทำกุศลต่างๆ จะมีประโยชน์หรือ มีผลจริงๆ หรือเปล่า
ส. เวลานี้เราก็พูดได้ แต่ใครจะรับ ไม่ต้องตอนตาย เอาเดี๋ยวนี้เลย
ถ. เดี๋ยวนี้มันยังไม่มีเหตุปัจจัยที่จะ
ส. เหมือนกัน จะตายขณะนี้ย่อมได้ ไม่มีใครรู้ว่า ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไร จะตายเดี๋ยวนี้ทันทีที่ได้ยินก็ได้
ถ. เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ ก็แล้วแต่
ส.
แล้วแต่เหตุปัจจัย ไม่มีใครไปยับยั้งได้ บางคนก็บอก ถ้าอย่างงั้น ตอนจะตายก็ทำใจดีๆ ไม่ต้องไปโกรธใคร ไม่ต้องโลภ ทำได้ยังไง
ถ้าทำได้ ก็ทำเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ก็หมายความว่า จะตายก็ทำไม่ได้ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว ทำไม่ได้เลย
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ดูเหมือนว่าก่อนจะตายอยากจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ให้มีโลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้อะไรเลย แต่เหตุไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น หวังก็หวังผิด หวังลมๆ แล้งๆ ไม่มีเหตุ มีผล เมื่อไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อไม่ใช่พระอริยบุคคล แล้วหวังได้อย่างไรว่า อกุศลกรรมจะไม่ให้ผล
ถ. ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ในเทป บอกว่า พระพุทธเจ้าแสดงว่า การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนยาก โอกาสที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกนี้ก็แสนยาก เมื่อฟังทั้งสองประโยค ก็มานึกถึงชีวิตของแต่ละคนว่า เวลาที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ว่าเป็นสิ่งที่ยากแล้ว เวลาตายไป ก็อาจจะต้องไปเกิดในอบายภูมิมากกว่าที่จะกลับมาเกิดในมนุษย์ ก็เลยทำให้จิตใจ มันไม่ค่อยจะสดชื่นร่าเริง
ส. เพราะฉะนั้นจะทำยังไง ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ไม่สดชื่นร่าเริงแล้วจะทำยังไง ก็รู้อยู่ นี้พูด แปลว่ารู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ทำกุศล เท่านั้นเอง และจะต้องไปหวังอะไร ในเมื่อเหตุมีแล้ว ผลจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็เมื่อนั้น มานั่งคิดทำไมว่าจะให้ผลหรือเปล่า หรือว่าจะให้ตอนตายหรือเปล่า นี่เรื่องคิด แต่ด้วยความจริงก็คือว่า อะไรจะเกิดขึ้นย่อมมีเหตุ มีปัจจัย ที่เป็นอกุศลวิบาก คือผลที่ไม่ดี ทางตาหรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้การเกิดไม่ดี ก็ต้องเป็นผลของอกุศล เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจความจริงว่า ไม่มีใครไปบังคับอะไรได้ แต่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา เข้าใจเหตุผลให้ถูกต้อง เมื่อเข้าใจเหตุผลถูกต้องแล้วก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้กุศลเจริญขึ้นก็รู้อยู่ว่า อกุศลก็เป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบาก และกุศลก็เป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก
ถ. เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวัน เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่อาจารย์พูดถึงเรื่อง สังคหวัตถุแล้ว ก็คงจะเอามาเป็นการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ส.
ทุกอย่างที่ดีในพระธรรมทั้งหมด แล้วแต่ขณะจิตที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นขณะใด เป็นขณะของสังคหวัตถุ หรือเป็นขณะของพรหมวิหาร หรือเป็นขณะของอนุสติ หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นเรื่องซึ่งอบรมไป
แล้วแต่ว่าสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้น
มีผลจริงๆ หรือเปล่า เวลาที่ผู้นั้นใกล้จะสิ้นชีวิตหรือใกล้จะตาย แล้วญาติๆ มักจะบอกว่าให้ระลึกถึงกุศลต่างๆ ที่ได้กระทำไป
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/23
ตอนที่ ๒๓
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
ส. จิตลิ้มรสขณะที่กำลังรับประทานอาหาร เพลินเลย เป็นเรา แต่ความจริงทุกขณะที่รส ปรากฏเพราะจิตลิ้มรสนั้น แล้วก็ทางกาย ขณะที่กระทบสัมผัส หรือมีความรู้สึกหนาว สบาย ไม่สบายกาย ขณะนั้นก็คือจิตที่กำลังรู้อารมณ์ที่กระทบ หรือถึงแม้ไม่มีอะไรมากระทบเลย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตก็คิด นี้คือลักษณะของจิต จิตคิดทีละคำ แล้วจิตก็ดับไปแต่ละคำ แต่ว่าเราไม่เคยประจักษ์ว่า จิตเกิดแล้วก็ดับ เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นเรื่อง นามธรรมกับรูปธรรมนี้ โดยขั้นการฟังนี่ต้องแยก จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีเรา มีแต่นามธรรม กับรูปธรรม แล้วค่อยๆ เจริญปัญญา เข้าใจลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ
ถ. ขออนุญาตเรียนถามต่อ ท่านอาจารย์ก็ได้พยายามพูดถึงเรื่องเหตุปัจจัยก็ดี เรื่องกรรมก็ดี ก็มีผู้สงสัยเกี่ยวกับเรื่องว่า ในปัจจุบันชาติก็ได้พยายามทำสิ่งที่ดี เป็นกุศลกรรม แล้วเวลาที่ผู้นั้นใกล้จะสิ้นชีวิตหรือใกล้จะตายแล้วก็มักจะมีคนเขาบอกว่า ให้มีการระลึกถึงผลบุญ หรือว่าการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อไป ในลักษณะที่มีตัวมีตนไปทำ กับแล้วแต่เหตุ แล้วแต่ปัจจัย ก็มีผู้สงสัยว่า การทำดีของคนเราที่ผ่านมาแล้ว จะไม่เป็นเหตุปัจจัยช่วยให้เราพ้นไปจากการที่ต้องไปเกิดในอบายภูมิไม่ได้หรือ หรือว่าแล้วแต่ ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นความคิด และทำให้คนเกิดความไม่มั่นใจ อันนี้ขอท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย
ส. ถ้าเป็นคนที่เชื่อในเรื่องกรรม ก็ต้องรู้ว่ากรรมมีสองอย่าง คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ถ้าเป็นคนที่เชื่อเรื่องกรรม ก็ต้องเข้าใจและกรรมมีสองอย่าง ไม่ใช่มีอย่างเดียว เมื่ออกุศลกรรมมีทำไปแล้วก็ให้ผล หรือ กุศลกรรมที่ทำไปแล้วก็ให้ผล แล้วแต่ว่ากรรมไหนจะให้ผลเมื่อไหร่ อย่างเราเกิดมานี้ มีใครบ้างที่ไม่เคยป่วยไข้ ขณะที่ป่วยไข้นั้น มีร่างกาย แล้วก็มีทุกข์เวทนาอาศัยรูปนั้นเกิดขึ้น ขณะนั้นก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเราเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยผลของกุศล แต่เราก็ยังมีกุศลกรรมในอดีต ที่ทำให้เราได้รับผล ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วเวลาเราตายก็เหมือนกัน เราทุกคนก็มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นถ้ากุศลกรรมให้ผลก่อเกิดในสุคติภูมิ ถ้าอกุศลกรรมให้ผล ก็เกิดในทุคติภูมิ ถ้าเราเป็นผู้ที่รู้เรื่องกรรม เราก็รู้ว่ามีกรรมสองอย่าง ทั้งสองอย่างก็ให้ผลตามควร ตามเหตุ
ถ. กุศลกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ในปัจจุบัน
ส. และอกุศลกรรม พูดด้วย จะพูดแต่เฉพาะ กุศลกรรมอย่างเดียวไม่ได้
ถ. ถ้าจะพูดถึงอกุศลกรรม ท่านอาจารย์ก็เคยเน้นอยู่เสมอว่า ถ้าไม่เป็นกรรมบถ ก็ยังไม่มีการให้ผลที่จะไปเกิดในอบาย
ส. ถ้าไม่ครบองค์ของกรรมบถ
ถ. ทีนี้ก็ปกติอาจจะไม่ถึงขั้นกรรมบถก็ได้
ส. ถ้าไม่ถึงขั้นกรรมบถก็ให้ผลหลังจากปฏิสนธิ
ถ. ในปัจจุบันนี้แต่ละคนก็ได้มีโอกาสทำบุญ ทำกุศลคือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
ส. แล้วอกุศลกรรมที่ครบองค์ พูดด้านเดียวได้ยังไง ถ้าพูดเรื่องกรรมก็ต้องพูดทั้งสองข้าง คือทางกุศลกรรมและอกุศลกรรม
ถ. ทีนี้เวลาที่สมมุติคนป่วยหนัก ใกล้สิ้นชีวิตแล้ว ก็มีญาติพี่น้องลูกหลาน มาพูดใกล้ๆ หรือว่ามาให้สติเตือนว่า ให้ระลึกถึงการที่ได้ทำกุศลต่างๆ จะมีประโยชน์หรือ มีผลจริงๆ หรือเปล่า
ส. เวลานี้เราก็พูดได้ แต่ใครจะรับ ไม่ต้องตอนตาย เอาเดี๋ยวนี้เลย
ถ. เดี๋ยวนี้มันยังไม่มีเหตุปัจจัยที่จะ
ส. เหมือนกัน จะตายขณะนี้ย่อมได้ ไม่มีใครรู้ว่า ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไร จะตายเดี๋ยวนี้ทันทีที่ได้ยินก็ได้
ถ. เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ ก็แล้วแต่
ส. แล้วแต่เหตุปัจจัย ไม่มีใครไปยับยั้งได้ บางคนก็บอก ถ้าอย่างงั้น ตอนจะตายก็ทำใจดีๆ ไม่ต้องไปโกรธใคร ไม่ต้องโลภ ทำได้ยังไง ถ้าทำได้ ก็ทำเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ก็หมายความว่า จะตายก็ทำไม่ได้ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว ทำไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ดูเหมือนว่าก่อนจะตายอยากจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ให้มีโลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้อะไรเลย แต่เหตุไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น หวังก็หวังผิด หวังลมๆ แล้งๆ ไม่มีเหตุ มีผล เมื่อไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อไม่ใช่พระอริยบุคคล แล้วหวังได้อย่างไรว่า อกุศลกรรมจะไม่ให้ผล
ถ. ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ในเทป บอกว่า พระพุทธเจ้าแสดงว่า การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนยาก โอกาสที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกนี้ก็แสนยาก เมื่อฟังทั้งสองประโยค ก็มานึกถึงชีวิตของแต่ละคนว่า เวลาที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ว่าเป็นสิ่งที่ยากแล้ว เวลาตายไป ก็อาจจะต้องไปเกิดในอบายภูมิมากกว่าที่จะกลับมาเกิดในมนุษย์ ก็เลยทำให้จิตใจ มันไม่ค่อยจะสดชื่นร่าเริง
ส. เพราะฉะนั้นจะทำยังไง ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ไม่สดชื่นร่าเริงแล้วจะทำยังไง ก็รู้อยู่ นี้พูด แปลว่ารู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ทำกุศล เท่านั้นเอง และจะต้องไปหวังอะไร ในเมื่อเหตุมีแล้ว ผลจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็เมื่อนั้น มานั่งคิดทำไมว่าจะให้ผลหรือเปล่า หรือว่าจะให้ตอนตายหรือเปล่า นี่เรื่องคิด แต่ด้วยความจริงก็คือว่า อะไรจะเกิดขึ้นย่อมมีเหตุ มีปัจจัย ที่เป็นอกุศลวิบาก คือผลที่ไม่ดี ทางตาหรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้การเกิดไม่ดี ก็ต้องเป็นผลของอกุศล เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจความจริงว่า ไม่มีใครไปบังคับอะไรได้ แต่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา เข้าใจเหตุผลให้ถูกต้อง เมื่อเข้าใจเหตุผลถูกต้องแล้วก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้กุศลเจริญขึ้นก็รู้อยู่ว่า อกุศลก็เป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบาก และกุศลก็เป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก
ถ. เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวัน เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่อาจารย์พูดถึงเรื่อง สังคหวัตถุแล้ว ก็คงจะเอามาเป็นการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ส. ทุกอย่างที่ดีในพระธรรมทั้งหมด แล้วแต่ขณะจิตที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นขณะใด เป็นขณะของสังคหวัตถุ หรือเป็นขณะของพรหมวิหาร หรือเป็นขณะของอนุสติ หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นเรื่องซึ่งอบรมไป แล้วแต่ว่าสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้น