สัมภาษณ์ :“วีรพัฒน์ ปริยวงศ์” 2 พรรคฝ่ายประชาธิปไตยอย่าทะเลาะกัน ก่อนปล่อย“2ลุง”นั่งขำสบาย
https://www.matichon.co.th/clips/news_4113793
คุยกับ อาจารย์นิว “
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์” นักกฎหมายอิสระ หลังจากที่พรรคเพื่อไทยไม่จับมือกับพรรคก้าวไกลแล้ว จะไปต่อได้อย่างไร สูตรไหนจะเกิดขึ้นกับการจัดตั้งรัฐบาล ก่อนที่จะบอกด้วยความหวังดี หากถ้ามัวแต่ทะเลาะกัน ฝ่ายที่เคยยึดอำนาจนั่งจิบไวน์สบาย ติดตามชมรายละเอียดทั้งหมดจากคลิปด้านล่างนี้
สมัชชาคนจน แถลงประณาม อัดนัดประชุม 4 ครั้งยังไม่ได้นายกฯ ทำเลือกตั้งเป็นแค่พิธีกรรม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4113232
สมัชชาคนจน แถลงประณาม อัดนัดประชุม 4 ครั้งยังไม่ได้นายกฯ ทำเลือกตั้งเป็นแค่พิธีกรรม
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
สมัชชาคนจน ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำที่ไม่เห็นหัวประชาชน โดยระบุว่า
นับแต่ทราบผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ของการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีการนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวนหลายครั้ง
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบไม่มากว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดที่มีอยู่ จึงทำให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผลคะแนนเสียง เห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง งดออกเสียง 199 เสียง และผู้ขาดประชุม 44 เสียง
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบว่า การเสนอชื่อบุคคลเพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาเป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำไม่ได้ โดยเป็นการอ้างข้อบังคับการประชุมรัฐสภาเหนือบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ที่กำหนดให้การเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีมติประชุมรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขอให้มีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เลื่อนการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ไปเป็นวันที่ 4 สิงหาคม 2566
และเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้ให้สัมภาษณ์ ว่าต้องเลื่อนการประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีออกไปก่อน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน
สมัชชาคนจน เห็นว่า แม้จะมีการนัดประชุมพิจารณาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 4 ครั้ง แต่ไม่สามารถหาบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้น กลายเป็นการเล่นเกมต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองในมือกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งคนกลุ่มนี้ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปกลายเป็นแค่เรื่องพิธีกรรม เปิดเกมเจรจาต่อรองผลประโยชน์ของกลุ่มฯและพวกพ้อง อย่างโจ่งแจ้งไม่เกรงกลัวใคร พร้อมทั้งอ้างว่า ทุกการกระทำของกลุ่มตนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทำเสมือนประชาชนไม่มีหูมีตา ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ
สมัชชาคนจน ขอประณามการทำการเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชน และเชื่อมั่นว่า การเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชนจะไม่ถูกไว้วางใจจากประชาชน และประชาชนจะร่วมกันตรวจสอบอย่างถึงที่สุด
ชาติ คือ ประชาชน ประชาชน คือ ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน
สมัชชาคนจน
4 สิงหาคม 2566″
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02msnKrFJnxNZC92yFj8JGfV95rsqBGv32LixTeC7QyGVTcSwSZnHjZcevGvuQNWnbl&id=100064381883555
ปธ.หอค้าไทย ชี้การเมืองไม่นิ่ง กระเทือนจุดฟื้นศก.ประเทศ ห่วงไตรมาส4 เสียโอกาสดันเที่ยวไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4113028
ปธ.หอค้าไทย ชี้การเมืองไม่นิ่ง กระเทือนจุดฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ห่วงไตรมาส4 เสียโอกาสดันเที่ยวไทย
นาย
สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้พิจารณากรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และกำหนดวันนัดพิจารณาคำร้องในวันที่ 16 ส.ค. จากเดิมที่คาดว่าจะเป็นวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา หอการค้าฯ มองว่าประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญและประชาชนให้ความสนใจ
ซึ่งศาลต้องใช้ดุลยพิจและข้อมูลต่าง ๆ ประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ และมองว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีและการฟอร์ม ครม. ชุดใหม่ ยังอยู่ในช่วงเวลาที่เคยประเมินไว้ซึ่งยังไม่ถือว่าล่าช้าจนเกินไป
ทั้งนี้ กรณีที่ศาลมีคำสั่งว่ากรณีดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือเป็นไปแนวทางที่เห็นว่ารัฐสภาได้ดำเนินการโดยชอบแล้ว เชื่อว่าหลังจากนั้นรัฐสภาคงจะดำเนินการให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุดต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นวันที่ 17 – 18 ส.ค. ทำให้เราอาจจะได้ ครม.ชุดใหม่ ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ถึงกลางเดือนกันยายน ก่อนจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
“
หากไทม์ไลน์ต่าง ๆ เป็นเช่นนั้น ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลชุดใหม่คงจะต้องเร่งจัดทำงบประมาณประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อดึงกำลังซื้อและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะตรงกับไตรมาส 4 ที่เป็นฤดูการท่องเที่ยวของไทยที่หลายฝ่ายประเมินว่าจะเป็นจุดฟื้นของเศรษฐกิจในปีนี้” นาย
สนั่น กล่าว
นาย
สนั่น กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ศาลมีคำสั่งว่าการดำเนินการของรัฐสภาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และมีข้อวินิจฉัยเพิ่มเติมไปในแนวทางดังกล่าว ก็คงต้องรอความชัดเจนว่าจะส่งผลให้การเลือกนายกรัฐมนตรีจะมีทิศทางเป็นอย่างไรและมีช่วงเวลานานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องมาประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง แต่เชื่อมั่นว่าศาลท่านจะมีการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบและรวดเร็วที่สุด เพราะการมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศเร็วเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากในสถานการณ์เช่นนี้
นาย
สนั่น กล่าวถึงประเด็นที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้ยุติการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเองซึ่งอยู่ในระหว่างรวบรวมเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา นั้น หอการค้าฯ มองว่าส่วนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่จะต้องดำเนินกระบวนการตามกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ และหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจนสำเร็จ ก็เชื่อว่าน่าจะสามารถเร่งดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจได้ทันที เพราะพรรคเพื่อไทยเคยมีประสบการณ์ในด้านการบริหารประเทศมาก่อนหน้านี้ และหลายนโยบายในสมัยที่เป็นรัฐบาลก็สามารถดำเนินการจนประสบความสำเร็จ
ส่วนประเด็นความเห็นต่างและการชุมนุมที่เกิดขึ้นถือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย โดยหากไม่มีการชุมชนที่ยืดเยื้อหรือสถานการณ์ที่รุนแรงก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตได้ดีและเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย
“
วันนี้สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในส่วนของภาคเอกชนนั้นไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็พร้อมทำงานร่วมกัน โดยที่ผ่านมาได้ส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องว่าสิ่งสำคัญคือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งล่าช้ายิ่งไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจประเทศ” นาย
สนั่นกล่าว
เมียหนี พ่อทุบหัวลูกสาว ป.4 จับผูกคอตายพร้อมกัน เพื่อหนีความยากจน
https://www.thairath.co.th/news/crime/2714774
สลด พ่อทุบหัวลูกสาววัย 10 ปี แล้วจับผูกคอหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหนีชีวิตความจน หลังเมียหนีไปมีผัวใหม่ ปล่อยให้ตัวเองกับลูกสาวอยู่แบบตายอดตายยาก และป่วยหอบหืด น้ำไฟถูกตัด ต้องงัดสังกะสีบ้านขาย เป็นค่าเรียนลูก โดยเพื่อนบ้านมาพบศพเริ่มเน่าเปื่อย
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 ส.ค.66 ร.ต.อ.
สุริยา ลีนุรัตน์ รอง สว.สอบสวน สภ.หินเหล็กไฟ รับแจ้งพบศพคนผูกคอเสียชีวิต ที่บ้านสาวเอ้ ต.สาวเอ้ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัยสว่างจรรยาธรรมบุรีรัมย์ จุด อ.คูเมือง
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ยกสูง บ้านเลขที่ 201/2 ม.2 สาวเอ้ ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ลักษณะบ้านใช้สังกะสีทำเป็นฝาบ้าน บริเวณใต้ถุนบ้านซึ่งดัดแปลงเป็นห้องนอน พบศพ นาย
ไพบูลย์ หรือ
แอ๊ด โจมรัมย์ อายุ 31 ปี และ ด.ญ.
มลชยา หรือน้องข้าว อายุ 10 ปี นักเรียนชั้น ป.4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ผูกคอติดกับตัวบ้านลักษณะศพหันหน้าเข้าหากัน สภาพศพเริ่มเน่าเปื่อย คาดเสียชีวิตมาประมาณ 3 วัน
ตรวจสอบโดยรอบไม่พบร่องรอยการรื้อทรัพย์สิน หรือร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด ตามร่างกายของนาย
แอ๊ด ไม่พบบาดแผลตามร่างกาย มีเพียง ด.ญ.ข้าว มีบาดแผลบริเวณศีรษะ คล้ายถูกของแข็งทุบ
สอบถาม นาย
สมบัติ สึมวิเศษ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 ม.2 ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ คนเจอศพคนแรก เล่าว่า ก่อนที่จะมาพบศพ ได้กลิ่นเหม็นเน่าออกมาก่อน ประกอบกับไม่เห็นนาย
แอ๊ดมา 2-3 วัน จึงเดินไปดู พอเปิดประตูเข้ามาพบว่าทั้งสองผูกคอติดกัน จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบดังกล่าว
ส่วนสาเหตุเชื่อมามาจากความจน นาย
แอ๊ด อาศัยอยู่กับลูกสาวตามลำพังมาเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากภรรยาได้หนีไปมีสามีใหม่ ทิ้งให้นาย
แอ๊ดอยู่กับลูกสาว ชีวิตความเป็นอยู่ด้วยความลำบาก เพราะมีโรคประจำตัวคือโรคหอบหืด ไม่สามารถไปรับจ้างงานหนักได้ แต่ละวันจะต้องหาปู หาปลา มาเลี้ยงลูกสาว ถ้าหาปลาได้มากจะเอาไปขาย ได้เงินเอาไว้ให้ลูกสาวไปโรงเรียน หลายครั้งต้องไปงัดเอาสังกะสีหลังคาบ้านไปขาย หากไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน
เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา บ้านนาย
แอ๊ดถูกตัดน้ำตัดไฟ เพราะไม่มีเงินไปจ่าย จึงอยู่ในความมืดมาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา และเมื่อ 3 วันก่อน นาย
แอ๊ดเดินไปหาที่บ้าน มีลักษณะซึมไม่พูดจา ก่อนจะหายตัวไปทั้งสองคน สาเหตุส่วนตัวคาดว่า น่าจะเกิดจากภรรยาที่หนีไปมีสามีใหม่ และความจนที่บีบบังคับให้ต้องทำแบบนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะทำร้ายลูกก่อนแล้วจับผูกคอ ก่อนพ่อจะผูกคอตายตาม.
JJNY : 5in1 2พรรคฝ่ายปชต.อย่าทะเลาะกัน│สมัชชาคนจนประณาม│ปธ.หอค้าไทยชี้การเมืองไม่นิ่ง│พ่อทุบหัวลูก│สหรัฐจับตาตั้งรบ.ไทย
https://www.matichon.co.th/clips/news_4113793
คุยกับ อาจารย์นิว “วีรพัฒน์ ปริยวงศ์” นักกฎหมายอิสระ หลังจากที่พรรคเพื่อไทยไม่จับมือกับพรรคก้าวไกลแล้ว จะไปต่อได้อย่างไร สูตรไหนจะเกิดขึ้นกับการจัดตั้งรัฐบาล ก่อนที่จะบอกด้วยความหวังดี หากถ้ามัวแต่ทะเลาะกัน ฝ่ายที่เคยยึดอำนาจนั่งจิบไวน์สบาย ติดตามชมรายละเอียดทั้งหมดจากคลิปด้านล่างนี้
สมัชชาคนจน แถลงประณาม อัดนัดประชุม 4 ครั้งยังไม่ได้นายกฯ ทำเลือกตั้งเป็นแค่พิธีกรรม
https://www.matichon.co.th/politics/news_4113232
สมัชชาคนจน แถลงประณาม อัดนัดประชุม 4 ครั้งยังไม่ได้นายกฯ ทำเลือกตั้งเป็นแค่พิธีกรรม
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมัชชาคนจน ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำที่ไม่เห็นหัวประชาชน โดยระบุว่า
นับแต่ทราบผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ของการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 มีการนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวนหลายครั้ง
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบไม่มากว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมดที่มีอยู่ จึงทำให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีผลคะแนนเสียง เห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง งดออกเสียง 199 เสียง และผู้ขาดประชุม 44 เสียง
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบว่า การเสนอชื่อบุคคลเพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาเป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำไม่ได้ โดยเป็นการอ้างข้อบังคับการประชุมรัฐสภาเหนือบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ที่กำหนดให้การเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีมติประชุมรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขอให้มีคำสั่งให้รัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เลื่อนการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเป็นผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ไปเป็นวันที่ 4 สิงหาคม 2566
และเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้ให้สัมภาษณ์ ว่าต้องเลื่อนการประชุมเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีออกไปก่อน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน
สมัชชาคนจน เห็นว่า แม้จะมีการนัดประชุมพิจารณาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 4 ครั้ง แต่ไม่สามารถหาบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้น กลายเป็นการเล่นเกมต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองในมือกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งคนกลุ่มนี้ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปกลายเป็นแค่เรื่องพิธีกรรม เปิดเกมเจรจาต่อรองผลประโยชน์ของกลุ่มฯและพวกพ้อง อย่างโจ่งแจ้งไม่เกรงกลัวใคร พร้อมทั้งอ้างว่า ทุกการกระทำของกลุ่มตนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทำเสมือนประชาชนไม่มีหูมีตา ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ
สมัชชาคนจน ขอประณามการทำการเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชน และเชื่อมั่นว่า การเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชนจะไม่ถูกไว้วางใจจากประชาชน และประชาชนจะร่วมกันตรวจสอบอย่างถึงที่สุด
ชาติ คือ ประชาชน ประชาชน คือ ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน
สมัชชาคนจน
4 สิงหาคม 2566″
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02msnKrFJnxNZC92yFj8JGfV95rsqBGv32LixTeC7QyGVTcSwSZnHjZcevGvuQNWnbl&id=100064381883555
ปธ.หอค้าไทย ชี้การเมืองไม่นิ่ง กระเทือนจุดฟื้นศก.ประเทศ ห่วงไตรมาส4 เสียโอกาสดันเที่ยวไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4113028
ปธ.หอค้าไทย ชี้การเมืองไม่นิ่ง กระเทือนจุดฟื้นเศรษฐกิจประเทศ ห่วงไตรมาส4 เสียโอกาสดันเที่ยวไทย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้พิจารณากรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และกำหนดวันนัดพิจารณาคำร้องในวันที่ 16 ส.ค. จากเดิมที่คาดว่าจะเป็นวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา หอการค้าฯ มองว่าประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญและประชาชนให้ความสนใจ
ซึ่งศาลต้องใช้ดุลยพิจและข้อมูลต่าง ๆ ประกอบการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ และมองว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีและการฟอร์ม ครม. ชุดใหม่ ยังอยู่ในช่วงเวลาที่เคยประเมินไว้ซึ่งยังไม่ถือว่าล่าช้าจนเกินไป
ทั้งนี้ กรณีที่ศาลมีคำสั่งว่ากรณีดังกล่าวไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือเป็นไปแนวทางที่เห็นว่ารัฐสภาได้ดำเนินการโดยชอบแล้ว เชื่อว่าหลังจากนั้นรัฐสภาคงจะดำเนินการให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุดต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นวันที่ 17 – 18 ส.ค. ทำให้เราอาจจะได้ ครม.ชุดใหม่ ช่วงปลายเดือนสิงหาคม ถึงกลางเดือนกันยายน ก่อนจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
“ หากไทม์ไลน์ต่าง ๆ เป็นเช่นนั้น ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลชุดใหม่คงจะต้องเร่งจัดทำงบประมาณประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อดึงกำลังซื้อและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะตรงกับไตรมาส 4 ที่เป็นฤดูการท่องเที่ยวของไทยที่หลายฝ่ายประเมินว่าจะเป็นจุดฟื้นของเศรษฐกิจในปีนี้” นายสนั่น กล่าว
นายสนั่น กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ศาลมีคำสั่งว่าการดำเนินการของรัฐสภาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และมีข้อวินิจฉัยเพิ่มเติมไปในแนวทางดังกล่าว ก็คงต้องรอความชัดเจนว่าจะส่งผลให้การเลือกนายกรัฐมนตรีจะมีทิศทางเป็นอย่างไรและมีช่วงเวลานานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องมาประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง แต่เชื่อมั่นว่าศาลท่านจะมีการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบและรวดเร็วที่สุด เพราะการมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศเร็วเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากในสถานการณ์เช่นนี้
นายสนั่น กล่าวถึงประเด็นที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้ยุติการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเองซึ่งอยู่ในระหว่างรวบรวมเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา นั้น หอการค้าฯ มองว่าส่วนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่จะต้องดำเนินกระบวนการตามกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ และหากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจนสำเร็จ ก็เชื่อว่าน่าจะสามารถเร่งดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจได้ทันที เพราะพรรคเพื่อไทยเคยมีประสบการณ์ในด้านการบริหารประเทศมาก่อนหน้านี้ และหลายนโยบายในสมัยที่เป็นรัฐบาลก็สามารถดำเนินการจนประสบความสำเร็จ
ส่วนประเด็นความเห็นต่างและการชุมนุมที่เกิดขึ้นถือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตย โดยหากไม่มีการชุมชนที่ยืดเยื้อหรือสถานการณ์ที่รุนแรงก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตได้ดีและเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย
“ วันนี้สถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในส่วนของภาคเอกชนนั้นไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็พร้อมทำงานร่วมกัน โดยที่ผ่านมาได้ส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องว่าสิ่งสำคัญคือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งล่าช้ายิ่งไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจประเทศ” นายสนั่นกล่าว
เมียหนี พ่อทุบหัวลูกสาว ป.4 จับผูกคอตายพร้อมกัน เพื่อหนีความยากจน
https://www.thairath.co.th/news/crime/2714774
สลด พ่อทุบหัวลูกสาววัย 10 ปี แล้วจับผูกคอหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหนีชีวิตความจน หลังเมียหนีไปมีผัวใหม่ ปล่อยให้ตัวเองกับลูกสาวอยู่แบบตายอดตายยาก และป่วยหอบหืด น้ำไฟถูกตัด ต้องงัดสังกะสีบ้านขาย เป็นค่าเรียนลูก โดยเพื่อนบ้านมาพบศพเริ่มเน่าเปื่อย
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 ส.ค.66 ร.ต.อ.สุริยา ลีนุรัตน์ รอง สว.สอบสวน สภ.หินเหล็กไฟ รับแจ้งพบศพคนผูกคอเสียชีวิต ที่บ้านสาวเอ้ ต.สาวเอ้ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัยสว่างจรรยาธรรมบุรีรัมย์ จุด อ.คูเมือง
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ยกสูง บ้านเลขที่ 201/2 ม.2 สาวเอ้ ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ลักษณะบ้านใช้สังกะสีทำเป็นฝาบ้าน บริเวณใต้ถุนบ้านซึ่งดัดแปลงเป็นห้องนอน พบศพ นายไพบูลย์ หรือ แอ๊ด โจมรัมย์ อายุ 31 ปี และ ด.ญ.มลชยา หรือน้องข้าว อายุ 10 ปี นักเรียนชั้น ป.4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ผูกคอติดกับตัวบ้านลักษณะศพหันหน้าเข้าหากัน สภาพศพเริ่มเน่าเปื่อย คาดเสียชีวิตมาประมาณ 3 วัน
ตรวจสอบโดยรอบไม่พบร่องรอยการรื้อทรัพย์สิน หรือร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด ตามร่างกายของนายแอ๊ด ไม่พบบาดแผลตามร่างกาย มีเพียง ด.ญ.ข้าว มีบาดแผลบริเวณศีรษะ คล้ายถูกของแข็งทุบ
สอบถาม นายสมบัติ สึมวิเศษ อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 ม.2 ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ คนเจอศพคนแรก เล่าว่า ก่อนที่จะมาพบศพ ได้กลิ่นเหม็นเน่าออกมาก่อน ประกอบกับไม่เห็นนายแอ๊ดมา 2-3 วัน จึงเดินไปดู พอเปิดประตูเข้ามาพบว่าทั้งสองผูกคอติดกัน จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบดังกล่าว
ส่วนสาเหตุเชื่อมามาจากความจน นายแอ๊ด อาศัยอยู่กับลูกสาวตามลำพังมาเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากภรรยาได้หนีไปมีสามีใหม่ ทิ้งให้นายแอ๊ดอยู่กับลูกสาว ชีวิตความเป็นอยู่ด้วยความลำบาก เพราะมีโรคประจำตัวคือโรคหอบหืด ไม่สามารถไปรับจ้างงานหนักได้ แต่ละวันจะต้องหาปู หาปลา มาเลี้ยงลูกสาว ถ้าหาปลาได้มากจะเอาไปขาย ได้เงินเอาไว้ให้ลูกสาวไปโรงเรียน หลายครั้งต้องไปงัดเอาสังกะสีหลังคาบ้านไปขาย หากไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน
เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา บ้านนายแอ๊ดถูกตัดน้ำตัดไฟ เพราะไม่มีเงินไปจ่าย จึงอยู่ในความมืดมาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา และเมื่อ 3 วันก่อน นายแอ๊ดเดินไปหาที่บ้าน มีลักษณะซึมไม่พูดจา ก่อนจะหายตัวไปทั้งสองคน สาเหตุส่วนตัวคาดว่า น่าจะเกิดจากภรรยาที่หนีไปมีสามีใหม่ และความจนที่บีบบังคับให้ต้องทำแบบนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะทำร้ายลูกก่อนแล้วจับผูกคอ ก่อนพ่อจะผูกคอตายตาม.