JJNY : 5in1 วีระย้อนส.ว.│ชาวนาผิดหวัง│อานนท์นัด‘คาร์ม็อบ’พรุ่งนี้│ห่วงก้าวไกล ขอเสนอชื่อพิธาอีกรอบ│Voxpop เสียงประชาชน

วีระ ย้อนส.ว. อ้างสารพัดไม่โหวตพิธา ทีประยุทธ์ ยึดอำนาจ-ฉีกรธน. ยกมือให้ท่วมท้นเลย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4081523
 
 
วีระ ย้อน ส.ว.อ้างสารพัดไม่โหวตพิธา ทีประยุทธ์ ยึดอำนาจ-ฉีก รธน. ยกมือให้ท่วมท้นเลย  
 
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น โพสต์ข้อเขียนเรื่อง “จะไม่ให้เชื่อว่า พวก ส.ว. ที่งดออกเสียง ไม่ได้มีความเป็นกลางทางการเมืองได้อย่างไร?” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความคิดเห็นกรณีที่ ส.ว.ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า

วันที่ 5 มิถุนายน 2562 ส.ว.เหล่านี้ จำนวน 249 คน โหวตเลือก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้อย่างไม่รู้สึกละอายแก่ใจใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าหัวหน้ากบฏประยุทธ์ เคยทำความผิดฐานเป็นกบฏต่อแผ่นดิน มีโทษตามความผิดอาญา มาตรา 113 ซึ่งมีโทษหนักกว่าโทษในความผิดอาญาตามมาตรา 112 ที่นำมาใช้กล่าวหาพิธา อย่างเทียบกันไม่ได้เลย ในครั้งนั้น บรรดา ส.ว. จำนวน 249 คน ไม่เห็นจะแสดงความรังเกียจผู้ที่เป็นกบฏแต่อย่างใด ส.ว.เหล่านั้น ไม่เห็นอ้างความเป็นกลางเช่นวันนี้ ทั้งๆ ที่ ส.ว.ส่วนใหญ่ก็ทราบดีว่า หัวหน้ากบฏประยุทธ์ ได้กระทำความผิดร้ายแรงโทษฐานเป็นกบฏ มีโทษสูงถึงประหารชีวิต (ตาม ป.อาญา มาตรา 113) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ด้วยการล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ทิ้ง
 
ทำให้เชื่อว่าบรรดา ส.ว.ที่พวกกบฏมันแต่งตั้งมา ต้องตอบแทนผู้มีอำนาจที่แต่งตั้งมา ด้วยการโหวตเลือกเอาหัวหน้ากบฏมาเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างท่วมท้น ทั้งๆ ที่หัวหน้ากบฏก็ไม่ได้ลงเลือกตั้ง ที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เลือก ไม่ได้ต้องการให้หัวหน้ากบฏเข้ามาให้เป็นนายกฯ
แต่มาปีนี้ 14 กรกฎาคม 2566 หลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ประชาชนจำนวนกว่า 14 ล้านเสียง เลือกพรรคก้าวไกล เพราะต้องการให้ พิธาเป็นนายกฯ แต่บรรดา ส.ว.เหล่านี้ กลับอ้างว่าไม่สามารถโหวตให้ พิธาเป็นนายกฯได้ โดยกล่าวหาว่า พิธาจะแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ทั้งๆ ที่ พิธายังทำไม่ได้เลย ยังทำไม่ได้แม้แต่จะเสนอแก้กฎหมายมาตรานี้เข้าสู่สภา ความผิดของพิธา ในกรณีนี้ก็ยังไม่ปรากฏ แต่ความความผิดของหัวหน้ากบฏประยุทธ์ ปรากฏชัดเจน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งโลกมาตั้งแต่ ปี 2557 บรรดา ส.ว.จำนวน 249 คน ยังเห็นชอบ โหวตให้ หัวหน้ากบฏเข้ามาเป็นนายกฯได้เลย
 
ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ จึงทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า มีการเลือกปฏิบัติ และเชื่อว่าบรรดา ส.ว.ส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นชอบให้ พิธาเป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่ พิธาเป็นผู้ที่ประชาชนเลือก เพื่อให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี พิธาผ่านการเลือกตั้งมาอย่างสง่างาม และที่สำคัญ พิธาไม่เคยมีประวัติเป็นกบฏล้มล้างการปกครองเหมือนกับหัวหน้ากบฏประยุทธ์แต่อย่างใด

ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงทำให้เชื่อว่าบรรดา ส.ว.ส่วนใหญ่ ไม่ได้เห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติและประชาชน แต่กลับเห็นแก่ผู้มีอำนาจบางคนที่แต่งตั้งพวกเขาเข้ามาเป็น ส.ว.ใช่หรือไม่?

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02G3mqXfvJpkmv5tVWWRBWfaXA29zzf1QSeYUnWRTnpbrhFF9vzN8Gq6Y1ZWKR7kU3l&id=100044423829531
 


ชาวนา ชี้เศรษฐกิจไม่ดี ยาเสพติดก็ยังระบาด ผิดหวัง ‘ผู้มีเกียรติ’ ในสภากลับนึกถึงแต่ตัวเอง
https://www.matichon.co.th/region/news_4081881

ชาวนา ชี้เศรษฐกิจไม่ดี ยาเสพติดก็ยังระบาด ผิดหวัง ‘ผู้มีเกียรติ’ นึกถึงแต่ตัวเอง
 
เสียงครวญจากชาวนาในจังหวัดกาฬสินธุ์ เรียกร้องไปยังนักการเมือง ทั้งสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่ามัวแต่ทะเลาะกันนึกถึงปากท้องชาวบ้านมากกว่าผลประโยชน์ รีบจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ระบุจะพรรคไหนเป็นแกนนำ หรือใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ แต่ต้องมีความ รู้ความสามารถ มีภาวะผู้นำทำให้ประเทศชาติเดินหน้าและแก้ไขปัญหาประเทศ โดยเฉพาะปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพง ราคาข้าวเปลือกตกต่ำและปัญหายาเสพติด

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพ ของประชาชนและกระแสการเมืองใน จ.กาฬสินธุ์ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกร ชาวนา พบว่ายังประสบปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพง และน้ำมันราคาสูง จึงอยากเรียกร้องไปถึงรัฐสภา และนักการเมือง ซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี รีบจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน และอยากให้คำนึงถึงหัวอกและความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ยังคงประสบปัญหาปุ๋ยเคมีราคาแพง ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ รวมทั้งประชาชนประสบปัญหายาเสพติด พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าพรรคการเมืองไหนเป็นแกนนำ หรือใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ แต่ต้องมีความ รู้ความสามารถ ทำให้ประเทศชาติเดินหน้า
 
นายธวัชชัย อายุ 57 ปี ชาวนาบ้านดอนยานาง หมู่ 7 ต.ดอนสมบูรณ์ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า เท่าที่ติดตามข่าวสารจากการโหวตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ก.ค.66 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ และกำหนดโหวตใหม่อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค.66 นี้

โดยส่วนตัวก็รู้สึกผิดหวังบ้าง ที่บรรยากาศการเมืองยังคาราคาซัง ทั้งๆที่การเลือกตั้ง ส.ส. ผ่านมาแล้วกว่า 2 เดือน แต่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ ทำให้อะไรๆเกิดประโยชน์กับประชาชน ดูเวิ้งว้าง ชาวนาก็เคว้งคว้าง ไม่มีหลักประกันในการประกอบอาชีพ เพราะยังเผชิญกับปัญหารอบด้าน เช่น ปุ๋ยเคมีราคาแพง  กระสอบละ 1,500 บาท น้ำมันแพงลิตรละเกือบ 40 บาท ซึ่งทั้ง 2 อย่างเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องใช้สำหรับบำรุงต้นข้าวและสูบน้ำ เพราะเวลาฝนตกลงมาเกิดภาวะน้ำท่วมก็ต้องสูบน้ำออก ขณะฝนทิ้งช่วงก็ต้องสูบน้ำหล่อเลี้ยงต้นข้าว ตนมีที่นา 18 ไร่ หมดเงินซื้อน้ำมันไปแล้วกว่า 2,000 บาท ขณะที่จ้างรถไถไร่ละ 600 บาท ถึงวันนี้ลงทุนไปแล้วกว่า 13,000 บาท นี่ยังไม่รวมค่าปุ๋ยเคมีและค่าเก็บเกี่ยว หากราคาข้าวเปลือกยังตกต่ำที่ ก.ก.ละ 5-7 บาท รับรองขาดทุนแน่นอน

นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า เมื่อราคาปุ๋ยเคมีและราคาน้ำมันยังแพงต่อเนื่อง ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาควบคุมราคา จึงพบว่าเพื่อนชาวนาบางคนปล่อยที่นาให้รกร้างไว้ บางคนลดพื้นที่ทำนาโดยปลูกพืชผักชนิดอื่นแทน เพราะไม่มีทุนทำนา บางรายประกาศขายที่นา ขณะที่หลายรายที่ลงมือทำนา โดยหว่านเมล็ดพันธุ์แล้ว จำเป็นต้องปล่อยต้นข้าวให้แห้งเฉาและกำลังจะตาย เนื่องจากไม่มีเงินซื้อปุ๋ยเคมี และไม่มีเงินซื้อน้ำมันสูบน้ำเข้าแปลงนา
 
ดังนั้น ตนในฐานะเกษตรกรขอสะท้อนปัญหาของชาวนาไปยังรัฐสภา ไปยังนักการเมืองทั้งหลายขออย่าได้หวังประโยชน์ทางการเมืองจนลืมความเดือดร้อนของประชาชน ให้รีบเร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะพรรคไหนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ แต่ขอให้มีความ รู้ความสามารถ มีภาวะผู้นำในการบริหารราชการแผ่นดิน นำพาประเทศเจริญก้าวหน้าและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะราคาปุ๋ยเคมี ราคาน้ำมัน ราคาข้าวเปลือก รวมทั้งปัญหายาเสพติดด้วย


 
อานนท์นัด ‘คาร์ม็อบ’ พรุ่งนี้! อนุสาวรีย์ปชต. เสิร์ฟ ‘ใบลาออก’ ให้ ส.ว.ถึงที่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4081971

อานนท์ เสิร์ฟถึงที่ นัด ‘คาร์ม็อบ’ อนุสาวรีย์ ปชต. เอาใบลาออกไปยื่นให้ ส.ว.
 
สืบเนื่องผลการโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย รอบแรก 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ ได้รับเสียงสนับสนุนจากที่ประชุมรัฐสภา (ส.ส.และ ส.ว.) ไม่เพียงพอ จากนโยบายแก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดย 324 เสียงในที่ประชุมเห็นชอบ แต่ยังขาดอีก 52 เสียงเพื่อให้เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 376 เสียง ท่ามกลางกระแสประณาม วิพากษ์วิจารณ์ ส.ว.และ กกต.โดยประชาชนในโลกโซเชียล ซึ่งจะมีการนัดชุมนุมจับตาการโหวตนายกฯ รอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ด้วยนั้น

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน หนึ่งในแกนนำราษฎร โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยนัดหมายชุมนุมคาร์ม็อบ #RespectMyVote ในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ค.) เพื่อนำใบลาออกไปมอบให้ ส.ว.
 
พรุ่งนี้ เติมน้ำมันรถท่านให้พร้อม เราจะคาร์ม็อบเอาใบลาออกไปยื่นให้ สว. ถึงที่ เมื่อไม่ทำหน้าที่ก็ออกไปซะ !!!
 
13.00 น. เจอกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน มอเตอร์ไซด์รบกวนทำธงมาด้วยนะครับ รถยนต์พร้อมป้ายตามสะดวก
 
เส้นทาง ราชดำเนิน-กองบัญชาการกองทัพบก-กองทัพเรือ-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-จบที่หอศิลป์ กทม.” นายอานนท์ระบุ
  
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0Ti7VGnFdonmpze3jx4McNNoKt2YFG4paWLhzrMLyaC6P369nLiyAqh53B1SvcL22l&id=100000942179021
 

 
ห่วงก้าวไกล ขอเสนอชื่อพิธาอีกรอบโหวตนายกฯ ถ้าแพ้ หมดโอกาสตั้งรัฐบาล
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7767466

“ภูมิธรรม”เผย “พิธา”ขอทดลองโหวตนายกรองสอง หากได้เสียงเท่าเดิม ก็ชัดเจนไปไม่รอด แต่เพื่อไทย พร้อมหนุน “พิธา”สุดความสามรถ ห่วงฝ่ายเสียงข้างน้อยลงแข่ง บวกส.ว. 250 ชนะแน่ เชื่อ “พิธา”พูดเปิดโอกาส เพื่อไทย ต้องการให้ปชช.เห็นว่ายังสู้อยู่
 
เมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าหากโหวตนายกฯรอบสองไม่ผ่าน จะเปิดทางให้พรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล ว่า ที่พูดมามีประเด็นเรื่อง 272 ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้มีการพูดคุยกันในการประชุมพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ซึ่งสรุปออกมาเหมือนกับว่าเราจะเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกันทั้งหมด
 
ยังเป็นความเข้าใจที่อาจจะคลาดเคลื่อนได้ เพราะที่ประชุมเจรจาสองพรรคยังมีความเห็นต่างๆสำหรับการที่จะขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไมาตรา 272 ว่าจะเป็นการปิดสวิซต์ส.ว.ซึ่งการคุยกันเมื่อวาน ต่างฝ่ายต่างยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน แม้ว่าเป้าหมายสำคัญที่เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้จะเหมือนกันก็ตาม เพราะจากการหารือ เราบอกว่าต่างกลับไปคิดแล้วค่อยกลับหารือร่วมกับ 8 พรรคในวันที่ 18 ก.ค. แล้วสองพรรคจึงสรุปร่วมกันอีกครั้งก่อนเข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 19 ก.ค. เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันทั้งหมดว่าจะเดินไปข้างหน้า
 
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ประเด็นเรื่องมาตรา 272 ที่หารือกันนั้น ความเห็นของพรรคเพื่อไทยคือ ยังมองว่าข้อเสนอของพรรคก้าวไกลที่จะทำเรื่องนี้ ไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนว่าจะทำไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะประเด็นนี้เราเห็น ชัดเจนอยู่แล้วว่าเสนอไปคำตอบข้างหน้าคืออะไร เพราะการเสนอปิดสวิซต์ ส.ว. ทำได้เพียงแค่เป็นสัญญาลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อให้สังคมรู้ว่า ส.ว.เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไข
รัฐธรรมนูญ
 
ซึ่งสังคมก็รับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทยได้เสนอแก้ไขมาตรา 272 ต่อรัฐสภาถึง 2 ครั้ง แล้วก็ไม่สำเร็จ เพราะเงื่อนไขของความสำเร็จคือต้องได้ เสียงจากรัฐสภา และต้องได้เสียง 20 เปอร์เซนต์จากฝ่ายค้าน และต้องได้รับเสียง จากส.ว. 86 เสียง ซึ่งการเลือกนายพิธา เป็นนายกฯคราวนี้ ที่พรรคก้าวไกลยืนยันว่าจะได้เสียงเยอะ แต่เสียงที่ออกมามี ส.ว.เพียงแค่ 13 เสียงเท่านั้น ทั้งๆ ที่ต้องหาถึง 64 เสียงยังหาไม่ได้ เพราะ ฉะนั้น 86 เสียงยิ่งเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก
 
ดังนั้น การที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้มาตรา 272 รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ไม่ได้ จึงต้องชัดเจนว่าเสนอเพื่อจะให้เกิดประะโยชน์อะไร ทั้งๆ ที่ขณะนี้ ความจำเป็นก่อนอันอื่นคือต้องมาหาทางออกเรื่องว่าตั้งรัฐบาลให้ได้อย่างไร จะหานายกฯ คนไหนไปเสนอเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากรัฐสภาทั้งสภา นี่คือประเด็นที่เราเสนอว่าควรจะ ต้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่