ม็อบผุดเพิ่มทั่วไทย! แสดงจุดยืนหลัง กกต.ส่งศาล รธน.ฟัน ‘พิธา’ พ้น ส.ส.ปมถือหุ้นไอทีวี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4076656
ม็อบผุดเพิ่มทั่วไทย! แสดงจุดยืนหลัง กกต.ส่งศาล รธน.ฟัน ‘พิธา’ พ้น ส.ส.ปมถือหุ้นไอทีวี
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารเผยแพร่ผลการประชุม กกต. ซึ่งมีมติ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)
ต่อมาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ลงรับคำร้องในทางธุรการและจะนำเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 49 ต่อไป
ขณะที่กลุ่มนักกิจกรรมกลุ่มต่างๆ นัดแสดงจุดยืนวันนี้ เพื่อขอต่อสู้เคียงประชาธิปไตย อาทิ กลุ่ม Surin Movement นัดรวมตัวเวลา 16.00 น.นี้, กลุ่มมุกดาหารและการชุมนุม เวลา 16.00 น., กลุ่ม KoratMovement เวลา 16.30 น. และกลุ่มแนวร่วมเสรีกาญจน์ เพื่อประชาธิปไตย เวลา 17.00 น. นั้น
ล่าสุด วันที่ 12 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีการนัดหมายชุมนุมหลายจุดทั่วประเทศไทย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาทิ ที่หน้าคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี โดยกลุ่มคบเพลิง เวลา 18.00 น., ที่อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ จ.สุรินทร์ โดยกลุ่ม Surin Movement เวลา 16.00 น., ชาวสารคาม พบกันเวลา 17.00 น.เป็นต้นไป ณ ล้านหน้าวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส)
93 สหภาพแรงงาน เรียกร้อง ส.ว.โหวต ‘พิธา’ เป็นนายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4077011
93 สหภาพแรงงาน เรียกร้อง ส.ว.โหวต ‘พิธา’ เป็นนายกฯ
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม สหภาพแรงงาน จำนวน 93 สหภาพ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว. โหวต นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
พวกเราแรงงานจากสหภาพแรงงาน ในฐานะประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย ขอแสดงจุดยืนเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส.และส.ว. สนับสนุนตัวแทนจากพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ในสภาผู้แทนราษฎรเป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลได้ตามหลักการประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ในจำนวน 93 สหภาพแรงงาน ประกอบด้วยคนทำงานจากหลากหลายวงการ อาทิ สหภาพแรงงานสร้างสรรค์ สหภาพพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาล สหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน สหภาพไรเดอร์ สมาพันธ์แรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) สภาองค์การลูกจ้างอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สหพันธ์แรงงานชิ้นส่วนยานยนต์แห่งประเทศไทย สมัชชาคนจน สหภาพเภสัชผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก เป็นต้น
ชญาภา สับรัฐบาลประยุทธ์ นิ่งเฉยคืนความยุติธรรมเหยื่อสลายชุมนุม 53
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7761590
ชญาภา สับรัฐบาลประยุทธ์ นิ่งเฉยคืนความยุติธรรมเหยื่อสลายชุมนุม 53 จี้ไถ่โทษส่งสัญญาณ สว.คืน ปชต.เปิดทางตั้ง รบ. บี้คืนบ้านหลวงได้แล้ว
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. น.ส.
ชญาภา สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ประกาศวางมือทางการเมืองและลาออกสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า
กว่าพล.อ.
ประยุทธ์จะรู้สึกตัวว่าต้องลงจากอำนาจก็ใช้เวลานานกว่า 9 ปี ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้ประเทศและพี่น้องประชาชนมหาศาล ความจริงแล้วพล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรเข้าสู่การเมืองตั้งแต่เเรกด้วยการรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตยจนประเทศเสียหายยับเยิน ข้ออ้างในการทำรัฐประหารว่าเป็นการกระทำเพื่อคืนความสุขให้คนไทยและปฏิรูปประเทศนั้น ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา พล.อ.
ประยุทธ์บริหารประเทศล้มเหลวทุกด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ซ้ำร้ายยังเกิดการบิดเบือนกติกาประชาธิปไตย สร้างกลไกในการสืบทอดอำนาจ ก่อวิกฤตการเมือง วิกฤตความขัดแย้ง สิทธิ์และเสียงของพี่น้องประชาชนถูกทำลาย กระทบจนถึงการเลือกตั้งในปัจจุบัน ที่พี่น้องประชาชนเลือกตั้งมาแล้ว ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยได้ตามเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชน
น.ส.
ชญาภา กล่าวว่า ที่สำคัญการรัฐประหาร 2557 ที่นำโดย พล.อ.
ประยุทธ์ยังถูกครหาว่าเชื่อมโยงกับการทำ เพื่อช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งสลายการชุมนุมของประชาชนคนเสื้อแดงในปี 2553 ด้วยหรือไม่ เพราะหลังจากนาย
ธาริตเปิดเผยข้อมูลการข่มขู่ไม่ให้ดำเนินคดีสลายการชุมนุม จากนายทหารใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร พล.อ.
ประยุทธ์ก็ไม่กล้าชี้แจงข้อเท็จจริงใดๆ อ้างเพียงว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งน่าสังเกตว่าหลังรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา การดำเนินคดีสั่งให้สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553 ที่กำลังมีความคืบหน้าในยุครัฐบาลเพื่อไทย ที่นำโดยน.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องสะดุดหยุดลง จนพูดได้ว่ากว่า 9 ปีภายใต้รัฐบาลพล.อ.
ประยุทธ์ คดีของคนเสื้อแดงไม่เคยได้เข้าใกล้ความยุติธรรมใดๆ เลย ชัดเจนว่ารัฐบาลประยุทธ์ก็นิ่งเฉยต่อการสร้างความยุติธรรมให้ประชาชน
“
พล.อ.ประยุทธ์ต้องชดใช้ความเสียหายที่ทำไว้กับประเทศตลอดระยะเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา ไถ่โทษด้วยการส่งสัญญาณไปถึง ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของพล.อ.ประยุทธ์ ให้เลิกทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน เปิดทางให้รัฐบาลประชาธิปไตยได้บริหารประเทศตามเจตจำนงประชาชน ให้รัฐบาลใหม่จัดตั้งได้โดยเร็วที่สุด เพื่อเข้ามาแก้ไขวิกฤตประเทศที่รัฐบาลประยุทธ์ทิ้งเอาไว้ รวมทั้งขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้ตัดสินใจวางมือทางการเมือง ก็ขอให้วางกุญแจบ้านหลวง คืนบ้านหลวงที่ครอบครองมานานเสียทีเพื่อให้บ้านหลวงกลับมาเป็นทรัพย์สินของราชการ และถูกใช้เพื่อประโยชน์ในทางราชการอย่างแท้จริง” น.ส.
ชญาภา กล่าว
‘วิญญัติ’ ชี้ศาลระบุผู้ชุมนุมปี53ตายด้วยกระสุนเจ้าหน้าที่-จี้รัฐบาล-สภาชุดใหม่สางต่อ
https://www.dailynews.co.th/news/2524951/
"ทนายวิญญัติ" ยกการไต่สวนของศาล ยืนยันผู้ชุมนุมปี 53 ตายด้วยกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่รัฐ ย้ำประชาชนกังขากรณีคดี "ธาริต" จี้รัฐบาล-สภาชุดใหม่ หยิบเรื่องนี้มาสางต่ออย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. นาย
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายด้านสิทธิมนุษยชน และเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ระบุว่า คดีที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 53 มีกระบวนการที่ทำให้เห็นว่าไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากมีกระบวนการทั้งศาลและ ป.ป.ช. เข้ามา โดย 2 ส่วนนี้ทำให้ญาติของผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเขารอคำตอบอยู่ เนื่องจากการสลายการชุมนุมปี 53 เกิดจากการสั่งการ หรือการอนุมัติให้ใช้กองกำลังของกองทัพซึ่งเป็นทหาร เมื่อทหารได้รับมอบหมายและได้นำกำลังพล รวมทั้งอาวุธสงคราม โดยเฉพาะอาวุธปืนประจำกายที่บรรจุกระสุนปืนจริงมาใช้แก้ไขปัญหา ย่อมทำให้มีสถานการณ์ทั้งเฉพาะหน้า และสถานการณ์ที่จงใจทำให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตายของประชาชนเกิดขึ้น
นาย
วิญญัติ กล่าวว่า สิ่งที่พูดมีหลักฐานยืนยันได้จากการไต่สวนการตายของผู้ที่เสียชีวิตในการชุมนุม ทั้งจากศาลอาญา และศาลอาญากรุงเทพใต้ ทั้ง 2 ศาลได้มีการไต่สวน และชี้ว่าเป็นการตายที่เกิดจากกระสุนความเร็วสูง ซึ่งมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยกระสุนดังกล่าวมีขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งไม่ใช่กระสุนที่พลเรือน หรือประชาชนทั่วไปจะใช้ได้ และใช้อยู่ในวงราชการทหารเท่านั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำ และชี้ชัดว่า อาวุธที่ทหารนำมาใช้จัดการกับสถานการณ์นั้น เกินสมควรกว่าเหตุ
ดังนั้นเมื่อเกินกว่าเหตุเช่นนี้ การดำเนินการกับคนที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนกลางกรุงกว่า 99 ศพ และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน จึงสะดุดอยู่เท่านี้ นี่คือคำถามของญาติ และผู้ที่เฝ้าติดตาม เมื่อเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้โปร่งใส ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง มาสะดุดอยู่ที่ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่มีอำนาจในการสอบสวน
ส่วนกรณีของนาย
ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ที่ถูกตัดสินว่าการดำเนินการสอบสวนเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซ้ำยังถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สั่งการให้ใช้ทหารไปจัดการฟ้องกลับ คำถามมากมายจึงเกิดขึ้นกับคนในสังคม ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า เหตุใดคนที่เป็นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการสั่งการทหารกลับถูกดำเนินคดี และติดคุกเสียเอง แต่อีกฝั่งที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังทหาร จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย กลับไม่ถูกดำเนินคดีอย่างเต็มรูปแบบและตรงไปตรงมา เรื่องนี้ควรได้รับการสะสางอย่างเป็นรูปธรรม และโปร่งใสจริงๆ หรือไม่
“
คาดหวังว่ากระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใหม่ หรือฝ่ายนิติบัญญัติที่เข้ามาใหม่ก็ตาม ควรหาช่อง หรือวิธีการในการตั้งคณะทำงาน หรือคณะกรรมการใดๆ ก็ตามมาตรวจสอบ ไต่สวนและพิจารณาคดีนี้อีกครั้ง” นาย
วิญญัติ กล่าว
JJNY : 5in1 ม็อบเพิ่มทั่วไทย!│93สหภาพแรงงานร้องส.ว.│ชญาภาสับประยุทธ์│‘วิญญัติ’ชี้ศาลระบุ│‘ประจักษ์’ลั่นประเทศเราไม่ปกติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4076656
ม็อบผุดเพิ่มทั่วไทย! แสดงจุดยืนหลัง กกต.ส่งศาล รธน.ฟัน ‘พิธา’ พ้น ส.ส.ปมถือหุ้นไอทีวี
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารเผยแพร่ผลการประชุม กกต. ซึ่งมีมติ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)
ต่อมาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ลงรับคำร้องในทางธุรการและจะนำเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 49 ต่อไป
ขณะที่กลุ่มนักกิจกรรมกลุ่มต่างๆ นัดแสดงจุดยืนวันนี้ เพื่อขอต่อสู้เคียงประชาธิปไตย อาทิ กลุ่ม Surin Movement นัดรวมตัวเวลา 16.00 น.นี้, กลุ่มมุกดาหารและการชุมนุม เวลา 16.00 น., กลุ่ม KoratMovement เวลา 16.30 น. และกลุ่มแนวร่วมเสรีกาญจน์ เพื่อประชาธิปไตย เวลา 17.00 น. นั้น
ล่าสุด วันที่ 12 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีการนัดหมายชุมนุมหลายจุดทั่วประเทศไทย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาทิ ที่หน้าคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี โดยกลุ่มคบเพลิง เวลา 18.00 น., ที่อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ จ.สุรินทร์ โดยกลุ่ม Surin Movement เวลา 16.00 น., ชาวสารคาม พบกันเวลา 17.00 น.เป็นต้นไป ณ ล้านหน้าวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส)
93 สหภาพแรงงาน เรียกร้อง ส.ว.โหวต ‘พิธา’ เป็นนายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4077011
93 สหภาพแรงงาน เรียกร้อง ส.ว.โหวต ‘พิธา’ เป็นนายกฯ
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม สหภาพแรงงาน จำนวน 93 สหภาพ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว. โหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
พวกเราแรงงานจากสหภาพแรงงาน ในฐานะประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย ขอแสดงจุดยืนเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส.และส.ว. สนับสนุนตัวแทนจากพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ในสภาผู้แทนราษฎรเป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลได้ตามหลักการประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ในจำนวน 93 สหภาพแรงงาน ประกอบด้วยคนทำงานจากหลากหลายวงการ อาทิ สหภาพแรงงานสร้างสรรค์ สหภาพพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาล สหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน สหภาพไรเดอร์ สมาพันธ์แรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) สภาองค์การลูกจ้างอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สหพันธ์แรงงานชิ้นส่วนยานยนต์แห่งประเทศไทย สมัชชาคนจน สหภาพเภสัชผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก เป็นต้น
ชญาภา สับรัฐบาลประยุทธ์ นิ่งเฉยคืนความยุติธรรมเหยื่อสลายชุมนุม 53
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7761590
ชญาภา สับรัฐบาลประยุทธ์ นิ่งเฉยคืนความยุติธรรมเหยื่อสลายชุมนุม 53 จี้ไถ่โทษส่งสัญญาณ สว.คืน ปชต.เปิดทางตั้ง รบ. บี้คืนบ้านหลวงได้แล้ว
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. น.ส.ชญาภา สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ประกาศวางมือทางการเมืองและลาออกสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า
กว่าพล.อ.ประยุทธ์จะรู้สึกตัวว่าต้องลงจากอำนาจก็ใช้เวลานานกว่า 9 ปี ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้ประเทศและพี่น้องประชาชนมหาศาล ความจริงแล้วพล.อ.ประยุทธ์ไม่ควรเข้าสู่การเมืองตั้งแต่เเรกด้วยการรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตยจนประเทศเสียหายยับเยิน ข้ออ้างในการทำรัฐประหารว่าเป็นการกระทำเพื่อคืนความสุขให้คนไทยและปฏิรูปประเทศนั้น ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศล้มเหลวทุกด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ซ้ำร้ายยังเกิดการบิดเบือนกติกาประชาธิปไตย สร้างกลไกในการสืบทอดอำนาจ ก่อวิกฤตการเมือง วิกฤตความขัดแย้ง สิทธิ์และเสียงของพี่น้องประชาชนถูกทำลาย กระทบจนถึงการเลือกตั้งในปัจจุบัน ที่พี่น้องประชาชนเลือกตั้งมาแล้ว ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยได้ตามเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชน
น.ส.ชญาภา กล่าวว่า ที่สำคัญการรัฐประหาร 2557 ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ยังถูกครหาว่าเชื่อมโยงกับการทำ เพื่อช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งสลายการชุมนุมของประชาชนคนเสื้อแดงในปี 2553 ด้วยหรือไม่ เพราะหลังจากนายธาริตเปิดเผยข้อมูลการข่มขู่ไม่ให้ดำเนินคดีสลายการชุมนุม จากนายทหารใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่กล้าชี้แจงข้อเท็จจริงใดๆ อ้างเพียงว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งน่าสังเกตว่าหลังรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา การดำเนินคดีสั่งให้สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553 ที่กำลังมีความคืบหน้าในยุครัฐบาลเพื่อไทย ที่นำโดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องสะดุดหยุดลง จนพูดได้ว่ากว่า 9 ปีภายใต้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ คดีของคนเสื้อแดงไม่เคยได้เข้าใกล้ความยุติธรรมใดๆ เลย ชัดเจนว่ารัฐบาลประยุทธ์ก็นิ่งเฉยต่อการสร้างความยุติธรรมให้ประชาชน
“พล.อ.ประยุทธ์ต้องชดใช้ความเสียหายที่ทำไว้กับประเทศตลอดระยะเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา ไถ่โทษด้วยการส่งสัญญาณไปถึง ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของพล.อ.ประยุทธ์ ให้เลิกทำตัวเป็นอุปสรรคต่อการคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน เปิดทางให้รัฐบาลประชาธิปไตยได้บริหารประเทศตามเจตจำนงประชาชน ให้รัฐบาลใหม่จัดตั้งได้โดยเร็วที่สุด เพื่อเข้ามาแก้ไขวิกฤตประเทศที่รัฐบาลประยุทธ์ทิ้งเอาไว้ รวมทั้งขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้ตัดสินใจวางมือทางการเมือง ก็ขอให้วางกุญแจบ้านหลวง คืนบ้านหลวงที่ครอบครองมานานเสียทีเพื่อให้บ้านหลวงกลับมาเป็นทรัพย์สินของราชการ และถูกใช้เพื่อประโยชน์ในทางราชการอย่างแท้จริง” น.ส.ชญาภา กล่าว
‘วิญญัติ’ ชี้ศาลระบุผู้ชุมนุมปี53ตายด้วยกระสุนเจ้าหน้าที่-จี้รัฐบาล-สภาชุดใหม่สางต่อ
https://www.dailynews.co.th/news/2524951/
"ทนายวิญญัติ" ยกการไต่สวนของศาล ยืนยันผู้ชุมนุมปี 53 ตายด้วยกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่รัฐ ย้ำประชาชนกังขากรณีคดี "ธาริต" จี้รัฐบาล-สภาชุดใหม่ หยิบเรื่องนี้มาสางต่ออย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายด้านสิทธิมนุษยชน และเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ระบุว่า คดีที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 53 มีกระบวนการที่ทำให้เห็นว่าไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากมีกระบวนการทั้งศาลและ ป.ป.ช. เข้ามา โดย 2 ส่วนนี้ทำให้ญาติของผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเขารอคำตอบอยู่ เนื่องจากการสลายการชุมนุมปี 53 เกิดจากการสั่งการ หรือการอนุมัติให้ใช้กองกำลังของกองทัพซึ่งเป็นทหาร เมื่อทหารได้รับมอบหมายและได้นำกำลังพล รวมทั้งอาวุธสงคราม โดยเฉพาะอาวุธปืนประจำกายที่บรรจุกระสุนปืนจริงมาใช้แก้ไขปัญหา ย่อมทำให้มีสถานการณ์ทั้งเฉพาะหน้า และสถานการณ์ที่จงใจทำให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตายของประชาชนเกิดขึ้น
นายวิญญัติ กล่าวว่า สิ่งที่พูดมีหลักฐานยืนยันได้จากการไต่สวนการตายของผู้ที่เสียชีวิตในการชุมนุม ทั้งจากศาลอาญา และศาลอาญากรุงเทพใต้ ทั้ง 2 ศาลได้มีการไต่สวน และชี้ว่าเป็นการตายที่เกิดจากกระสุนความเร็วสูง ซึ่งมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยกระสุนดังกล่าวมีขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งไม่ใช่กระสุนที่พลเรือน หรือประชาชนทั่วไปจะใช้ได้ และใช้อยู่ในวงราชการทหารเท่านั้น ยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำ และชี้ชัดว่า อาวุธที่ทหารนำมาใช้จัดการกับสถานการณ์นั้น เกินสมควรกว่าเหตุ
ดังนั้นเมื่อเกินกว่าเหตุเช่นนี้ การดำเนินการกับคนที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนกลางกรุงกว่า 99 ศพ และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน จึงสะดุดอยู่เท่านี้ นี่คือคำถามของญาติ และผู้ที่เฝ้าติดตาม เมื่อเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ เพราะกระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้โปร่งใส ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง มาสะดุดอยู่ที่ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่มีอำนาจในการสอบสวน
ส่วนกรณีของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ที่ถูกตัดสินว่าการดำเนินการสอบสวนเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซ้ำยังถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สั่งการให้ใช้ทหารไปจัดการฟ้องกลับ คำถามมากมายจึงเกิดขึ้นกับคนในสังคม ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า เหตุใดคนที่เป็นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการสั่งการทหารกลับถูกดำเนินคดี และติดคุกเสียเอง แต่อีกฝั่งที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังทหาร จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย กลับไม่ถูกดำเนินคดีอย่างเต็มรูปแบบและตรงไปตรงมา เรื่องนี้ควรได้รับการสะสางอย่างเป็นรูปธรรม และโปร่งใสจริงๆ หรือไม่
“คาดหวังว่ากระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใหม่ หรือฝ่ายนิติบัญญัติที่เข้ามาใหม่ก็ตาม ควรหาช่อง หรือวิธีการในการตั้งคณะทำงาน หรือคณะกรรมการใดๆ ก็ตามมาตรวจสอบ ไต่สวนและพิจารณาคดีนี้อีกครั้ง” นายวิญญัติ กล่าว