‘กิตติรัตน์’ ย้ำ ‘เพื่อไทย’ เยียวยาผู้ชุมนุมการเมืองทุกสี!ไม่นิ่งเฉยเรื่องคดี
https://www.dailynews.co.th/news/2516651/
"กิตติรัตน์" เผยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในอดีต เยียวยาผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกสีเสื้อ ไม่ได้นิ่งเฉยละเลยเรื่องคดีกับผู้กระทำต่อผู้ชุมนุมอย่างขาดมนุษยธรรม อย่างที่ถูกป้ายสี.
ควันหลงกรณีนาย
ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาแถลงถึงการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมกลุ่มนปช. เมื่อปี 53 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ บาดเจ็บกว่า 2 พันคน แต่ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บยังไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากคดียังไม่ไปถึงไหน หลังจากมีการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพ.ค.57 เป็นต้นมา
เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 นาย
กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า
รัฐบาลเพื่อไทย 2554-2557
1. เยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากความขัดแย้งทางการเมืองจนครบถ้วน ทุกฝ่าย ทุกสี (ไม่ใช่เพียงเสื้อแดงตามที่ถูก “ป้ายสี”)
2. ดำเนินคดีด้วยกระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมากับผู้กระทำต่อผู้ชุมนุมอย่างขาดมนุษยธรรม (ไม่ได้นิ่งเฉยละเลยอย่างที่ถูก “ป้ายสี”)
เข้าใจรึยัง ?
https://www.facebook.com/kittirattnofficial/posts/pfbid0EHmYYV94buqikkYR73YVNdw2wxoh69bLHd8f9MqB4nCwDA3fuaMqBrsRy7MZoHMxl
อดิศร ยืนยัน ‘พท.-ก.ก.’ ยังเหนียวแน่นเหมือนข้าวต้มมัด ชี้ ‘พิธา’ เหมาะเป็นนายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4071263
อดิศร ส.ส.พรรคเพื่อไทยยืนยัน ‘พท.-ก.ก.’ ยังเหนียวแน่นเหมือนข้าวต้มมัด ชี้ ‘พิธา’ เหมาะเป็นนายกฯ
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่จังหวัดขอนแก่น นาย
อดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคก้าวไกล (ก.ก.) รวมทั้งความพร้อมในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า พรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ซึ่งเรียกว่าฝ่ายประชาธิปไตยมัดกันเป็นข้าวต้มมัด โดยเฉพาะพรรค พท.กับพรรค ก.ก.มีประชาชนเหมือนตอกไม้ไผ่ซึ่งทั้งสองพรรคจะต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดาพรรคที่ไม่ได้เสียงเกินครึ่งไม่ถึง 250 เสียงแต่ทั้งสองพรรคทำ MOU กันได้ 312 เสียง ยืนยันว่าจะไม่มีการแตกเสียงกัน อย่างที่ผ่านมาที่มีการเลือกประธานสภา ทุกคนก็ได้ลงเสียงเดียวกันที่เลือก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา โดยนายพิธาเป็นคนหนุ่มอายุ 42 ปี ได้รับการเลือกจากประชาชนที่จะให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ที่ผ่านมาคนไทยขาดคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศมานานกว่า 10 ปี ประเทศไทยต้องเสียโอกาสและเศรษฐกิจของประเทศไม่ดี การที่นาย
พิธาจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีถือว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่มีเสียง ส.ส. 141 เสียง
นาย
อดิศรกล่าวว่า วันที่ 13 ก.ค. มีประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 โดยรัฐสภามีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กับสภาผู้แทนราษฎรรวม 750 คน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เรียกได้ว่าเลวร้ายมากที่สุด เพราะให้ ส.ว.มาเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งตนมีการพูดคุยกับ ส.ว.บางคนแล้ว โดยอยากให้ ส.ว.ทุกคนเคารพถึงประชาชนที่ได้มีการเลือกตั้ง ส.ส.เข้ามา ส.ว.จึงจะได้รับความน่าเชื่อถือจากพี่น้องประชาชนแม้ว่ายังมี ส.ว.บางคนที่ให้เหตุผลจะไม่เลือกนาย
พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่มีความชอบส่วนตัว โดยตนยกมือไหว้พร้อมบอกว่า ส.ว.เป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะควรไม่ต้องตั้งข้อสงสัยอะไรมากมาย เพราะประชาชนตัดสินไปแล้ว อย่าไปสวนทาง เพราะผู้พิพากษาที่ตัดสินไปก็คือประชาชน ท่านจะมาทำตัวใหญ่กว่าประชาชนไม่ได้ หากทำตัวใหญ่กว่าประชาชน เชื่อได้เลยว่า ส.ว.จะไม่มีที่อยู่
นาย
อดิศรกล่าวต่อว่า หวังว่า ส.ว.จะเห็นแก่การเติบโตของระบอบประชาธิปไตย เพราะ ส.ว.ทั้ง 250 คนนั้นไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยเชื่อว่า ส.ว.หลายคนที่รู้จักเป็นเพื่อนกัน ซึ่งติดใจเรื่อง ม.112 ทำให้ทาง ส.ว.จะเลือกนายพิธาโดยไม่มีเงื่อนไข โดยนาย
พิธาจะต้องมีการไปตอบคำถามเรื่อง ม.112 ให้ได้ซึ่งในเร็วๆ นี้จะมีการชุมนุมของ FC พรรคก้าวไกลที่เซ็นทรัลเวิลด์จะส่งผลสร้างความพอใจให้กับ ส.ว.หรือ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องของทางพรรคก้าวไกลเพราะต่อไปก็คือการที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งจบไปแล้วแต่ลากตั้งไม่จบ ตนได้แต่หวังว่าบ้านเมืองจะต้องเดินหน้าไปเสียทีเพราะประชาชนหวังว่าอยากมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะที่ผ่านมาต้องทนการบริหารงานของ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากว่า 10 ปี ขณะนี้ถึงเวลาปลดโซ่ตรวนซึ่งประชาชนได้ตัดสินไปแล้ว
ส.ว.อำพล พร้อมโหวตนายกฯ ย้ำทำหน้าที่แบบ ‘ไม่ตั้งตนเป็นใหญ่ ไม่ขวางเสียงประชาชน’
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4071112
ส.ว.อำพล พร้อมโหวตนายกฯ ย้ำทำหน้าที่แบบ ‘ไม่ตั้งตนเป็นใหญ่ ไม่ขวางเสียงประชาชน’
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม นพ.
อำพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก อำพล จินดาวัฒนะ ข้อความระบุว่า
“พร้อมโหวตนายกฯ”
วันพฤหัสที่ 13 ก.ค.66 ที่จะถึงนี้ มีนัดประชุมรัฐสภา (ส.ส.+ส.ว.) เพื่อโหวตเลือก นรม. ผมเตรียมโหวตให้คนที่พรรคการเมืองรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนฯเสนอชื่อ เพื่อให้เข้าไปเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากบริหารประเทศต่อไป
ใช้เหตุผลเดียวกันกับที่เคยใช้ตอนโหวตเลือก นรม. (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อปี 62
จะกลับกลิ้งเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ประวัติศาสตร์จะจารึกและบันทึกไว้ครับ
ที่จริงผมก็ไม่อยากใช้อำนาจตามบทเฉพาะกาล ม.272 นี้ แต่เมื่อหน้าที่นี้ยังมีอยู่ ก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อไป เพื่อให้กลไกและกติกาตามรธน.ที่ใช้อยู่เดินหน้าไปได้
โดยจะทำหน้าที่แบบ “ไม่ตั้งตนเป็นใหญ่” ไม่หาเหตุผลใดๆ มาอ้างเพื่อขวางเสียงประชาชน
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามเสนอแก้ไขหน้าที่และอำนาจนี้ หรือที่เรียกว่า “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ด้วยมองว่า ส.ว.ไม่ควรมีหน้าที่และอำนาจเลือก นรม. เพราะไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง ควรเป็นหน้าที่และอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเท่านั้น ซึ่งผมเห็นด้วย
ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการขอแก้ไข ผมจึงโหวตเห็นด้วยให้ปิดสวิตช์ ส.ว. แต่เสียง ส.ว. เห็นด้วยไม่ถึง 1 ใน 3 (ไม่ถึง 84 เสียง) คือเสียง ส.ว.ส่วนใหญ่ยังไม่ต้องการให้ปิดสวิตช์
มาตรา 272 จึงยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ (=สวิตช์ยังเปิดอยู่) ถ้าจะอ้างปิดสวิตช์ตอนนี้ ก็จะเท่ากับอ้างเพื่อไม่ทำหน้าที่ และกลายเป็นการขัดขาคนที่ถูกเสนอชื่อเป็น นรม.
บันทึก ส.ว.(763)
ส.ว.หมออำพล: 9 ก.ค.66
รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สั่งปลดชุดปฏิบัติงาน-เตือนผู้ควบคุมงาน หลังสะเก็ดไฟร่วงถนน
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7756406
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สั่งชุดปฏิบัติงานพ้นหน้าที่ทันที พร้อมออกใบเตือนผู้คุมงาน หลังสะเก็ดไฟร่วงถนนบางกะปิ ระหว่างก่อสร้าง ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
กรณีที่มีผู้ใช้ TIKTOK ชื่อ
snhimm เผยแพร่คลิปวิดีโอ กรณีพบสะเก็ดไฟตกลงมาจากบริเวณใต้สะพานข้ามแยกบางกะปิ บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางกะปิ ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใดๆ นั้น
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองชี้แจงว่า จากการตรวจสอบเหตุการณ์ข้างต้น พบว่าสะเก็ดไฟดังกล่าวเกิดจากการเชื่อมเหล็กขอบสะพานข้ามแยกบางกะปิ ในโครงการปรับปรุงสะพานข้ามแยกบางกะปิ-เสรีไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
ทั้งนี้ โครงการพิจารณาลงโทษส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้ปฏิบัติงานชุดดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่โดยทันที พร้อมทั้งออกใบเตือนผู้ควบคุมงานที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในพื้นที่ก่อสร้างของโครงการ จนทำให้เกิดผลกระทบแก่ผู้สัญจรบนท้องถนน และเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีก
โดยเฉพาะในส่วนของการดำเนินงานเชื่อมเหล็กขอบสะพานข้ามแยกบางกะปินั้น จะต้องมีอุปกรณ์ป้องกันในระหว่างดำเนินงาน โดยใช้ผ้าใบกันสะเก็ดไฟและทำถาดรองกั้นสะเก็ดไฟตกหล่น รวมถึงให้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย (Safety) เพื่อคอยตรวจสอบ และกวดขันการทำงานให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในการก่อสร้างอย่างเข้มงวดและจริงจัง
สำหรับการปรับปรุงสะพานข้ามแยกบางกะปิ ตามแผนงาน มีกำหนดแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนใช้งาน ฝั่งขาออกในเดือนสิงหาคม 2566 และฝั่งขาเข้าในเดือนกันยายน 2566
ที่มา
มติชนออนไลน์
JJNY : 5in1 ‘เพื่อไทย’เยียวยาทุกสี!│ยัน‘พท.-ก.ก.’ยังเหนียว│ส.ว.อำพลพร้อมโหวต│สายเหลืองสั่งปลด│พันธมิตรรุมค้านสหรัฐฯ
https://www.dailynews.co.th/news/2516651/
"กิตติรัตน์" เผยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในอดีต เยียวยาผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกสีเสื้อ ไม่ได้นิ่งเฉยละเลยเรื่องคดีกับผู้กระทำต่อผู้ชุมนุมอย่างขาดมนุษยธรรม อย่างที่ถูกป้ายสี.
ควันหลงกรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาแถลงถึงการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมกลุ่มนปช. เมื่อปี 53 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 99 ศพ บาดเจ็บกว่า 2 พันคน แต่ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บยังไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากคดียังไม่ไปถึงไหน หลังจากมีการทำรัฐประหารเมื่อเดือนพ.ค.57 เป็นต้นมา
เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า
รัฐบาลเพื่อไทย 2554-2557
1. เยียวยาผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากความขัดแย้งทางการเมืองจนครบถ้วน ทุกฝ่าย ทุกสี (ไม่ใช่เพียงเสื้อแดงตามที่ถูก “ป้ายสี”)
2. ดำเนินคดีด้วยกระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมากับผู้กระทำต่อผู้ชุมนุมอย่างขาดมนุษยธรรม (ไม่ได้นิ่งเฉยละเลยอย่างที่ถูก “ป้ายสี”)
เข้าใจรึยัง ?
https://www.facebook.com/kittirattnofficial/posts/pfbid0EHmYYV94buqikkYR73YVNdw2wxoh69bLHd8f9MqB4nCwDA3fuaMqBrsRy7MZoHMxl
อดิศร ยืนยัน ‘พท.-ก.ก.’ ยังเหนียวแน่นเหมือนข้าวต้มมัด ชี้ ‘พิธา’ เหมาะเป็นนายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4071263
อดิศร ส.ส.พรรคเพื่อไทยยืนยัน ‘พท.-ก.ก.’ ยังเหนียวแน่นเหมือนข้าวต้มมัด ชี้ ‘พิธา’ เหมาะเป็นนายกฯ
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่จังหวัดขอนแก่น นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคก้าวไกล (ก.ก.) รวมทั้งความพร้อมในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า พรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ซึ่งเรียกว่าฝ่ายประชาธิปไตยมัดกันเป็นข้าวต้มมัด โดยเฉพาะพรรค พท.กับพรรค ก.ก.มีประชาชนเหมือนตอกไม้ไผ่ซึ่งทั้งสองพรรคจะต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก.จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี ในบรรดาพรรคที่ไม่ได้เสียงเกินครึ่งไม่ถึง 250 เสียงแต่ทั้งสองพรรคทำ MOU กันได้ 312 เสียง ยืนยันว่าจะไม่มีการแตกเสียงกัน อย่างที่ผ่านมาที่มีการเลือกประธานสภา ทุกคนก็ได้ลงเสียงเดียวกันที่เลือก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา โดยนายพิธาเป็นคนหนุ่มอายุ 42 ปี ได้รับการเลือกจากประชาชนที่จะให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ที่ผ่านมาคนไทยขาดคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศมานานกว่า 10 ปี ประเทศไทยต้องเสียโอกาสและเศรษฐกิจของประเทศไม่ดี การที่นายพิธาจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีถือว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการต่างประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่มีเสียง ส.ส. 141 เสียง
นายอดิศรกล่าวว่า วันที่ 13 ก.ค. มีประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 โดยรัฐสภามีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กับสภาผู้แทนราษฎรรวม 750 คน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เรียกได้ว่าเลวร้ายมากที่สุด เพราะให้ ส.ว.มาเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งตนมีการพูดคุยกับ ส.ว.บางคนแล้ว โดยอยากให้ ส.ว.ทุกคนเคารพถึงประชาชนที่ได้มีการเลือกตั้ง ส.ส.เข้ามา ส.ว.จึงจะได้รับความน่าเชื่อถือจากพี่น้องประชาชนแม้ว่ายังมี ส.ว.บางคนที่ให้เหตุผลจะไม่เลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่มีความชอบส่วนตัว โดยตนยกมือไหว้พร้อมบอกว่า ส.ว.เป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะควรไม่ต้องตั้งข้อสงสัยอะไรมากมาย เพราะประชาชนตัดสินไปแล้ว อย่าไปสวนทาง เพราะผู้พิพากษาที่ตัดสินไปก็คือประชาชน ท่านจะมาทำตัวใหญ่กว่าประชาชนไม่ได้ หากทำตัวใหญ่กว่าประชาชน เชื่อได้เลยว่า ส.ว.จะไม่มีที่อยู่
นายอดิศรกล่าวต่อว่า หวังว่า ส.ว.จะเห็นแก่การเติบโตของระบอบประชาธิปไตย เพราะ ส.ว.ทั้ง 250 คนนั้นไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยเชื่อว่า ส.ว.หลายคนที่รู้จักเป็นเพื่อนกัน ซึ่งติดใจเรื่อง ม.112 ทำให้ทาง ส.ว.จะเลือกนายพิธาโดยไม่มีเงื่อนไข โดยนายพิธาจะต้องมีการไปตอบคำถามเรื่อง ม.112 ให้ได้ซึ่งในเร็วๆ นี้จะมีการชุมนุมของ FC พรรคก้าวไกลที่เซ็นทรัลเวิลด์จะส่งผลสร้างความพอใจให้กับ ส.ว.หรือ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องของทางพรรคก้าวไกลเพราะต่อไปก็คือการที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งจบไปแล้วแต่ลากตั้งไม่จบ ตนได้แต่หวังว่าบ้านเมืองจะต้องเดินหน้าไปเสียทีเพราะประชาชนหวังว่าอยากมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะที่ผ่านมาต้องทนการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากว่า 10 ปี ขณะนี้ถึงเวลาปลดโซ่ตรวนซึ่งประชาชนได้ตัดสินไปแล้ว
ส.ว.อำพล พร้อมโหวตนายกฯ ย้ำทำหน้าที่แบบ ‘ไม่ตั้งตนเป็นใหญ่ ไม่ขวางเสียงประชาชน’
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4071112
ส.ว.อำพล พร้อมโหวตนายกฯ ย้ำทำหน้าที่แบบ ‘ไม่ตั้งตนเป็นใหญ่ ไม่ขวางเสียงประชาชน’
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม นพ.อำพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก อำพล จินดาวัฒนะ ข้อความระบุว่า
“พร้อมโหวตนายกฯ”
วันพฤหัสที่ 13 ก.ค.66 ที่จะถึงนี้ มีนัดประชุมรัฐสภา (ส.ส.+ส.ว.) เพื่อโหวตเลือก นรม. ผมเตรียมโหวตให้คนที่พรรคการเมืองรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนฯเสนอชื่อ เพื่อให้เข้าไปเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากบริหารประเทศต่อไป
ใช้เหตุผลเดียวกันกับที่เคยใช้ตอนโหวตเลือก นรม. (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อปี 62
จะกลับกลิ้งเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ประวัติศาสตร์จะจารึกและบันทึกไว้ครับ
ที่จริงผมก็ไม่อยากใช้อำนาจตามบทเฉพาะกาล ม.272 นี้ แต่เมื่อหน้าที่นี้ยังมีอยู่ ก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อไป เพื่อให้กลไกและกติกาตามรธน.ที่ใช้อยู่เดินหน้าไปได้
โดยจะทำหน้าที่แบบ “ไม่ตั้งตนเป็นใหญ่” ไม่หาเหตุผลใดๆ มาอ้างเพื่อขวางเสียงประชาชน
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามเสนอแก้ไขหน้าที่และอำนาจนี้ หรือที่เรียกว่า “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ด้วยมองว่า ส.ว.ไม่ควรมีหน้าที่และอำนาจเลือก นรม. เพราะไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง ควรเป็นหน้าที่และอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงเท่านั้น ซึ่งผมเห็นด้วย
ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการขอแก้ไข ผมจึงโหวตเห็นด้วยให้ปิดสวิตช์ ส.ว. แต่เสียง ส.ว. เห็นด้วยไม่ถึง 1 ใน 3 (ไม่ถึง 84 เสียง) คือเสียง ส.ว.ส่วนใหญ่ยังไม่ต้องการให้ปิดสวิตช์
มาตรา 272 จึงยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ (=สวิตช์ยังเปิดอยู่) ถ้าจะอ้างปิดสวิตช์ตอนนี้ ก็จะเท่ากับอ้างเพื่อไม่ทำหน้าที่ และกลายเป็นการขัดขาคนที่ถูกเสนอชื่อเป็น นรม.
บันทึก ส.ว.(763)
ส.ว.หมออำพล: 9 ก.ค.66
รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สั่งปลดชุดปฏิบัติงาน-เตือนผู้ควบคุมงาน หลังสะเก็ดไฟร่วงถนน
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7756406
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สั่งชุดปฏิบัติงานพ้นหน้าที่ทันที พร้อมออกใบเตือนผู้คุมงาน หลังสะเก็ดไฟร่วงถนนบางกะปิ ระหว่างก่อสร้าง ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
กรณีที่มีผู้ใช้ TIKTOK ชื่อ snhimm เผยแพร่คลิปวิดีโอ กรณีพบสะเก็ดไฟตกลงมาจากบริเวณใต้สะพานข้ามแยกบางกะปิ บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางกะปิ ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใดๆ นั้น
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 9 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองชี้แจงว่า จากการตรวจสอบเหตุการณ์ข้างต้น พบว่าสะเก็ดไฟดังกล่าวเกิดจากการเชื่อมเหล็กขอบสะพานข้ามแยกบางกะปิ ในโครงการปรับปรุงสะพานข้ามแยกบางกะปิ-เสรีไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
ทั้งนี้ โครงการพิจารณาลงโทษส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้ปฏิบัติงานชุดดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่โดยทันที พร้อมทั้งออกใบเตือนผู้ควบคุมงานที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในพื้นที่ก่อสร้างของโครงการ จนทำให้เกิดผลกระทบแก่ผู้สัญจรบนท้องถนน และเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีก
โดยเฉพาะในส่วนของการดำเนินงานเชื่อมเหล็กขอบสะพานข้ามแยกบางกะปินั้น จะต้องมีอุปกรณ์ป้องกันในระหว่างดำเนินงาน โดยใช้ผ้าใบกันสะเก็ดไฟและทำถาดรองกั้นสะเก็ดไฟตกหล่น รวมถึงให้เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย (Safety) เพื่อคอยตรวจสอบ และกวดขันการทำงานให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในการก่อสร้างอย่างเข้มงวดและจริงจัง
สำหรับการปรับปรุงสะพานข้ามแยกบางกะปิ ตามแผนงาน มีกำหนดแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนใช้งาน ฝั่งขาออกในเดือนสิงหาคม 2566 และฝั่งขาเข้าในเดือนกันยายน 2566
ที่มา มติชนออนไลน์